บทที่ 132 สั่งสอนคนที่สถานีโทรทัศน์หยางถายสักหนึ่งบทเรียน (อ่านฟรี)
หัวหน้าสถานีโทรทัศน์มองหน้าเฉิงเป่าจวิน เขารู้สึกโกรธจนถึงขนาดเขวี้ยงเอกสารที่อยู่ตรงหน้าเขาไปที่เฉิงเป่าจวิน เขาขอให้เฉิงเป่าจวินไปตกลงธุรกิจเรื่องโฆษณาและเอาชื่อบริษัทออกจากชื่อรายการ เฉิงเป่าจวินสัญญาว่าจะทำให้สำเร็จ แล้วนี่มันอะไรกัน?
เขายังกล้ามาขอให้พิธีกรโทรทัศน์ของเราไปถ่ายโฆษณาให้เขาอีกหรอ? พิธีกรโทรทัศน์ได้รับเงินเดือนจากพวกเขาและเป็นตัวแทนของสถานีโทรทัศน์ ซึ่งจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของกระทรวงวิทยุกระจายเสียง แล้วเธอจะไปถ่ายโฆษณาให้กับบริษัทเอกชนได้อย่างไร? ถ้าผู้นำที่กระทรวงวิทยุกระจายเสียงรู้เรื่องนี้เข้า เขาจะต้องถูกตำหนิว่าเป็นพวกหน้าเงินแน่ๆ
“ไหนคุณเล่าความจริงมาสิ คุณมีความสัมพันธ์อะไรกับผู้จัดการเฝิงของบริษัทการค้าไท่หัวหรือเปล่า?” หัวหน้าสถานีตบโต๊ะและถาม
เฉิงเป่าจวินตกใจ “หัวหน้าครับ ผมไม่ได้มีอะไรกับเขาเลย รองหัวหน้าลู่จากฝ่ายสื่อสารของกระทรวงวิทยุกระจายเสียงเป็นคนแนะนำให้ผมรู้จักเขา”
“รองหัวหน้าลู่ ลู่เหวินป๋อนะหรอ? หืม ถ้างั้นคุณไปคุยกับผู้จัดการเฝิง บอกเขาไปว่าเซินลี่จะไม่ไปถ่ายโฆษณาให้เขา”
“หัวหน้าสถานีครับ ตอนนี้ผู้จัดการเฝิงอยู่ที่ห้องทำงานผม เขาบอกว่าถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะคุยกับหัวหน้าเอง เขามีความคิดบางอย่างที่ไม่ขัดต่อกฎระเบียบมานำเสนอและทั้งสองฝ่ายก็ได้ประโยชน์ทั้งคู่ด้วย”
“งั้นให้เขามาพบผมที่นี่” หัวหน้าสถานีอยากจะเจอหน้าคนที่เสนอความคิดวิธีการโฆษณาให้ใส่ชื่อในรายการ นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่ลู่เหวินป๋อแนะนำให้รู้จักอีก คงไม่ดีถ้าจะปฏิเสธเขาในทันที นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาตกลงยอมพบเฝิงหยู่
เมื่อเขาเห็นเฝิงหยู่ หัวหน้าสถานีแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เฉิงเป่าจวินเคยบอกเขาว่าเฝิงหยู่ยังเด็กมาก แต่เขาไม่เคยบอกว่าเฝิงหยู่ยังเป็นนักเรียนอยู่!
“คุณคือผู้จัดการเฝิงจากบริษัทการค้าไท่หัวหรือครับ?”
