บทที่ 156 พี่น้องในยามยาก
“อย่าได้ลืมเลือน...”
“ต่อให้ต้องตาย ก็มิอาจลืม...”
จั่วม่อค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาช้าๆ ปฏิกิริยาแรกที่มันพบคือความเจ็บปวด! กระดูกในร่างคล้ายลั่นกรอบไปทั้งกาย เพียงขยับตัวเล็กน้อยก็ปวดลึกถึงขั้วหัวใจ เจ็บร้าวไปถึงกระดูกดำ มันค่อยนอนนิ่งๆ เรียบๆ ร้อยๆ ขึ้นมาทันที
กลิ่นสมุนไพรอันคุ้นเคยกำซาบนาสิก จั่วม่อทราบในฉับพลันว่ามันอยู่ที่ใด
อนิจจา ชีวิตช่างขมขื่นเสียจริง ดูเหมือนว่าต่อสู้ครั้งใด มันล้วนมาจบลงที่เรือนขิงหอม มิหนำซ้ำครั้งนี้ยังหนักหนาสาหัสกว่าครั้งก่อนๆ มาก
“แค่กๆ ศิษย์น้อง เจ้าฟื้นแล้ว”
ทันใดนั้นเสียงคุ้นหูดังมาจากทางด้านขวา
ศิษย์พี่ใหญ่? จั่วม่อหันหน้าไปมองทางขวาอย่างลืมตัว เพียงขยับเท่านั้นเอง เสียงสูดปากดังลั่น เจ็บปวดเหลือเกิน!
มันตัวสั่นสะท้านอยู่นาน แล้วค่อยๆ หันหน้าอย่างยากลำบาก พอเห็นร่างบนเตียงทางด้านขวามือ ไม่ไกลออกไปนัก ก็พลันตะลึงงัน
บนเตียงที่มีเสียงของศิษย์พี่ใหญ่ดังมา เห็นคนผู้หนึ่งนอนอยู่ ตั้งแต่หัวจรดเท้าห่อหุ้มเต็มไปด้วยผ้าพันแผล มีเพียงดวงตาคู่หนึ่งที่โผล่ออกมา
“ศิษย์พี่ใหญ่? ฮะ ใช่ท่านหรือไม่?” จั่วม่อชักไม่มั่นใจ คนผู้นี้ถูกห่อไว้อย่างกับบ๊ะจ่างลูกโต จะใช่ศิษย์พี่ใหญ่ผู้อาจหาญไร้เทียมทานของมันจริงๆ หรือ?
“อืม ข้าเอง” บุรุษใต้ผ้าพันแผลตอบรับ มันเป็นเหวยเสิ้งจริงๆ กล่าวสืบต่อว่า “เจ้าหมดสติไปนานมาก พวกเราทุกคนห่วงกังวลยิ่ง”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ผู้ใดทำร้ายท่านถึงเพียงนี้?” จั่วม่อถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ฮ่าฮ่า ข้าต่อสู้กับกู่หรงผิง นี่ย่อมเป็นฝีมือของมัน” เหวยเสิ้งตอบอย่างผ่อนคลาย
จั่วม่อยังคงแทบเชื่อไม่ลง “เด็กน้อยหน้าขาวนั่นไม่สมควรร้ายกาจถึงเพียงนี้กระมัง!”
“สภาพมันก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้าเท่าใด” เหวยเสิ้งแย้มยิ้ม “ในตอนสุดท้าย ข้าฟันมันรวดเดียวสิบสองกระบี่ติดต่อกัน”
พอฟัง จั่วม่อเหงื่อกาฬแตกพลั่ก ฟันรวดเดียวสิบสองกระบี่... ต่อให้เด็กน้อยหน้าขาวนั้นเป็นหัวผักกาดขนาดยักษ์ ก็มิใช่ถูกสับเป็นไม้จิ้มฟันไปแล้วหรือ? แต่มันไม่รู้สึกเหนือคาดแต่อย่างใด คิดว่าสมควรเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน ยังจะมีผู้ใดสามารถเล่นงานศิษย์พี่ใหญ่จนถึงขั้นไม่อาจตอบโต้ได้?
