บทที่ 158 ปิดด่านฝึกตน
การตัดสินใจที่จะปิดด่านฝึกตนของจั่วม่อ ไม่ใช่ความคิดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
อาการบาดเจ็บของมันส่วนใหญ่เกือบหายดีแล้ว ส่วนที่เหลือเป็นเพียงการพักฟื้น เพื่อกลับสู่สภาพที่ดีที่สุด มันต้องการสมาธิเพื่อแยกแยะสิ่งที่ได้รับและสิ่งที่สูญเสียทั้งหมดในครั้งนี้ งานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ปีนี้ มันเผชิญเรื่องราวมากมายกว่าที่เคยคิด จนถึงขณะนี้ เพิ่งมีเวลาพอสำหรับการจัดระเบียบอย่างถูกต้อง
ในความเป็นจริงจั่วม่อมีหลายสิ่งที่จะถามผูเยา อย่างเช่นเรื่องการแบ่งแยกจิตสำนึก แต่เมื่อมันฟื้นคืนสติครั้งแรกหลังงานประลอง ก็พบว่าผูเยาอยู่ในระหว่างการเข้าฌานไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะตะโกนหรือพยายามเท่าใด ผูเยาก็ไม่ตอบสนอง ในความอับจนหนทาง จั่วม่อได้แต่พึ่งพาตนเองเท่านั้น
มันมีหลายสิ่งที่ควรพิจารณาไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง
อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้มันตัดสินใจปิดด่านฝึกตน เป็นข่าวที่หลี่อิงฟ่งเปิดเผยเรื่องเขตแดนลับ จั่วม่อทราบว่าเขตแดนลับเป็นอย่างไร เนื่อเพราะล่วงรู้ว่านี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก มันจึงตัดสินใจปิดด่านฝึกตน!
ในเขตแดนลับมีโชควาสนามากมาย หากมันโชคดีเสาะพบวัตถุดิบหายากสักอย่างสองอย่าง ก็จะได้กำไรงามอย่างแท้จริง แต่อย่าได้หลงคิดว่าเขตแดนลับเป็นทุ่งนาปราณข้างบ้านของตนเอง ที่จะสามารถเก็บเกี่ยวเอาได้ตามใจชอบ การที่เทียนซงจื่อยินยอมให้ผู้คนเข้าสู่เขตแดนลับ บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเขตแดนลับนี้ยังไม่เคยถูกสำรวจมาก่อน เนื่องเพราะหากผ่านการสำรวจมาแล้ว โชคลาภทรัพย์สมบัติทั้งหมดถูกนำออกมาจากที่นั่นแล้ว เช่นนั้นปล่อยให้ผู้คนเข้าไปสำรวจอีกครั้ง ยังจะมีคุณค่าความหมายใดอีก
ภายในเขตแดนลับ นอกเหนือจากโชควาสนา สิ่งที่โดดเด่นพอๆ กันคือภยันตรายอันร้ายกาจ เขตแดนลับมักถูกพิทักษ์รักษาโดยสัตว์อสูร ยิ่งสมบัติที่อยู่ข้างในล้ำค่าและหายากมากเท่าใด สัตว์อสูรพิทักษ์เขตแดนลับก็ยิ่งแข็งแกร่งร้ายกาจมากขึ้นเท่านั้น
