บทที่ 160 เม็ดยาเพลิงเหลือคณา
ซู่เฝ้ารอจั่วม่อมาเป็นเวลานานแล้ว
แม้นางไม่แน่ใจว่าจั่วม่อจะช่วยเหลือนางหรือไม่ ในเมื่อในช่วงการประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ นางไม่ได้ช่วยเหลือมันตามที่รับปากไว้ เหตุผลที่นางเลือกจะรอเงียบๆ แทนที่จะไปยังภูเขาสุญตาโดยตรง เนื่องเพราะนางไว้วางใจในตัวหลินเชียน นางไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด แต่นางเต็มไปด้วยความมั่นใจในบุรุษหนุ่มลึกลับผู้นี้อย่างเต็มที่
“เราจะเริ่มกันเมื่อใด?” จั่วม่อถาม
“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน” ซู่ตอบเรียบๆ ในมือปรากฏขวดหยกใบหนึ่ง “นี่คือเม็ดยาเพลิงเหลือคณาแห่งป้อมตระกูลเฉา ที่ข้ารับปากเจ้าไว้ จัดการกับมันให้เรียบร้อยเสียก่อน ข้าจะช่วยเจ้ารักษาเสถียรภาพของพลังโอสถ”
จั่วม่อลังเลแวบหนึ่ง แต่ยังรับขวดหยก ทันทีที่เปิดจุกออก สามารถรู้สึกถึงคลื่นความร้อนพ่นออกจากขวดหยก วางอยู่ภายในเป็นเม็ดไข่มุกสีทับทิมซึ่งคล้ายแกะสลักจากหยกสีแดง
ไฟหินงอกเป็นไฟเย็น แต่พลังไฟในเม็ดยาเพลิงเหลือคณาเห็นได้ชัดว่าเป็นไฟร้อน ธรรมชาติของทั้งสองฝ่ายเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เกรงว่าการผสานรวมเข้าด้วยกันจะไม่ใช่เรื่องง่าย
อย่างไรก็ตาม จั่วม่อยังคงตัดสินใจทดลองดู เนื่องเพราะมันก็เคยรับประทานเม็ดยาอีกาทองคำ ซึ่งบรรจุไฟอีกาทองคำอันร้อนแรงเช่นเดียวกัน
ภายในห้องสันโดษ คนทั้งสองนั่งท่าดอกบัว หันหน้าไปทางเดียวกัน ซู่นั่งอยู่ที่เบื้องหลังจั่วม่อ
“เม็ดยาเพลิงเหลือคณาหลอมกลั่นจากหินหลอมเหลวใต้พื้นโลก บรรจุไว้ด้วยไฟพิภพสุดแกร่งกร้าว เจ้าต้องระมัดระวังให้มาก” ซู่ไม่สิ้นเปลืองวาจามากความ กล่าวเตือนเพียงเท่านี้ ก็ทาบฝ่ามือกับแผ่นหลังจั่วม่อ
จั่วม่อโยนเม็ดยาเพลิงเหลือคณาหนึ่งเม็ดเข้าไปในปาก
ทันทีที่เม็ดยาผ่านลงไปในปาก ก็แปรเปลี่ยนเป็นกระแสความร้อนสุดแกร่งกร้าวขุมหนึ่ง กระแสความร้อนสายนี้เดือดพล่านดุจหินหลอมเหลว จั่วม่อรู้สึกราวกับร่างกายถูกแผดเผาแทบลุกไหม้
เป็นไปตามคาด พยศดุร้ายถึงขีดสุดจริงๆ!