แม้ว่าเหวยเสิ้งจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่จั่วม่อเคารพเทิดทูน แต่พอเห็นศิษย์พี่ใหญ่ยังอยู่ในสารรูปน่าอนาถกว่ามันเสียอีก อารมณ์ขุ่นมัวจากอาการบาดเจ็บสาหัสของมัน พลันกลายเป็นอารมณ์ดีขึ้นทันตาเห็น
อ้า นี่สิพี่น้องในยามยาก...
ทันใดนั้น เหวยเสิ้งจู่ๆ ตะโกนถามไปยังอีกฟากข้างของจั่วม่อ “ศิษย์น้องหลัว วันนี้เจ้าสบายขึ้นแล้วหรือไม่?”
จั่วม่อหมุนคอไปทางซ้ายอย่างลืมตัว
บนเตียงด้านซ้ายมือของมัน เห็นหลัวหลีนอนแผ่เหยียดยาว ถึงแม้ว่าคล้ายไม่ร้ายแรงเท่าศิษย์พี่ใหญ่ แต่ดูหมองคล้ำ สีหน้าซีดเผือด มองปราดเดียวก็ทราบว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส
ที่แท้...มีพี่น้องในยามยากอยู่ตรงนี้อีกคน... จั่วม่อตะลึงลาน
หลัวหลีเมื่อมองมายังจั่วม่อ สีหน้าแปลกพิกลอยู่บ้าง จั่วม่อนึกขึ้นได้ทันที ว่าผู้ที่ทำร้ายหลัวหลีบาดเจ็บ ดูเหมือนจะเป็นตัวมันนี่เอง สภาวะรู้แจ้งอันอัศจรรย์พันลึกแม้หายไปในตอนสุดท้าย แต่จั่วม่อจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในช่วงเวลานั้นได้อย่างชัดเจน
หากใบหน้าของจั่วม่อแสดงอารมณ์ได้ เกรงว่ายามนี้สีหน้ามันคงแปลกพิกลยิ่งกว่าหลัวหลีเสียอีก
เนื่องเพราะเวลานั้นตกอยู่ในสภาพแปลกพิสดาร จึงสำแดงพลังออกมามากกว่าความสามารถปกติของมัน หากตอนนี้ ให้มันรักษาตัวจนทุเลาหายดี แล้วก่อตั้งค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์เจ็ดสิบสองค่ายกลย่อยขึ้นอีกครั้ง จากนั้นทดลองใช้สำเนียงพิฆาตระฆังจันทราอีกหน เกรงว่ากระทำสิบรอบ อาจประสบความสำเร็จแค่รอบเดียวเท่านั้น
“ศิษย์พี่สบายขึ้นหรือไม่?” หลัวหลีหลีกเลี่ยงสายตาของจั่วม่อ หันไปถามเหวยเสิ้งแทน นิสัยใจคอของมันดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แม้ว่าเหวยเสิ้งเคยเป็นข้ารับใช้กระบี่ของมัน แต่เวลานี้เป็นศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักกระบี่สุญตา
พลังอำนาจเข้มแข็ง สถานะก็ย่อมสูงส่ง กฎของสำนักเป็นเช่นนี้เสมอมา
จนถึงยามนี้ ในสำนักกระบี่สุญตาไม่มีผู้ใดกังขาในความแข็งแกร่งของศิษย์พี่เหวยเสิ้ง เผชิญหน้าจั่วม่อ หลัวหลียังคงปรารถนาจะประชันฝีมือ แต่เผชิญหน้าเหวยเสิ้ง มันได้แต่ยอมศิโรราบแต่โดยดี
“ดีขึ้นมาก” สุ้มเสียงของเหวยเสิ้งไม่คล้ายผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส มันยังคงมองโลกในแง่ดีเช่นปกติ “อีกไม่นานคงทุเลาบ้างแล้ว”
พวกมันทั้งสามล้วนรับบาดเจ็บปางตาย ขยับไปไหนไม่ได้ ได้แต่นอนอยู่บนเตียง
