บทที่ 137 อยากเป็นเลขา (อ่านฟรี)
หลังจากที่สร้างฟาร์มหมูเสร็จแล้ว เฝิงซิ่งไท่ก็ไล่ตะเพิดเฝิงหยู่ด้วยที่โกยขนไก่ให้กลับไปโรงเรียน หน้าที่ของนักเรียนก็คือการตั้งใจเรียนหนังสือ เลิกคิดถึงเรื่องเงินทุกวันได้แล้ว
ต่อมาไมนานก็คือเดือนมิถุนายน อากาศก็กลับมาร้อนอีกแล้ว พัดลมไฟฟ้ายี่ห้อเฟิงหยูเริ่มการผลิตและการขายอีกครั้ง แต่ยอดขายในปีนี้แย่มาก ยอดการสั่งซื้อจากในประเทศจีนทั้งหมดอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 50,000 เครื่อง ทำให้ผลกำไรลดลงอย่างมาก
นี่ยังคงเป็นผลมาจากโฆษณาทางโทรทัศน์ ไม่งั้นยอดขายคงจะไม่เกิน 20,000 เครื่องแน่ๆ ทำไงได้ละตอนนี้ในตลาดมีพัดลมพลาสติกจำนวนมาก โรงงานขนาดเล็กระดับจังหวัดหรือแม้แต่โรงงานเอกชนขนาดเล็กก็สามารถผลิตพัดลมแบบนี้ได้ แม้ว่าตลาดจะใหญ่มาก แต่ก็ยังมีทางเลือกมากมาย และพัดลมไฟฟ้ายี่ห้อเฟิงหยูก็ไม่มีอะไรพิเศษ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องเสียส่วนแบ่งทางการตลาดไป
เฝิงหยู่ถอนหายใจ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องรีบใช้แผนเปิดตัวพัดลมไฟฟ้ารุ่นใหม่ซะแล้ว
ช่วงนี้เฝิงหยู่ไม่ได้ยุ่งทั้งกับเรื่องธุรกิจและโรงเรียน ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนกว่าจะสอบ และเขาก็มีเวลามากพอที่จะเตรียมตัว
แต่ตอนนี้นักเรียนได้รับแจ้งจากครูว่าพวกเขาต้องเลือกระหว่างสายวิทย์กับสายศิลป์สำหรับชั้นม.5 พวกเขาได้รับการแนะนำให้ไปปรึกษากับผู้ปกครองและค่อยส่งตัวเลือกให้ครู
ถ้าเทียบกับเมื่อก่อน ปัจจุบันประเทศจีนมุ่งเน้นสายวิทย์มากกว่าสายศิลป์ เกือบร้อยละ 80 ของนักเรียนเลือกสายวิทย์ และมีนักเรียนหญิงบางส่วนเท่านั้นที่เลือกสายศิลป์
พอครูประจำชั้นได้รับใบเลือกสาขาวิชาของเฝิงหยู่ ก็ถึงกับขมวดคิ้ว
เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเฝิงหยู่ถึงเลือกสายศิลป์? นอกจากนี้ ลีน่าซึ่งทำคะแนนวิชาวิทยาศาสตร์ได้ดีมากก็กลับเลือกสายศิลป์เช่นกัน “การเรียนรู้คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ทำให้คุณสามารถเดินทางไปทั่วโลกได้อย่างไม่ต้องกลัวอะไร” พวกเขาน่าจะต้องเคยได้ยินคำพูดนี้สิ
ครูประจำชั้นเรียกลีน่าและเฝิงหยู่ไปพบที่ห้องพักครู เด็กสองคนนี้ถือว่าเป็นเด็กเรียนดีในชั้นเรียน เขาไม่อยากเห็นเด็กพวกนี้ลดเกรดไปเรียนอยู่ในชั้นเรียนสายศิลป์
“ลีน่า เฝิงหยู่ พวกคุณกรอกใบผิดหรือเปล่า? ทำไมถึงเลือกสายศิลป์ละ?” ครูประจำชั้นถามและหยิบใบออกมาเผื่อว่าพวกเขาจะเปลี่ยนใจ
ลีน่ามองเฝิงหยู่อย่างไม่เชื่อสายตา ทำไมเฝิงหยู่เลือกสายศิลป์เหมือนกัน?