จั่วม่อไม่กล้าละเลย รีบโคจรพลังปราณเข้าล้อมกรอบกระแสความร้อนสีแดงฉานในทันที! หากมันปล่อยให้กระแสความร้อนสายนี้แล่นพล่านไปทั่วร่างกาย เส้นชีพจรปราณทั้งหลายคงไม่ต้องเอาไว้อีกแล้ว
จั่วม่อผิวหนังชั้นนอกกลับกลายป็นสีแดงสด เช่นเดียวกับเหล็กหลอมเหลวร้อนฉ่า
ซู่ก็ไม่กล้าละเลย ค่อยๆ โคจรพลังปราณผ่านเข้าไปในร่างจั่วม่ออย่างระมัดระวัง
จั่วม่อสัมผัสถึงพลังปราณที่เข้าสู่แผ่นหลัง มันไม่ได้ตื่นตระหนก แต่สังเกตอย่างรอบคอบ จิตสำนึกของมันทรงพลังมาก ไม่ต้องกล่าวถึงว่าร่างกายของมันก็ประหนึ่งสวนหลังบ้านของตัวเอง กับพลังปราณของซู่สายนี้ มันสามารถมองเห็นได้ทะลุปรุโปร่ง
พลังปราณอันแปลกประหลาดนัก! จั่วม่ออดไม่ได้ ต้องบังเกิดความสนอกสนใจไม่น้อย
พลังปราณของซู่ไม่ได้ไหลหลั่งเหมือนกระแสน้ำ แต่คล้ายเส้นใยล่องลอยนับไม่ถ้วน ประดุจฝูงปลาอันปราดเปรียว พิเศษเฉพาะเป็นที่สุด มันจดจำได้ว่าเคล็ดวิชากระบี่ของซู่เป็นพลังแม่เหล็ก สภาพของพลังปราณเช่นนี้ใช่เป็นเคล็ดลับเฉพาะตัวหรือไม่?
จั่วม่ออดลอบจดจำไว้ในใจไม่ได้
ซู่ไม่เคยคาดฝัน ว่าขณะที่นางช่วยเหลือจั่วม่อย่อยสลายพลังโอสถ จั่วม่อกลับสามารถสอดแนมพลังปราณอันลี้ลับซับซ้อนของนาง ในความเป็นจริงไม่ใช่ว่านางเผลอไผลไม่เจตนา แต่เวลานี้ พลังจิตสำนึกของจั่วม่อเหนือล้ำเกินจินตนาการของผู้คนทั่วไปมาก ผู้ใดจะคิดว่าชนชั้นจู้จีผู้หนึ่ง สามารถครอบครองจิตสำนึกอันทรงพลังถึงเพียงนี้?
จั่วม่อในที่สุดค่อยทราบว่าช่องว่างระหว่างด่านจู้จีกับด่านหนิงม่ายกว้างใหญ่ไพศาลปานใด
พลังปราณของซู่ไม่รุนแรง แต่ลึกล้ำไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อพลังโอสถอันพยศดุร้ายของเม็ดยาเพลิงเหลือคณาถูกพลังปราณของซู่จับตัวไว้ ก็ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้อีก
จั่วม่อทราบว่าจากนี้ไปขึ้นอยู่กับมันแล้ว!
สิ่งที่ซู่สามารถกระทำได้ คือช่วยเหลือมันจับกุมพลังโอสถไว้ให้มั่นคง แต่มีเพียงตัวมันเองเท่านั้นที่สามารถกลั่นเกลาพลังโอสถนี้ได้
จั่วม่อไม่ได้เร่งเร้าพลังปราณของมันในทันที แต่ใช้พลังจิตสำนึกเพ่งพิศพลังโอสถอันพยศดุร้ายอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ซู่ควบคุมพลังปราณของนางอย่างระมัดระวัง เนื่องจากอยู่ภายในร่างกายของจั่วม่อ นางไม่อาจควบคุมบังคับได้สะดวกดายนัก
ผ่านไปครู่ใหญ่ พลังปราณของจั่วม่อยังนิ่งงัน ไม่มีเจตนาจะก้าวรุดหน้าไปแม้แต่น้อย
ไฉนมันไม่ลงมือ? ซู่อดขมวดคิ้วนิ่วหน้าไม่ได้ นางไม่เข้าใจว่าไฉนจั่วม่อลากถ่วงออกไป หรือมันไม่ทราบวิธีกลั่นเกลาพลังโอสถ?