จั่วม่อกับหลัวหลี ทีแรกยังตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง แต่วันนี้นับว่าหัวอกเดียวกัน ประสบเคราะห์หามยามร้ายร่วมกัน กำแพงในใจคล้ายค่อยๆ ละลายหายไป ไม่นานให้หลัง ก็สนทนากันอย่างกลมกลืน กล่าวตามความสัตย์ ก่อนหน้านี้จั่วม่อย่อมไม่ชมชอบหลัวหลี แต่พอได้สนทนาวิสาสะ มันพบว่าหลัวหลีไม่ได้ย่ำแย่เท่าที่มันคิดไว้ ตรงกันข้าม แม้ว่าบางครั้งความทระนงถือดีที่ฝังแน่นในกระดูก จะเผยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจบ้าง แต่นิสัยใจคอที่แท้จริงของหลัวหลีเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม นับเป็นบุคคลสัตย์ซื่อถือมั่นผู้หนึ่ง
พวกมันทั้งคู่ต่อสู้กันสองครั้ง ทั้งสองครั้ง แต่ละคนล้วนบาดเจ็บปางตายไม่ต่างกัน ในขอบเขตหนึ่ง นับว่าเพาะสร้างความสัมพันธ์ผ่านการต่อสู้ก็ไม่ผิด เรียกได้ว่าไม่ต่อยตีไม่รู้จัก
ทั้งสองคนเต็มไปด้วยความนิยมชมชื่นในพลังของอีกฝ่าย
ระหว่างหลัวหลีกับจั่วม่อไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใดกันอีก ตอนนี้จั่วม่อกลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร้อนแรงที่สุดในตงฝู ในตอนสุดท้าย มันอาศัยหนึ่งต้านรับห้า ทั้งยังเป็นห้ายอดฝีมือ กลายเป็นตำนานในตงฝู ไม่มีผู้ใดเห็นการต่อสู้หนึ่งต่อห้ากับตา แต่ทุกผู้คนล้วนเห็นหลุมยักษ์อันน่าสะพรึงกลัวในหอคลื่นสนอย่างชัดเจน
จั่วม่อทราบดีว่าตัวมันที่แท้มีน้ำหนักสักเท่าใด ทุกครั้งที่ศิษย์พี่ใหญ่กับหลัวหลีกล่าวถึงเรื่องนี้ มันอดประหม่าไม่ได้ ในความเห็นของมัน พลังฝีมือของหลัวหลียังร้ายกาจกว่ามันเสียอีก
นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ทันใดนั้นจั่วม่อฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่ง อดถามอย่างอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ “ศิษย์พี่ วันนั้นข้าคล้ายเห็นสตรีผู้หนึ่งอยู่ข้างหน้าท่าน นางเป็นผู้ใดกัน?”
หลัวหลีคล้ายเขินอายเล็กน้อย อ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “นั่นเป็นวิญญาณกระบี่ของข้า”
“ที่แท้ศิษย์น้องเดินไปในมรรคาสำแดงวิญญาณ” เหวยเสิ้งตระหนักทันที แต่เห็นจั่วม่อดูงงงวย ค่อยนึกขึ้นได้ว่าเจ้าผู้นี้ไม่ได้ร่ำเรียนมาตามแนวทางที่ควรจะเป็น จึงอธิบายอย่างจริงจัง “มรรคาแห่งกระบี่มีมากมายนับไม่ถ้วน ในบรรดาทั้งหมด มีวิถีทางอันแปลกพิสดารไม่น้อย วิญญาณกระบี่ก็เป็นหนึ่งในมรรคาเหล่านั้น มุ่งเน้นหล่อเลี้ยงเจตจำนงกระบี่ ก่อเกิดรูปกาย กลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่ เพียงแต่...”