ความใฝ่ฝันของลีน่าคือการเป็นคุณครู ดังนั้นการเรียนสายศิลป์จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม แต่ความฝันของเฝิงหยู่คือการเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและเขาควรจะเลือกสายวิทย์ไม่ใช่หรอ?
ทันใดนั้น ลีน่าก็จำได้ว่าวันที่กรอกใบเลือกสาขาวิชานี้ เฝิงหยู่ถามเธอว่าเธอจะเลือกสายวิทย์หรือสายศิลป์ หรือว่าเฝิงหยู่เลือกสายศิลป์เพื่อที่จะได้เรียนกับลีน่า?
เฝิงหยู่ยื่นใบคืนให้ครูและพูดว่า “คุณครูครับ ไม่มีข้อผิดพลาดอะไรกับการเลือกของเราหรอกครับ สายวิทย์กับสายศิลป์มันต่างกันอย่างไรหรือครับ? ในอนาคต ทั้งสองสายก็สามารถช่วยเหลือประเทศชาติได้อยู่ดี”
“แต่ในอนาคต นักเรียนสายวิทย์จะมีอนาคตที่ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด สองคนนี้กำลังทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
เฝิงหยู่หัวเราะ “ครูครับ เมื่อก่อนครูก็เลือกสายศิลป์ไม่ใช่หรอครับ?”
ครูประจำชั้นถึงกับอึ้ง เมื่อก่อนเขาเลือกเรียนสายศิลป์จริง แต่นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่เก่งวิชาสายวิทย์ เขาเก่งเรื่องการใช้ความจำเท่านั้น แต่เขาก็อายที่จะบอกเหตุผลนี้กับเฝิงหยู่
“มันจะเหมือนกันได้ยังไง? ก็ความใฝ่ฝันของครูคือการเป็นคุณครู การเลือกสายศิลป์จะทำให้ครูกลายเป็นครูที่ดีขึ้น ช่วยทำให้ครูสามารถถ่ายทอดความรู้ด้านวรรณกรรมให้กับพวกเธอทุกคนได้” ครูประจำชั้นพบข้ออ้างที่ฟังแสนจะดูดี
ลีน่าพูดว่า “ครูคะ ความใฝ่ฝันของหนูก็คือการเป็นคุณครูค่ะ”
เฝิงหยู่ขัดจังหวะขึ้นมาทันที “ใช่แล้วครับ มันเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นคุณครูที่ดี เหมือนครูประจำชั้นของเรา”
ครูประจำชั้นไม่รู้ว่าอยากหัวเราะหรืออยากร้องไห้กันแน่ เด็กสองคนนี้กำลังชื่นชมเขาอยู่ แต่เขาอยากให้เด็กทั้งสองเลือกสายวิทย์เพื่ออนาคตที่ดีและโอกาสในการทำงานที่ดีขึ้น