ขณะที่นางกำลังงงงวย พลังปราณของจั่วม่อก็พลันเคลื่อนไหว
พลังปราณเส้นเล็กละเอียดสองสาย พุ่งเข้าหาพลังโอสถที่นางควบคุมไว้
ไฉนใช้พลังปราณเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นเล่า?
นางไม่พอใจอยู่บ้าง บุรุษผู้นี้กำลังทำอันใด? ใช้พลังปราณเล็กละเอียดถึงเพียงนั้น เจ้าคิดว่าจะย่อยสลายพลังโอสถแล้วเสร็จเมื่อใดกัน? แม้ว่านางจะจับกุมไว้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่พลังโอสถของเม็ดยาเพลิงเหลือคณาพยศเกรี้ยวกราดยิ่ง ต่อให้จับกุมมันไว้ได้ด้วยพลังปราณ แต่มันราวกับสัตว์ร้ายติดอยู่ในกรงขัง ต่อสู้ดิ้นรนไม่คิดชีวิต พลังปราณของนางยังคงหมดเปลืองไปทีละน้อย แม้ว่าจะไม่เร็วนักก็ตาม
ในเวลานี้ ปรากฏกระแสพลังปราณเล็กละเอียดอีกสองสาย จู่โจมเข้าไปทางด้านหลังของพลังโอสถ
ยังคงน้อยเกินไป!
ซู่อยากบอกเตือนจั่วม่อ การกลั่นเกลาพลังโอสถจำเป็นต้องใช้พลังปราณมากมาย มันไม่ควรตระหนี่พลังปราณในเวลาเช่นนี้
ก่อนที่นางจะทันได้เอ่ยปาก กระแสพลังปราณอีกสองสายก็พุ่งเข้ามาจากอีกด้าน!
อีกสองสาย!
มาอีกสองสาย!
มาอีก...ยังคงมาอีก...
ในระยะเวลาอันกระชั้นสั้น พลังปราณของจั่วม่อกระจายออกเป็นกระแสพลังปราณเล็กละเอียดมากกว่าแปดสิบสาย จู่โจมเข้าหาพลังโอสถอย่างพร้อมเพียง!
ซู่อ้าปากค้าง ตาเบิกกว้าง นี่... นี่มันอะไรกัน...
ฉากต่อไป หลุดพ้นจากจินตนาการของนางอย่างสมบูรณ์
กระแสพลังปราณแปดสิบสาย พวกมันราวกับปลาไหลที่ลื่นเป็นพิเศษแปดสิบตัว เจาะลึกเข้าไปในพลังปราณของนางที่ห่อหุ้มรอบพลังโอสถจากเม็ดยาเพลิงเหลือคณา ในชั่วพริบตา พลังโอสถอันดุร้ายเกรี้ยวกราดก็ถูกกลุ่มเส้นใยพลังปราณเล็กๆ ของจั่วม่อ สับสะบั้นออกเป็นเจ็ดแปดท่อน
เฝ้ามองพลังโอสถอันดุร้าย ถูกกระแสพลังปราณบางเฉียบเหล่านั้นแทะกินอย่างช้าๆ ไม่ใช่ มันไม่ได้แทะกิน แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าทีละน้อยๆ แต่ความเร็วในการกลั่นเกลากลับรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง
เพียงชั่วขณะจิต พลังโอสถก็หลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างรวดเร็ว พลังโอสถของเม็ดยาเพลิงเหลือคณาถูกกลั่นเกลาจนหมดสิ้น
ผ่านการกลั่นเกลาแล้วเสร็จ สิ่งที่หลงเหลืออยู่เป็นเส้นใยไฟสีแดงเข้มอันบริสุทธิ์สุดขั้วสายหนึ่ง จั่วม่อสามารถรู้สึกได้ถึงความร้อนน่าหวาดหวั่น ที่แฝงเร้นอยู่ในปราณไฟเล็กกะจ้อยร่อยสายนี้ นี่เป็นแก่นสารสำคัญของเม็ดยาเพลิงเหลือคณาทั้งเม็ด และเป็นเป้าหมายของจั่วม่อ
ปราณไฟที่บริสุทธิ์ถึงเพียงนี้ ปกติยากจะพบเห็น แม้ว่าจะเป็นเพียงเส้นใยเล็กๆ เช่นนี้ก็ตาม คิดถึงสิ่งที่ซู่กล่าวไว้ เม็ดยาเพลิงเหลือคณาหลอมกลั่นจากไฟหินหลอมเหลวใต้พิภพอันลึกล้ำ ไม่น่าแปลกใจที่ปราณไฟจะบริสุทธิ์ถึงเพียงนี้ ตามที่ตำรามุกหยินประลัยกัลป์บรรยายไว้ ในหมู่ไฟพิภพทุกชนิด ไม่มีชนิดใดเป็นเมล็ดพันธุ์ไฟระดับต่ำ
เส้ยใยไฟพิภพบริสุทธิ์ สำหรับจั่วม่อแล้วเป็น ’อาหารเสริม’ อันสุดยอด!