“ใช่ครับ” เฝิงหยู่จับมือทักทายกับหัวหน้าสถานีอย่างเป็นมิตร เขาเคยชินกับการที่คนอื่นรู้สึกประหลาดใจกับอายุของเขา อย่างไรก็ตาม เฝิงหยู่รู้สึกว่านี่เป็นข้อได้เปรียบของเขา
“ผู้จัดการเฝิง เรายินดีให้คุณมาโฆษณากับเรานะครับ พอคุณบอกว่าคุณอยากจะซื้อช่วงโฆษณาเป็นเวลาหนึ่งปี เสี่ยวเฉิงก็หาช่วงเวลาที่ดีที่สุดให้คุณเลยและปรับแก้ช่วงเวลาของนักทำโฆษณาคนอื่นๆ แต่ถ้าจะให้ใช้ชื่อและให้พิธีกรโทรทัศน์ของเราไปถ่ายโฆษณาให้กับบริษัทเอกชน มันผิดกฎของเรา คุณลืมเรื่องนี้ไปได้เลยครับ”
บริษัทเอกชนงั้นหรอ? คุณดูถูกบริษัทเอกชนงั้นหรอ? อีกสิบปีข้างหน้า บริษัทเอกชนจะมีอยู่ทุกที่ ช่วงโฆษณาทั้งหมดของสถานีโทรทัศน์หยางถายจะต้องตกเป็นของบริษัทเอกชน โอเค ถ้าคุณไม่ชอบบริษัทเอกชน งั้นผมจะพูดถึงรัฐวิสาหกิจแทนละกัน
“บริษัทเอกชนหรอครับ? ใช่แล้ว เราเป็นบริษัทเอกชน แต่เราไม่ได้ผลิตสินค้าของเราเอง ผู้ผลิตก็คือโรงงานมอเตอร์ของเมืองปิง สินค้านี้ถูกพัฒนาโดยโรงงานการบินของเมืองปิง ซึ่งล้วนแต่เป็นรัฐวิสาหกิจทั้งนั้น บริษัทผมมีหน้าที่จำหน่ายและทำการตลาดเท่านั้น สินค้านี้ไม่ได้เป็นของบริษัทการค้าไท่หัว ยิ่งไปกว่านั้น สินค้านี้ยังมีสิทธิบัตรสำหรับประเทศจีน เอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้ประเทศของเราจากประเทศอื่นๆ ด้วย ยี่ห้อเฟิงหยูเป็นยี่ห้อแรกของเครื่องใช้ภายในครัวเรือนที่ไฮเทคและทันสมัย ซึ่งถือได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจของประเทศเลยก็ว่าได้ แล้วทำไมเราจะใช้พิธีกรโทรทัศน์ที่มีภาพลักษณ์ที่ดีมาแสดงในโฆษณาของเราไม่ได้ละครับ?
เฝิงหยู่เริ่มเล่าประวัติของบริษัทตัวเองเพื่อยับยั้งอีกฝ่าย คำว่า “ยี่ห้อแรกของเครื่องใช้ภายในครัวเรือนที่ไฮเทคและทันสมัยในประเทศจีน” ทำให้หัวหน้าสถานีถึงกับอึ้ง แม้ว่าเฝิงหยู่จะเป็นคนพูดเร็วมากและเขาไม่สามาถจับใจความได้ทั้งหมด แต่ก็ดูเหมือนว่ายี่ห้อเฟิงหยูต้องโดนเด่นมากจนเป็นความภาคภูมิใจของประเทศ
“พวกคุณร่วมงานกับโรงงานมอเตอร์และโรงงานการบินของเมืองปิงจริงๆ หรอ?” ผู้จัดการสถานีถาม
“แน่นอนสิครับ คุณไปเรียกพวกเขามายืนยันตอนนี้เลยก็ได้ พวกเราร่วมมือกันสามฝ่าย ผมรับหน้าที่ออกแบบและดูแลเรื่องการขายและการตลาด ผลกำไรที่ได้ก็แบ่งกันระหว่างสามฝ่าย” เฝิงหยู่ไมได้บอกหัวหน้าสถานีว่าเขาถือหุ้นมากที่สุดในความร่วมมือดังกล่าวนี้