นอกเหนือจากสัตว์อสูร สิ่งที่ยากระวังป้องกันยิ่งกว่าคือจิตใจผู้คน ผลประโยชน์โดยตรง หมายถึงความขัดแย้งโดยตรง เขตแดนลับแตกต่างจากหอคลื่นสนอย่างสิ้นเชิง ที่นั่นไม่มีผู้ตัดสิน ไม่มีผู้ใดเรียกให้หยุดมือ การต่อสู้จะง่ายดายและเปิดเผยสัญชาตญาณดิบมากขึ้น หากมีคนลงมือสังหารเพื่อแย่งชิงสมบัติ จั่วม่อจะไม่แปลกใจแม้แต่น้อย
โลกก็เป็นเช่นนี้ตลอดมา! แต่หากไม่เข้าร่วมเพราะเกรงกลัวความเสี่ยง ก็นับว่าโง่งมเกินไปแล้ว
ต้องการได้รับผลประโยชน์ นอกจากพึ่งพาโชควาสนา ยังต้องมีพลังฝีมืออันเข้มแข็ง
อย่าเห็นว่ามันได้อันดับที่สาม แต่มันทราบระดับพลังฝีมือของตัวเองดี สามารถได้อันดับที่สาม ความโชคดีนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ขาดเสียไม่ได้ มันมีฝีมือทางค่ายกล ไม่เหมาะสำหรับการเผชิญหน้าโดยตรง จั่วม่อคาดเดาว่าเมื่อถึงเวลา ท่านเจ้าสำนักจะให้พวกมันสามศิษย์พี่ศิษย์น้องเดินทางไปด้วยกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหอกสามง่ามของสำนักกระบี่สุญตา จะเป็นขบวนทัพที่แข็งแกร่งที่สุด รองลงมาอาจเป็นคู่ของหวีป๋ายกับหนานเหมินหยาง
อย่างไรก็ตาม จั่วม่อไม่ต้องการถ่วงมือถ่วงเท้าผู้อื่น ซิวเจ่ออื่นๆ อาจหวาดเกรงความแข็งแกร่งของพวกมันจนหลีกเลี่ยงไปเอง แต่สัตว์อสูรเหล่านั้นหาได้รู้จักพวกมันไม่
การประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ครั้งนี้มีความเข้าใจมากเกินไป มันจำเป็นต้องสะสางและจัดระเบียบ นอกจากนี้ยังต้องตรวจสอบสภาพของเจดีย์ห้าสีอย่างละเอียดอีกด้วย
ผูเยาในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด มักหายหัวทุกครั้ง ไม่อาจพึ่งพาและไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย จั่วม่อคิดอย่างขุ่นเคือง
โถงสุญตา
“มันปิดด่านฝึกตน?” เผยเหยียนหรานกล่าวอย่างครุ่นคิด
นอกจากซินหยานที่ยังคงเฉยเมยเย็นชา อีกสองคนต้องเผชิญกับอาการปวดเศียรเวียนเกล้า
หยานเล่อนวดขมับ กล่าวว่า “มันคงต้องการเวลาและสมาธิ เพื่อใคร่ครวญประสบการณ์ที่มันได้รับจากเรื่องครั้งนี้”
“ใคร่ครวญ? ใคร่ครวญอันใด?” สือฟ่งหรงพอกล่าวถึงเรื่องนี้ ก็ฉุนเฉียวขึ้นมา นางจดจำเสียงหัวร่อเยาะเย้ยจากบรรดาผู้ชมได้อย่างชัดเจน “ใคร่ครวญค่ายกลของมัน? หรือใคร่ครวญวิธีทำกำไรจิงสือ?” พอนึกถึงตอนที่จั่วม่อพอทราบว่ามันได้อันดับที่สาม ก็เอ่ยปากถามทันทีว่าเมื่อใดจะได้รับรางวัล นางไฟโทสะอัดแน่นอยู่ในอก
ไฉนนางมีลูกศิษย์โลภมากและไม่ชมชอบฝึกกระบี่เช่นนี้?