จั่วม่อควบคุมไฟหินงอกอย่างระมัดระวัง ทันทีที่ไฟหินงอกปรากฏตัวขึ้น พลังสภาวะมืดมนเย็นเยียบก็แผ่ปกคลุมอย่างฉับพลัน
ไฟหินงอกสีน้ำนมตรงเข้าห่อหุ้มเส้นใยไฟพิภพสีแดงเข้มอย่างรวดเร็ว
หนึ่งเป็นหยินเย็นเยือก อีกหนึ่งร้อนแรงสุดขั้ว แต่ทั้งสองกลับผสานรวมเข้าด้วยกันอย่างพิสดาร จั่วม่อสามารถสัมผัสได้ชัดเจน ไฟหินงอกนี้หลังจากเขมือบกลืนเส้นใยไฟพิภพเข้าไป มีการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์บางอย่างเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกจำกัดจากปริมาณไฟพิภพที่น้อยเกินไป การเปลี่ยนแปลงนี้ยังไม่อาจหยั่งทราบได้ชัดแจ้ง
สิ่งเหล่านี้ทำเอาจั่วม่อประหลาดใจอยู่บ้าง ปัญหาที่คาดเดาไว้ไม่ปรากฏขึ้น กระบวนการดูดซับผสานรวมเป็นไปอย่างราบรื่นจนน่าตกใจ
เม็ดยาเพลิงเหลือคณาขวดนี้ เป็นซู่ชนะพนันมาจากเฉาอัน มีทั้งสิ้นสามสิบหกเม็ด กล่าวอีกทางหนึ่งก็คือ มันยังเหลือเส้นใยไฟพิภพอีกสามสิบห้าสาย!
จั่วม่ออดบังเกิดความคาดหวังไม่ได้ หากหลอมรวมเส้นใยไฟพิภพทั้งหมดนี้เข้าไปในไฟหินงอก จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอันใดขึ้น?
เนื่องจากกระบวนการผสานรวมไม่เกิดปัญหา จั่วม่อจึงเพิ่มความเร็วขึ้นทันที โยนเม็ดยาเพลิงเหลือคณาใส่ปากอีกเม็ดหนึ่ง
ซู่คอยควบคุมเสถียรภาพพลังปราณอย่างมั่นคง โดยไม่รู้ตัว ใบหน้านางปรากฏชั้นเหงื่อผุดพราย นางเริ่มรู้สึกหนักแรงขึ้นเรื่อยๆ ความเร็วของจั่วม่อรวดเร็วเกินไป กลั่นเกลาเม็ดยาเพลิงเหลือคณาติดต่อกันเม็ดแล้วเม็ดเล่า อย่างไม่คิดจะหยุดยั้ง นางไม่มีโอกาสได้พักหายใจหายคอแม้แต่น้อย
นางต้องการหยุดพักเป็นอย่างยิ่ง แต่สู้ฝืนทนยับยั้งไว้ ซิวเจ่อด่านหนิงม่ายผู้หนึ่ง ร้องขอให้ซิวเจ่อด่านจู้จีหยุดมือเพื่อพักหายใจ จะให้นางกล่าวออกมาจากปากได้อย่างไร! ไม่ต้องกล่าวถึงว่า ทั้งหมดที่นางต้องทำก็แค่เพียงกำราบพลังโอสถเอาไว้เท่านั้น การกลั่นเกลาของมันยิ่งสิ้นเปลืองพลังปราณมากกว่านางเสียอีก จั่วม่อยังไม่ได้เอ่ยปาก แล้วนางจะเป็นฝ่ายร้องขอเสียเองได้อย่างไรเล่า?