ผู้จัดการสถานีถูกหลอกด้วยภาพลักษณ์ที่มั่นใจของเฝิงหยู่ และเขาไม่ได้โทรถามอีกสองโรงงานให้มายืนยัน อย่างไรก็ตาม ส่วนนี้ต้องมีการระบุเป็นลายลักษณ์อักษรในสัญญา หากเฝิงหยู่โกงพวกเขา พวกเขาก็ไม่ออกอากาศโฆษณาให้และจะยึดค่าโฆษณาด้วย ยังไม่มีใครกล้าคิดโกงสถานีโทรทัศน์หยางถาย
“แต่เราไม่เคยให้พิธีกรโทรทัศน์ของเราไปถ่ายโฆษณามาก่อนเลย”
“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ หัวหน้าสถานีเข้าใจผมผิดแล้ว บางทีผมอาจจะพูดไม่ชัดเจน พิธีกรโทรทัศน์จะปรากฏอยู่ในโฆษณาเท่านั้น เราจะตัดต่อภาพพิธีกรโทรทัศน์จากรายการของคุณเข้าไปในโฆษณาและพากย์เสียงทับ ซึ่งแบบนี้ไม่ถือว่าเป็นการเอาตัวพิธีกรโทรทัศน์ของคุณไปถ่ายโฆษณาของเรา ค่าโฆษณาก็จะช่วยสถานีโทรทัศน์คุณอย่างมากด้วยไม่ใช่หรอครับ? นอกจากนี้ ผมยังเคยบอกแล้วว่าผมสามารถซื้อช่วงโฆษณาเป็นเวลาสามปีได้ ถ้าผมเพิ่มยี่ห้อของเราไปในชื่อรายการไม่ได้ เราก็สามารถเปลี่ยนไปเป็นผู้สนับสนุนหลักแต่เพียงผู้เดียวแทน การเป็นผู้สนับสนุนไม่ผิดกฎระเบียบ เวทีก็ยังเหมือนเดิม แต่สินค้าเราต้องวางอยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่น....”
เฝิงหยู่เริ่มโน้มน้าวหัวหน้าสถานี งานนี้ไม่ยากเลย
หัวหน้าสถานีลังเลสักพัก “ถ้างั้นคุณเอาตัวอย่างโฆษณามาให้ผมดูก่อนได้มั้ย?”
“ไม่มีปัญหาครับ คุณให้ผมยืมสตูดิโอของรายการได้หรือเปล่าครับ?”
หัวหน้าสถานีพยักหน้าและพาเฝิงหยู่ไปที่สตูดิโอด้วยตนเอง สถานีโทรทัศน์หยางถายในตอนนั้นยังมีรายการไม่มากนัก และมีสตูดิโอไม่มาก ตอนนั้นสตูดิโอก็กำลังถ่ายทำรายการอื่นอยู่
เฝิงหยู่มองไปที่สตูโอเก่าและแลดูทรุดโทรม เขาส่ายหัว ก่อนที่เขาจะแจ้งเกิดอีกครั้ง สตูดิโอของสถานีโทรทัศน์ประจำเมืองยังดีกว่านี้อีก แล้วนี่มันอะไรกัน? แม้ว่าเฝิงหยู่จะไม่ใช่มืออาชีพ แต่เขาก็สามารถสร้างฉากที่ดีกว่าในสตูดิโอนี้ได้
“หัวหน้าสถานีครับ คุณสามารถเอาภาพวาดมาเป็นฉากหลังได้ อย่าใช้ผ้าม่านสีพื้นๆ แบบนี้เลยครับ เราสามารถวางเครื่องทำความชื้นไว้ด้านหน้าพิธีกร และพิมพ์ชื่อรายการลงบนเครื่อง ซึ่งเป็นชื่อและแนวคิดหลักของรายการ เมื่ออากาศแห้ง คุณก็เปิดเครื่องทำความชื้น ซึ่งจะไม่กระทบต่อการแสดงในรายการ และแม้ว่าคุณจะไม่ได้เปิดเครื่อง แต่คุณก็สามารถใช้เครื่องทำความชื้นของเราเป็นของตกแต่งฉากได้ ต้องมีการเปิดเครื่องทำความชื้นในโฆษณา รายการก็ต้องพูดคุยถึงเรื่องที่ผู้คนให้ความสนใจอย่างมากมากขึ้น ฉากนอกสถานที่ต้องถ่ายทำอย่างเหมาะสมด้วยเช่นกัน อย่าถ่ายและรายงานแต่เรื่องที่เกิดขึ้นในปักกิ่ง ต้องถ่ายทำในจังหวัดอื่นๆ ด้วย ปักกิ่งไม่ได้เป็นตัวแทนของประเทศจีนทั้งหมด...”