“แล้วเฝิงหยู่ละ อยากเป็นคุณครูเหมือนกันหรอ?” ครูประจำชั้นไม่เคยเชื่อว่าเด็กนักเรียนอย่างเฝิงหยู่จะอยากเป็นคุณครู
“เปล่าครับ ผมอยากเป็นเลขาและสายศิลป์ก็เหมาะสมกับงานนี้มากกว่า” เฝิงหยู่โกหกคุณครูตามที่เขาได้เตรียมไว้
เป็นเลขคนอื่นเนี่ยนะ? ไร้สาระที่สุด เฝิงหยู่วางแผนที่จะจ้างเลข 8 หรือ 10 คนสำหรับตัวเองด้วยซ้ำ คนหนึ่งเอาไว้เสิร์ฟน้ำชา อีกคนเอาไว้เตรียมเอกสาร อีกคนเอาไว้นวดไหล่และขา อีกคนเอาไว้ทำความสะอาดเช็ดถู อีกคนเอาไว้คอยดูแลเขาตลอดทั้งวัน อีกคนเอาไว้... พอๆๆ เขาควรหยุดคิดเรื่องนี้ก่อน
เฝิงหยู่อยากจะเป็นหัวหน้าใหญ่และเรียนรู้การจัดการธุรกิจ การเรียนสายศิลป์จะให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาในการเปลี่ยนมาเป็นธุรกิจในภายหลัง ยิ่งไปกว่านั้น ความจำของเฝิงหยู่ยังดีกว่าคนอื่นๆ ด้วย พวกวิชาชีววิทยา เคมี และอื่นๆ ควรปล่อยให้นักเรียนที่มีความสามารถเขาเรียนไปดีกว่า เขาอยากจดจำวิชาพวกประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์มากกว่า
ด้วยจุดเด่นด้านภาษาของเขา เช่น ภาษารัสเซีย รวมถึงความจำและวิธีการอื่นๆ ของเขา เขาน่าจะสอบเข้าหลักสูตรการจัดการของมหาวิทยาลับปักกิ่งได้แน่นอน แค่นี้ยังไม่พออีกหรอ? ถ้าเขาเลือกสายวิทย์ เขาจะไปไหนได้?
ความใฝ่ฝันของเฝิงหยู่ทำให้ครูประหลาดใจมาก มีคนที่มีความฝันอยากเป็นเลขาจริงๆ หรือ? แต่เขาคิดว่าความใฝ่ฝันของเฝิงหยู่น่าจะเป็นผู้นำกับพวกรัฐบาลเสียอีก ผู้นำที่ยิ่งใหญ่หลายคนเริ่มต้นจากการเป็นเลขา ซึ่งเหมือนกับการเป็นผู้ฝึกงานที่โรงงานการเป็นเลขาทำให้ได้ใกล้ชิดกับพวกผู้นำและจะทำให้มีกองหนุนที่แข็งแรง
ครูประจำชั้นรู้สึกหมดหวัง เขาไม่สามารถบอกเฝิงหยู่ได้ว่าความใฝ่ฝันของเฝิงหยู่เป็นเรื่องที่ผิด ปัจจุบันนี้มีใครบ้างที่ไม่อยากเป็นผู้นำในรัฐบาล? ในมหาวิทยาลัย นักศึกษาส่วนใหญ่ถูกเกณฑ์ให้ไปทำงานกับรัฐบาลโดยตรง แต่มันไม่ดีสำหรับเฝิงหยู่หรอที่จะใช้วิธีนี้ในการเข้าไปทำงานกับรัฐบาล?