ซู่ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน!
จนถึงขณะนี้นางยังไม่เข้าใจ ว่าจั่วม่อกระทำทั้งหมดนี้ได้อย่างไร
การกลั่นเกลาสมควรใช้พลังปราณสิ้นเปลืองกว่าจึงจะถูก แต่จนถึงตอนนี้ มันกลั่นเกลาเม็ดยาเพลิงเหลือคณาติดต่อกันสิบกว่าเม็ด แต่จั่วม่อยังไม่แสดงอาการเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย จะเป็นไปได้อย่างไร? มันเห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงแค่ซิวเจ่อด่านจู้จีเท่านั้น!
ซู่ขบกรามแน่น พลังปราณของนางห่อหุ้มเม็ดยาเพลิงเหลือคณาไว้อย่างแน่นหนา พลังปราณของจั่วม่อต้องเจาะผ่านพลังปราณของนางเสียก่อน จึงจะสามารถจัดการกับพลังโอสถได้ ดังนั้นนางเห็นทุกการกระทำของพลังปราณของจั่วม่อได้อย่างชัดเจน
แต่ต่อให้นางล่วงรู้อย่างกระจ่างแจ้ง นางยังคงแทบเชื่อไม่ลง
จั่วม่อใช้กระแสพลังปราณบางเฉียบหลายสิบสาย แต่ละสายควบคุมอย่างละเอียดอ่อนถึงที่สุด เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่มันกระทำเรื่องเช่นนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยลวิธีการกลั่นเกลาอันพิสดารของจั่วม่อ นางอดไม่ได้ ต้องนับถือเลื่อมใสความคิดของจั่วม่อ ตัดแบ่งพลังโอสถออกเป็นหลายส่วน แบ่งแยกและกลั่นเกลา สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการกลั่นเกลาได้อย่างมาก
สิ่งที่นางตื่นตะลึงที่สุด คือกระแสปราณเล็กละเอียดแต่ละสาย คมกล้าดุจคมมีด แม้ว่าพลังของพวกมันจะเล็กน้อย แต่สามารถตัดพลังโอสถออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างไม่กินแรง
นางมีประสบการณ์ความรอบรู้มากมาย พลังบำเพ็ญเพียรก็เหนือล้ำกว่าจั่วม่อ ดังนั้นย่อมเข้าใจวิธีการที่มันประสบความสำเร็จเช่นนี้
มันเพียงแค่ต้องหาจุดที่เปราะบางที่สุดในพลังโอสถ จะสามารถบรรลุผลเช่นนี้ได้อย่างง่ายดาย
คำถามสำคัญคือ จั่วม่อสามารถหาส่วนที่เปราะบางที่สุดของพลังโอสถ ได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องแม่นยำได้อย่างไร? พลังปราณของนางแม้ห่อหุ้มอยู่รอบๆ พลังโอสถ แต่นางทราบดีว่านางไม่สามารถทำอย่างนั้นได้
ไม่ใช่เพียงแค่นาง ต่อให้เป็นศิษย์พี่กู่หรงผิงของนาง ก็ไม่สามารถกระทำเรื่องราวที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน!
บางทีนี่อาจจะเป็นความลับของจั่วม่อ!