เฝิงหยู่บอกหัวหน้าสถานีเกี่ยวกับประเด็นที่ต้องปรับปรุง ความคิดพวกนี้นำมาจากรายการโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงบางส่วนที่เขาเคยรู้จัก หากรายการนี้สามารถทำได้อย่างที่เขาพูด เรตติ้งจะต้องสูงแน่นอน
ในตอนแรก คนคอยถามว่าเฝิงหยู่เป็นใครกัน ทำไมถึงมาสั่งนิ้วชี้โน้นชี้นั่น แถมหัวหน้าสถานีพาเขามาที่สตูดิโอด้วยตัวเองอีกด้วย เมื่อได้ฟังความคิดเห็นของเฝิงหยู่ คนงานบางคนที่สถานีโทรทัศน์ก็รู้สึกไม่ชอบใจ
ทั้งหมดเป็นเรื่องเฉพาะสำหรับมืออาชีพ ขนาดหัวหน้าสถานียังไม่สั่งให้พวเขาทำเลย แต่ทำไมเด็กคนนี้ถึงมาออกความเห็นเต็มไปหมด
แต่หลังจากนั้นไม่นาน คนก็เริ่มมารวมกลุ่มมากขึ้น สิ่งที่เด็กคนนี้พูดมันมีเหตุผล ผู้ชมจะต้องชอบแน่นอนถ้าพวกเขาทำตามสิ่งที่เด็กคนนี้พูด ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อน แต่มันไม่สามารถทำได้ เหตุผลหลักก็คือพวกเขาไม่มีงบประมาณ
การเปลี่ยนแปลงฉากต้องใช้เงินมาก การส่งพิธีกรไปถ่ายทำภาคสนามก็ต้องใช้เงินเหมือนกัน นอกจากนี้ อย่าว่าแต่จังหวัดอื่นเลย แม้แต่การถ่ายทำในปักกิ่งยังเป็นเรื่องยาก สถานที่ที่ไกลที่สุดที่พวกเขาเคยไปก็คือชานเมืองปักกิ่ง แต่เด็กคนนี้มาแนะนำให้ไปที่อื่นๆ เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ แค่ค่าตั๋วรถไฟก็แพงสุดๆ แล้ว
ฝูลชนเริ่มเพิ่มมากขึ้น เฝิงหยูรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น เขารู้สึกเหมือนเป็นผู้นำที่กำลังแนะนำให้คนทำต้องทำอะไรบ้าง แต่เขาไม่ได้รับการปรบมืออย่างที่เขาต้องการ หลายคนมองเขาอย่างกับมองลิงในสวนสัตว์ จุดนี้ทำให้เฝิงหยูไม่พอใจมาก
หลังจากทีอัดรายการเสร็จ เฝิงหยูพูดเสียงดังว่า “หัวหน้าสถานีครับ ถ้าคุณทำตามที่ผมแนะนำ ผู้ชมรายการนี้จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน สำหรับงบประมาณการผลิต คงไม่มีปัญหาอะไรถ้าได้รับการสนับสนุนจากเครื่องทำความชื้นยี่ห้อเฟิงหยูของเราเป็นจำนวนเงิน 1 ล้านหยวน!”
คนที่หัวเราะเยาะเฝิงหยู่ก่อนหน้านี้ถึงกับอึ้ง เด็กคนนี้บอกว่าจะสนับสนุนรายการเป็นเงินจำนวน 1 ล้านหยวนงั้นหรอ?