นางอดลอบมองใบหน้าเย็นชาของศิษย์พี่รองไม่ได้ ในใจยิ่งโกรธเคืองจั่วม่อมากกว่าเดิม นางทราบดีว่าหนนี้ศิษย์พี่รองบันดาลโทสะแล้วจริงๆ
เดรัจฉานน้อยนี้ ถึงกับทำให้ศิษย์พี่รองพิโรธ! สือฟ่งหรงในใจขุ่นแค้นยิ่ง ตั้งใจจะหาโอกาสเช็ดล้างเจ้าศิษย์นอกคอกที่ไร้ศีลธรรมผู้นี้สักครั้ง
“ไม่เป็นไร ปล่อยให้มันปิดด่านฝึกตนไปเสียก่อน” ซินหยานจู่ๆ ก็เอ่ยปาก
อย่างไรก็ตาม วาจาของมันทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ พวกมันเติบโตขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่เล็กแต่น้อย รู้จักนิสัยใจคอกันเป็นอย่างดี ไม่ใช่แค่เพียงสือฟ่งหรงผู้เดียว ที่ทราบว่ามันบันดาลโทสะอย่างแท้จริง
เห็นจั่วม่อหลงใหลในวิชาค่ายกล ไม่ยอมกลับสู่วิถีทางที่ถูกต้อง ซินหยานกลับไม่คิดหยุดยั้ง นี่ไม่เรียกประหลาดจะเรียกอันใด ตามความคิดของพวกมัน ซินหยานสมควรบุกเข้าไปคว้าตัวจั่วม่อ จัดการกับมันอย่างสาสม แล้ววางมันไว้บนเส้นทางที่ถูกต้องจึงจะถูก
โถงสุญตากลายเป็นเงียบสงัด ทุกผู้คนตะลึงลานกับทัศนคติของซินหยาน
ในความเงียบ สุ้มเสียงเย็นเยือกบีบคั้นของซินหยานก้องกังวานออกมา
“ข้าจะทำให้มันเข้าใจ ว่าไฉนเซียนกระบี่สามารถรวมตัวกันอย่างยิ่งใหญ่ กลายเป็นผู้นำของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร!”
“สำนักค่ายกลสุญตา! มันไม่อาจไป...”
สุ้มเสียงมืดมนเย็นเยือกทำให้อีกสามคนตัวสั่น พวกมันอดไม่ได้ ใบหน้าแสดงความเห็นอกเห็นใจออกมา
จั่วม่อขณะนี้ยังไม่ทราบ ว่าอาจารย์ลุงซินหยานกำหนดปณิธานอันแน่วแน่เด็ดเดี่ยวไว้เช่นไร ในไม่ช้ารางวัลจากการประลองก็มาถึงมือมัน เป็นไปตามคาด ม้วนหยกที่ต้องการตกอยู่ในมือมันโดยไม่มีปัญหา ทางเลือกของมันทำให้หลายคนประหลาดใจ งานชุมนุมวิจารณ์กระบี่อาจเสร็จสิ้นลงไปแล้ว แต่เหตุการณ์สืบเนื่องจากการประลอง ยังคงก่อให้เกิดระลอกในตงฝู
มีคนชื่นชม มีคนเยาะหยัน การเลือกของจั่วม่อนับว่าไม่คาดฝันที่สุดในสิบลำดับแรก
ผีดิบจอมลอกคราบนี้ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ล้วนบันดาลให้ผู้คนประหลาดใจอยู่เสมอ
จั่วม่อไม่แยแสสนใจเรื่องเหล่านี้สักนิด ด้วยม้วนหยกในมือ มันไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เข้าปิดด่านฝึกตนอย่างสมบูรณ์
มันมุดเข้าไปในห้องศิลา จมดิ่งสู่ห้วงฌาน
ตรวจสอบสภาพภายในร่างกาย พบว่าสถานการณ์ยังย่ำแย่กว่าที่มันคิด อาการบาดเจ็บคราวนี้ร้ายแรงเหนือคาดไปมาก ภายใต้การดูแลรักษาของซือฟู่ เส้นชีพจรปราณในร่างกายได้รับการเยียวยาจนหายดี แต่เมื่อเทียบกับจุดสูงสุดของมัน นับว่าหดตัวลงไม่น้อย
จั่วม่อตัดสินใจที่จะหล่อเลี้ยงรักษาเส้นชีพจรปราณ
การหล่อเลี้ยงรักษาเส้นชีพจรไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ใช้พลังปราณค่อยๆ กรุยเส้นชีพจรปราณ ซึมซาบเข้าไปกระตุ้นเส้นชีพจรปราณ ให้กลับมาแข็งแรงมีพลังขึ้นมาอย่างช้าๆ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นกระบวนการที่พิถีพิถันและละเอียดอ่อน ต้องอาศัยความอดทนเป็นอย่างยิ่ง