คิดไปคิดมา ความตื่นตะลึงในใจซู่ค่อยๆ เบาบางลง แต่ละคนมีฝีมือของตนเอง บุคคลที่สามารถสำแดงพลังอันร้ายกาจในงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่เช่นจั่วม่อ จะต้องมีฝีมือพิเศษเฉพาะที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนอยู่แล้ว
จิตใจนางสงบเยือกเย็น อดเฝ้าชื่นชมการ ‘ แสดง‘ ของจั่วม่อไม่ได้
ฝีมือการควบคุมพลังปราณของจั่วม่อ มีคุณค่าคู่ควรกับคำว่า ‘การแสดง’ อย่างแท้จริง เส้นใยพลังปราณหลายสิบสายปล่อยออกรั้งเข้าได้ดั่งใจปรารถนา สอดประสานร่วมมืออย่างกลมกลืนประดุจกองทัพ แบ่งแยกหน้าที่กันอย่างชัดเจน ยามรวมตัวกันก็สามารถควบคุมสถานการณ์ในวงกว้าง พลังโอสถอันพยศดุร้ายเปรียบประดุจสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง มองภายนอกเข้มแข็งดุดัน แต่ไม่มีแก่นสารใด ถูกรุมทึ้งชำแหละได้อย่างง่ายดาย กระบวนการทั้งหมดรวดเร็วแม่นยำ เรียบร้อยหมดจด ปราศจากการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นแม้แต่น้อย
เฝ้าชมดูการแสดงของพวกมัน เป็นความเพลิดเพลินบันเทิงใจชนิดหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดทั้งมวลนี้กลับเปิดเผยความนัยอย่างชัดเจน ว่าพลังปราณของจั่วม่อยังไม่แข็งแกร่งพอ ความสามารถในการควบคุมพลังปราณที่ดีแม้มีประโยชน์ในวิชาค่ายกล แต่สำหรับเคล็ดวิชากระบี่ กลับไม่ค่อยมีประโยชน์สักเท่าใด
ภายในระยะเวลาสั้นๆ ซู่ก็สามารถวิเคราะห์ ได้ข้อสรุปของตัวเอง
ในความเห็นของนาง จั่วม่อแน่นอนว่าร้ายกาจ แต่ความแข็งแกร่งของมันแตกต่างจากผู้อื่น จุดอ่อนของมันก็เห็นได้เด่นชัดพอๆ กัน กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความร้ายกาจของจั่วม่อมีข้อจำกัดมากมาย เพียงสามารถแสดงออกมาได้ภายใต้เงื่อนไขที่สมบูรณ์พร้อมเท่านั้น นางหวนนึกถึงงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ นึกถึงขบวนค่ายกลอันน่าตื่นตะลึงที่จั่วม่อก่อตั้งขึ้น นั่นไม่ใช่ว่ามันสร้างสภาพแวดล้อมที่มันสามารถใช้ความร้ายกาจของมันออกมาได้อย่างเต็มที่หรอกหรือ?
นางอดสั่นศีรษะอย่างเศร้าเสียดายไม่ได้ ในสายตานาง ความแข็งแกร่งเช่นจั่วม่อเป็นเพียงของเทียมเท่านั้น มันมีข้อจำกัดมากเกินไป
ฝึกวิชากระบี่จึงจะเป็นวิถีทางที่ถูกต้องเที่ยงแท้ ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ใด เซียนกระบี่ก็สามารถกุมชะตากรรมของตนเอง! คิดถึงตรงนี้ นางก็ตั้งใจว่าจะฝึกปรือวิชากระบี่ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ในใจเต็มไปด้วยความคาดหวังที่มีต่อชิ้นส่วนกระบี่ ที่กำลังจะหลอมสร้างในไม่ช้า
สามชั่วยามให้หลัง เม็ดยาเพลิงเหลือคณาเม็ดสุดท้ายหายลงไปในท้องของจั่วม่อ เปลี่ยนเป็นเส้นใยไฟพิภพอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เส้นใยไฟพิภพสายสุดท้ายผสานรวมเข้าไป ไฟหินงอกก็แปรเปลี่ยนไปในบัดดล!