มันหยุดชะงักกลางคัน อดหันไปเขม้นมองหลัวหลีหลายครั้งหลายหนไม่ได้ “นึกไม่ถึง ศิษย์น้องหลัวมีอารมณ์ความรู้สึกละเอียดอ่อนถึงเพียงนี้” เห็นจั่วม่อยังคงงุนงง มันอธิบายอย่างยิ้มแย้ม “ผู้คนที่ฝึกปรือจิตวิญญาณกระบี่ ส่วนมากมีอารมณ์ความรู้สึกละเอียดอ่อน เป็นบุคคลที่รักกระบี่ อาศัยอารมณ์ความรู้สึกเข้าสู่มรรคากระบี่ เมื่อวิญญาณกระบี่เริ่มก่อตัว ยังจำเป็นต้องใช้อารมณ์ความรู้สึกนำทางให้วิญญาณกระบี่ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา”
จั่วม่อในที่สุดค่อยเข้าใจ ว่าหลัวหลีไฉนหน้าแดงอย่างฉับพลัน
“สำนักเราเป็นสำนักกระบี่ ศิษย์น้องอย่าได้ละเลยเคล็ดวิชากระบี่ไป” เหวยเสิ้งเตือนจั่วม่อ
“อ้อ อ้อ อ้อ” จั่วม่อรับคำอย่างไม่ค่อยสนใจนัก มันพลันนึกถึงม้วนหยกคุนหลุนขึ้นมา อดถามไม่ได้ “ชุมนุมวิจารณ์กระบี่ประกาศอันดับแล้วหรือไม่? มีผู้ใดเข้าสู่สิบลำดับแรกบ้าง?”
เหวยเสิ้งสั่นศีรษะ “พวกเรารับบาดเจ็บจนได้แต่นอนอยู่บนเตียงเช่นนี้ จะทราบสถานการณ์ภายนอกได้อย่างไร?”
จั่วม่อหันไปมองหลัวหลี หลัวหลีก็ส่ายหน้าเช่นกัน
จั่วม่อได้แต่กล่าวว่า “รอสักครู่ข้าจะถามเสี่ยวกั่วกับคนอื่นๆ เมื่อพวกนางเข้ามาอีกครั้ง” สองสามวันมานี้ เป็นเสี่ยวกั่วกับหลี่อิงฟ่งและคนอื่นๆ ที่คอยดูแลพวกมันทั้งสาม ไม่เห็นเหล่าผู้อาวุโสแม้แต่คนเดียว
พวกมันทั้งสามไม่ทราบว่าเรื่องการจัดลำดับในการประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ กลับกลายเป็นปัญหาใหญ่โต
กระบวนท่าสุดท้ายของจั่วม่อทำลายการประลอง ทำให้การแข่งขันต้องหยุดชะงักลงกลางคัน เทียนซงจื่อเมื่อพบว่าหอคลื่นสนได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงถึงเพียงนั้น รีบประกาศหยุดการต่อสู้อย่างไม่รีรอ ไม่มีผู้เข้าประลองคนใดคัดค้านการตัดสินใจนี้ หลังจากได้ชมดูการปะทะสะท้านฟ้าสะเทือนดินด้วยสายตาตนเอง พวกมันไม่มีความสนใจในการต่อสู้อีกต่อไป
ซิวเจ่อหลายคนที่เร่งรุดไปยังจุดที่เกิดระเบิด ตกอยู่ในสภาพตื่นตะลึง มึนงง และเหี่ยวแห้งหดหู่ สิ่งที่ไม่คาดฝันยิ่งกว่านั้น คือคนเหล่านี้ตกอยู่ในสภาพอารมณ์ตกต่ำเป็นเวลานาน นานเกินกว่าที่คนอื่นจะคาดคิดไปถึง ทำเอาเหล่าผู้อาวุโสของพวกมันถึงกับเริ่มวิตกกังวล
จากเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ที่แทบฟ้าถล่มแผ่นดินทลายนี้ ส่งผลกระทบต่อพวกมันอย่างใหญ่หลวงเพียงใด!