โชคดีที่จั่วม่อไม่มีเหตุให้ต้องรีบร้อน ค่อยๆ หล่อเลี้ยงรักษาเส้นชีพจรปราณไปเรื่อยๆ มันยังถือโอกาสตรวจสอบสภาพร่างกายโดยละเอียด
ปราณธรรมชาติในอากาศตราบเท่าที่เข้ามาในระยะใกล้เคียงกับมัน จะถูกแผนผังปิศาจดูดกลืนเข้ามาตามธรรมชาติ และสิ่งที่ทำให้จั่วม่อรู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งกว่า คือนอกเหนือจากดูดซับปราณธรรมชาติได้ด้วยตัวเองแล้ว แผนผังปิศาจยังช่วยกลั่นกรองและขัดเกลาสิ่งสกปรกได้โดยอัตโนมัติ
ในมรรคาแห่งการบำเพ็ญเพียร การกลั่นกรองขัดเกลาพลังปราณ เป็นขั้นตอนที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ปราณธรรมชาติที่ไม่บริสุทธิ์ไม่เพียงแต่ไม่สามารถนำมาใช้งาน แต่ยังอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย
ทว่าด้วยพลังมหัศจรรย์ของแผนผังปิศาจ จั่วม่อไม่จำเป็นต้องเสียเวลากลั่นเกลาให้บริสุทธิ์
ปัญหาเรื่องการเก็บกักพลังปราณของจั่วม่อยังแก้ไขไม่ได้ เมื่อแผนผังปิศาจดูดซึมปราณธรรมชาติ แปลงเป็นพลังปราณส่งผ่านเข้ามาในร่างกาย พลังปราณจะไหลเวียนไปตามเส้นชีพจรปราณ จากนั้นก็กระจัดกระจายไปทั่วร่างกาย ตำแหน่งคลังเก็บกักพลังปราณที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายคือตันเถียน*ของมัน เมื่อเทียบกับปริมาณพลังปราณที่ดูดซับเข้ามาภายในร่างกาย ตันเถียนนี้สามารถนับเป็นบ่อน้ำขนาดเล็กเท่านั้น
(*ตำแหน่งใต้ท้องน้อย ตามนิยายกำลังภายในเป็นแหล่งเก็บกักพลังลมปราณหลักๆ)
พลังปราณที่ล้นออกจากบ่อน้ำ เท่ากับไม่สามารถกักเก็บไว้ในตันเถียนได้ พวกมันไหลเวียนไปตามเส้นชีพจรปราณ และกระจายตัวแทรกซึมเข้าไปเลือดเนื้อ
ซิวเจ่อทั่วไปจำเป็นต้องใช้ช่วงเวลายาวนานในการดูดซับปราณธรรมชาติ กลั่นเกลาปราณธรรมชาติซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังนั้นปกติย่อมใช้เวลานานในการเติมเต็มตันเถียน
แต่จั่วม่อรู้สึกว่าปัญหาไม่ใช่เรื่องนี้
หากซิวเจ่อเป็นภาชนะขนาดใหญ่ ขณะนี้ภาชนะขนาดใหญ่นี้สามารถเก็บกักได้น้อยลง เช่นนั้นก็ต้องเกิดปัญหากับภาชนะอย่างแน่นอน ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับวิธีบรรจุ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สมควรมีปัญหาเกิดขึ้นกับตันเถียนของมัน เรื่องนี้เห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้งมาก
จริงดังคาด เมื่อจั่วม่อมุ่งเน้นสมาธิจิตใจไปสำรวจตันเถียนของมันอย่างละเอียด มันในที่สุดก็เข้าใจ ว่าไฉนพลังบำเพ็ญเพียรของมันจึงเพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งหยุดเพิ่มระดับในท้ายที่สุด
หากเปรียบตันเถียนเป็นบ่อน้ำ พลังปราณก็เป็นน้ำที่อยู่ภายในบ่อ แต่บ่อน้ำนี้เป็นบ่อน้ำวิเศษ เมื่อปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น ผนังบ่อก็จะยืดขยายตามไปด้วย ด้วยวิธีนี้ พลังปราณที่สั่งสมไว้ในร่างกายจึงเพิ่มพูนขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดจากแผนผังปิศาจในร่างกายของจั่วม่อ มันไม่ทราบว่าเจ้าวายร้ายบัดซบผูเยานั่นคิดอันใด! ที่แท้มีพื้นที่แถบหนึ่งของแผนผังปิศาจพาดผ่านตันเถียนของมัน!