“สองคนนี้ไม่อยากกลับไปคิดเลือกใหม่อีกรอบหรือ?” ครูประจำชั้นลองถามครั้งสุดท้าย
เฝิงหยู่และลีน่าส่ายหัวพร้อมกัน คุณครูโบกมือบอกให้พวกเขาออกไปได้ ช่างเถอะ ก็แค่นักเรียนน้อยลงสองคน
หลังจากที่ออกมาจากห้องพักครู ลีน่าก็มองเฝิงหยู่ตลอดด้วยสายตาที่รู้สึกปลาบปลื้ม
“เฝิงหยู่ นายไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ นายอยากเป็นนักธุรกิจ นายก็ควรเลือกสายวิทย์ไม่ใช่หรอ? นายไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เพื่อที่จะมาเรียนกับฉันก็ได้” ลีน่าพูด
เฝิงหยู่หยุดชั่วครู่ ลีน่าคิดว่าเขาเลือกสายศิลป์เพราะเธออย่างนั้นหรือ? เฉพาะคนโง่เท่านั้นที่จะอธิบายให้เธฮฟังได้ ปล่อยให้เธอเข้าใจผิดไปแบบนั้นแหละ
“ฉันบอกให้คนไปซื้อหนังสือกลอนที่เธออยากได้มาละ น่าจะมาถึงทางไปรษณีย์ในอีกสองวัน” เฝิงหยู่รีบเปลี่ยนเรื่อง
“โอเค งั้นเรากับไปทบทวนบทเรียนกัน นายขาดเรียนตั้งสองสัปดาห์เมื่อเดือนที่แล้ว”
เฝิงหยู่ยิ้มอายๆ “ฉันจะไม่โดดเรียนอีกแล้ว เดือนนี้ที่บริษัทไม่ค่อยมีอะไรทำ เออใช่ ฉันอยากให้เธอช่วยเรื่องคณิตศาสตร์หน่อย ฉันไม่ค่อยเข้าใจโจทย์เลขเมื่อวานเลย ตอนเย็นเราไปกินข้าวกันมั้ย? มีร้านอาหารฮาลาลเปิดใหม่อยู่ที่ถนนกันสุ่ย ฉันได้ยินมาว่าอาหารอร่อยมากๆ เลยละ”
ส่วนใหญ่เฝิงหยู่ยุ่งอยู่ตลอดเวลาและมักรู้สึกว่าเขามีเวลาไม่พอ แต่เมื่อเขาอยู่กับลีน่า เขารู้สึกสงบและผ่อนคลาย แม้ว่าพวกเขาไม่ได้ทำอะไร แค่นั่งอ่านหนังสือข้างๆ กัน เฝิงหยู่ก็อารมณ์ดีแล้ว
“ได้สิ ลองชวนเหวินตงจวินกับจางฮั่นไปด้วยกันสิ”
พอลีน่าพูดถึงเหวินตงจวินและจางฮั่น เฝิงหยู่ก็อารมณ์เสียทันที เขาสงสัยว่าจางฮั่นกินยาอะไรถึงทำให้เธอน้ำหนักลดลงไปมากขนาดนี้ภายในเวลาไม่นาน น้ำหนักเธอลดลงไปเยอะมากในเวลาไม่นาน ตอนนี้เธอหนักแค่ 55 กก.เอง และเหวินตงจวินก็คอยโม้ให้เฝิงหยู่ฟังว่ารสนิยมของเขาดีขนาดไหน จางฮั่นทำตัวดีกับเขาขนาดไหน จางฮั่นสวยขนาดไหน เฝิงหยู่แทบจะบ้ากับการโอ้อวดของเขา
นี่คือสิ่งที่ทำให้เฝิงหยู่ไม่อยากชวนเหวินตงจวินไปด้วยเวลาที่เขาไปกินอาหารดีๆ
เจ้าโง่คนนั้นชอบตักอาหารให้ตัวเองเยอะๆ และตักอาหารให้จางฮั่นตลอดเวลาโดยที่ไม่คิดว่าเธอจะกินหมดมั้ย แถมยังไม่สนใจด้วยว่าเฝิงหยู่จะได้กินอาหารบ้างหรือเปล่า
แต่ถ้าจางฮั่นและเหวินตงจวินไม่ได้ไปกับพวกเขา ลีน่าก็จะไม่ไป ด้วยเหตุนี้ เฝิงหยู่เลยต้องยอมแบบไม่ค่อยเต็มใจ อย่างไรก็ตาม เฝิงหยู่กำลังคิดหาทางกำจัดเหวินตงจวิน เพื่อไม่ให้ตามพวกเขาไปดูหนังที่ศูนย์วัฒนธรรมด้วย
หมายเหตุจากผู้เขียน: ก่อนปี 2538 นักศึกษามหาวิทยาลัยทุกคนจะได้รับมอบหมายให้ทำงานตามที่กำหนด