สำหรับเทียนซงจื่อผู้เป็นเจ้าภาพจัดงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ มีหลายสิ่งที่ทำให้มันต้องปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นอันมาก เรื่องความเสียหายของหอคลื่นสน มันยังพอสามารถแก้ไขได้อย่างช้าๆ แต่ปัญหาอื่นที่มันต้องแก้ทันที คือเรื่องการจัดอันดับในการประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่รอบสุดท้าย
นี่เป็นปัญหาที่ยุ่งยากมาก!
เนื่องเพราะการแข่งขันถูกหยุดลงกลางคัน จำนวนผู้เข้าแข่งขันที่หลงเหลือในหอคลื่นสนมีมากเกินกว่าสิบคน ผู้เหลือรอดเหล่านี้แม้มีพลังอยู่บ้าง แต่จัดเป็นชนชั้นสามัญทั่วไปเท่านั้น สุดยอดฝีมือเช่นเหวยเสิ้งกับกู่หรงผิง ได้รับบาดเจ็บสาหัสและหมดสติไปพร้อมกัน ส่วนยอดฝีมืออีกคนหนึ่งที่เปล่งประกายเจิดจ้าเช่นจั่วม่อ ก็หมดสติไปเพราะอาการบาดเจ็บปางตายเช่นเดียวกัน
การจัดอันดับสิบคนแรกไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยจริงๆ
เหตุผลที่ในสำนักไม่เห็นเผยเหยียนหรานกับพวกทั้งสี่แม้แต่เงา ก็สืบเนื่องมาจากเรื่องนี้เอง
ผู้ใดสามารถจินตนาการได้ ยอดคนด่านจินตันกลุ่มหนึ่งประชุมกันในห้อง ทุ่มเถียงเสียงดัง เอะอะโวยวายประหนึ่งกลุ่มเด็กน้อยทะเลาะกัน บ้างกระแทกโต๊ะ บ้างตะโกนจนคอพองหน้าแดง บ้างควักกระบี่ออกมาลงไม้ลงมือ อึกทึกคึกคักยิ่ง
เมื่อเผยเหยียนหรานกับเหล่าศิษย์น้องออกมาจากอารามตงฝู แม้จะมีระดับพลังบำเพ็ญเพียรสูงส่งสุดยอด พวกมันยังมีสีหน้าเหนื่อยล้าสิ้นเรี่ยวแรง
ซู่นอนซมอยู่บนเตียง แม้กระทั่งในเวลาเช่นนี้ ใบหน้าของนางยังคงปิดคลุมด้วยตาข่ายแพรสีดำ
“วันนี้รู้สึกสบายขึ้นบ้างหรือไม่?” หลินเชียนถามด้วยความกังวล
ซู่พยักหน้า แต่ไม่กล่าววาจา
หลินเชียนสีหน้าเต็มไปด้วยการตำหนิตัวเอง มันนำขวดหยกออกมา พลางกล่าวอย่างนุ่มนวล “ข้าไม่คิดว่าจะถึงกับทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ นี่เป็นความผิดของข้าเอง เม็ดยาคงวัยเยาว์นี้จะเป็นประโยชน์กับเจ้า รีบรับประทานเถอะ”
ซู่สะท้านขึ้นทั้งร่าง
นางจ้องมองขวดหยกในมือหลินเชียนตาเขม็ง
นางเคยได้ยินนามเม็ดยาคงวัยเยาว์ มันเป็นโอสถปราณหายากและล้ำค่ามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมาะสำหรับซิวเจ่อสตรี มีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญเพียรอย่างใหญ่หลวง หากจะให้ใช้เพียงเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ นางยังรู้สึกว่าสิ้นเปลืองเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านที่แท้เป็นใครกันแน่?” สายตาของซู่เปลี่ยนจากขวดหยกไปยังหลินเชียน ถามอย่างเย็นชา
นางเมื่อเคยได้ยินนามเม็ดยาคงวัยเยาว์ ย่อมทราบกระจ่างถึงเรื่องความหายาก สำนักกระบี่หัวใจทะเลสาบของนางแม้เป็นสำนักชั้นยอดในอาณาจักรนภาจันทร์ แต่สำหรับโอสถปราณชั้นสูงเช่นเม็ดยาคงวัยเยาว์นี้ ไม่ใช่สิ่งที่พวกมันสามารถครอบครองได้
ตลอดมา นางคาดเดาว่าหลินเชียนเป็นศิษย์ของหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนัก ทว่าวินาทีที่มันหยิบเม็ดยาคงวัยเยาว์ออกมา นางพลันตระหนักว่าหลินเชียนไม่มีทางเป็นศิษย์ในสำนักนางอย่างแน่นอน
เช่นนั้นจะนำไปสู่อีกปัญหาสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ที่แท้ป้ายสัญลักษณ์สำนักในมือของหลินเชียนมาจากที่ใด?