นี่ราวกับมีรูสองรูอยู่บนผนังบ่อน้ำ เมื่อน้ำในบ่อเพิ่มขึ้นสูงกว่าความสูงของรู น้ำก็ย่อมไหลล้นออกมา พลังปราณของมันรั่วไหลออกมาจากรูทั้งสองนี้เอง ที่สำคัญคือทั้งสองรูนี้ไม่เล็กเลย ดังนั้นแม้ว่าจะมีปริมาณน้ำเข้ามาในบ่อน้ำอย่างสม่ำเสมอ ระดับน้ำในบ่อย่อมจะไม่เพิ่มขึ้นมากไปกว่านี้อีก
จั่วม่ออดฝืนยิ้มไม่ได้
การประลองชุมนุมวิจาณณ์กระบี่ครั้งนี้ มันได้ลิ้มรสชาติขมขื่นของการมีระดับพลังบำเพ็ญเพียรต่ำต้อยมามากเกินพอ ระดับพลังบำเพ็ญเพียรไม่เพียงพอ นั่นหมายความว่ามันไม่มีความสามารถในการปะทะกับคนอื่นได้โดยตรง อันว่ากระบี่ลับ หากใช้เป็นครั้งคราวย่อมยากจะปัดป้อง แต่หากจำเป็นต้องใช้อย่างพร่ำเพรื่อ ต่อไปก็ไม่ได้ผลแล้ว
บัดซบ!
มันแม้ทราบแล้วว่าปัญหาอยู่ที่ใด แต่ยังคงไม่มีปัญญาจัดการอยู่ดี
การเปลี่ยนแปลงในตันเถียน ไม่ใช่สิ่งที่ซิวเจ่อด่านจู้จีน้อยๆ เช่นมันจะมีปัญญาเข้าไปยุ่มย่ามได้
ในความอับจนหนทาง จั่วม่อได้แต่ลืมตา ถอยออกจากฌาน
สำหรับปัญหาเรื่องการบำเพ็ญเพียรนี้ มันได้แต่เดินหน้าไปอย่างช้าๆ เท่านั้น เร่งรีบไปก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้ในที่สุดก็ทราบสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา ค่อยๆ คิดหาวิธีแก้ไขไปก็แล้วกัน จั่วม่อได้แต่ปลอบประโลมตนเองเช่นนี้
เทียบกับพลังปราณที่หยุดชะงักการเติบโต พลังจิตสำนึกของมันเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วดุจติดปีกบิน โดยที่มันไม่ทันได้รู้ตัว ก็ทะลวงผ่านไปยังขั้นลมหายใจที่ห้า บนท้องฟ้าว่างเปล่าเหนือทะเลแห่งจิตสำนึก ปรากฏดวงดาวดวงที่ห้าขึ้นมา
ในความเป็นจริง ก่อนงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ จั่วม่อไม่ได้ชมชอบเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดสักเท่าใด เคล็ดวิชานี้อาจสามารถเพิ่มพูนพลังปราณ แต่พลังอำนาจหลักๆ กลับอยู่ในด้านการเสริมสร้างจิตสำนึก สำหรับจั่วม่อ ความสำคัญของจิตสำนึกไม่ได้เทียบเท่าพลังปราณ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ฝึกปรือจิตสำนึกจนแข็งแกร่งสุดยอด แต่ก็ไม่มีหนทางใช้งานจิตสำนึก ในสายตาของคนที่มีชีวิตอยู่กับความเป็นจริงเช่นจั่วม่อ สิ่งนี้ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี
แต่ถึงตอนนี้ จั่วม่อวางเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดไว้ในตำแหน่งสำคัญที่สุด เหนือกว่าเคล็ดวิชาหรือเวทวิชาอื่นใดทั้งหมด
สภาวะที่ลึกลับและยากจะบ่งบอกบรรยาย ทรายดาวเล็กละเอียดที่คล้ายไม่มีอยู่จริง ความรู้สึกราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย...
จั่วม่อมองไปยังเจดีย์ห้าสีในมือ ความรู้สึกก็รุนแรงขึ้นราวกับว่าเจดีย์เชื่อมโยงกับเลือดเนื้อของมัน เจดีย์เล็กๆ เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของมัน สนิทสนมคุ้นเคยยิ่ง
อีกหนึ่งเหตุผลที่จั่วม่อปิดด่านฝึกตนเป็นเพราะเจดีย์ห้าสีนี้เอง ในการต่อสู้ ระหว่างปะทะครั้งใหญ่ครั้งสุดท้าย มันได้รับบาดเจ็บสาหัส เจดีย์ห้าสีก็ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง มันมีซือฟู่ที่ช่วยรักษาจนหายดี แต่เจดีย์ห้าสี มีแต่มันเท่านั้นที่จะจัดการกับความเสียหายของเจดีย์ห้าสีได้
เจดีย์ห้าสีมืดมัวหมองคล้ำ ทั่วองค์เจดีย์เต็มไปด้วยรอยแตกร้าว หากไม่ใช่ว่ามีความรู้สึกเชื่อมโยงกับเลือดเนื้ออยู่ระหว่างพวกมัน จั่วม่ออาจจะสงสัยว่านี่ใช่เจดีย์ห้าสีของมันหรือไม่
รู้สึกถึงความอ่อนแอที่เจดีย์ห้าสีส่งผ่านออกมา จั่วม่ออดไม่ได้ ต้องยื่นมือออกไปแตะเบาๆ อย่างปลอบประโลม
มันหลับตาลง จิตสมาธิจมดิ่งลงไปภายในเจดีย์ห้าสี
พอเข้าไปในเจดีย์ห้าสี จั่วม่อก็ใจหายวาบ
ภายในเจดีย์ห้าสี กลุ่มแก่นสารปราณทั้งห้าธาตุสลัวหรุบหรู่ เลือนรางจนคล้ายกับว่าพวกมันสามารถดับสลายไปได้ทุกเมื่อ
กลุ่มก้อนจิตสำนึกลอยอย่างอ่อนแรงตรงใจกลางกลุ่มแก่นสารปราณห้าธาตุ ความมีชีวิตชีวาก่อนหน้านี้แทบไม่หลงเหลือแม้แต่น้อย หากกล่าวว่าเจดีย์ห้าสีก่อนหน้านี้เป็นจุดกำเนิดของโลกห้าธาตุ เช่นนั้นในเวลานี้โลกห้าธาตุนี้ ก็อยู่บนขอบแห่งการล่มสลาย!
จั่วม่อสีหน้าหนักอึ้ง สถานการณ์ยังเลวร้ายยิ่งกว่าที่มันคิด!