เป้าหมายที่แท้จริงของมันคือสิ่งใด?
สายตาของซู่ดุจลูกธนู แต่หลินเชียนพียงหัวร่อเบาๆ สีหน้าราบเรียบเป็นปกติ ค่อยๆ วางขวดหยกใส่เม็ดยาคงวัยเยาว์ไว้ตรงหน้าซู่ “ในระยะสั้น ข้าย่อมไม่ใช่ศัตรูของศิษย์น้องหญิง”
จากนั้นมันถามว่า “เรื่องที่ข้าไหว้วานคราวก่อน ศิษย์น้องหญิงทราบผลแล้วหรือไม่?”
เห็นความสงบราบเรียบบนใบหน้าหลินเชียน ซู่ลังเลแวบหนึ่ง ก่อนจะสั่นศีรษะ “ไม่ใช่มัน”
หลินเชียนดูคล้ายไม่แปลกใจกับผลลัพธ์นี้ เพียงผงกศีรษะ “ลำบากศิษย์น้องหญิงแล้ว ศิษย์น้องหญิงโปรดพักผ่อนรักษาตัวให้ดี สำหรับเรื่องหลอมสร้างกระบี่ของเจ้า ปล่อยให้เป็นธุระของข้าเอง รับรองว่าจะไม่ทำให้ศิษย์น้องหญิงผิดหวัง”
กล่าวจบ มันก็อำลาจากไป
ซู่ทอดตามองตามแผ่นหลังที่หายลับไปนอกประตู บังเกิดความรู้สึกว่าคนผู้นี้ยิ่งมายิ่งลี้ลับขึ้นเรื่อยๆ
ในหุบเขาที่ห่างไกลของพรรคอัจฉริยะปราณ คนสองคนพบปะสนทนากัน เป็นฉางเหิงกับคนหน้าเหลือง ทั้งสองคนคล้ายปกติสมบูรณ์ แต่สีหน้าและสภาวะของพวกมันดูย่ำแย่กว่าก่อนการแข่งขันอยู่บ้าง
พวกมันทั้งคู่ยังไม่ทุเลาหายดี ล้วนได้รับบาดเจ็บหนักเบาไม่เท่ากัน
“นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการ” คนหน้าเหลืองยื่นม้วนหยกให้ฉางเหิง
ฉางเหิงรับม้วนหยก ไม่มองสักแวบ ซุกเก็บเข้าอกเสื้อ
บุรุษหน้าเหลืองเห็นฉางเหิงไม่ได้หวั่นไหว ต้องกล่าวอย่างพึงพอใจว่า “นี่เป็นส่วนครึ่งแรก ถือเป็นมัดจำเถอะ หลังจากเรื่องราวลุล่วง ข้าจะมอบอีกครึ่งที่เหลือให้แก่เจ้า ไปเถอะ เมื่อถึงเวลาที่กำหนด ข้าจะแจ้งให้เจ้าทราบเอง”
ฉางเหิงพยักหน้า รับคำอย่างปราศจากอารมณ์ “ตกลงตามนั้น”
กล่าวจบ พวกมันก็แยกย้ายไปคนละทาง