บทที่ 115 คนที่สามารถกินข้าวในเล้าหมูได้ (อ่านฟรี)
บริษัทกำหนดผู้ที่รับผิดชอบ แล้วค่อยประกาศหลังจากปีใหม่ก็ยังทัน ยังอีกหลายวันกว่าจะถึงปีไหม่ เฝิงหยู่จึงกลับไปที่ชุมชน เพราะเขายังต้องช่วยดูแลจัดการโรงงานแปรรูปอาหารและฟาร์มสุกร ในอนาคตเขาจะจ้างบุคคล2คนที่เหมาะสมให้มารับหน้าที่จัดการโรงงานและฟาร์มให้เขา ด้วยเพราะเฝิงหยู่ไม่วางใจฝีมือการจัดการของบิดา
สิ่งที่กระตุ้นเฝิงหยู่มากที่สุด คือ ศาสตราจารย์ซูซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงสุกรที่เขาเรียนเชิญได้มาถึงในที่สุด ฟาร์มเลี้ยงสุกรในยุคสมัยนี้ยังคงต้องการความเห็นและช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ
ผู้เชี่ยวชาญมาถึงแล้ว เฝิงหยู่จึงมาต้อนรับด้วยตัวเอง ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายล้วนมีนิสัย เย่อหยิ่ง ถ้าพวกเขารู้สึกว่าถูกละเลยหรือไม่ได้รับความเคารพเท่าทีควร พวกเขาอาจจะกลับไปทันที และคงยากที่จะเชื้อเชิญพวกเขามาอีกครั้ง ทั้งยังยากที่จะเชื้อเชิญผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ด้วยเพราะผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ต่างรู้จักกัน
ในตอนที่เฝิงหยู่มาถึงฟาร์มเลี้ยงหมู ก็สังเกตเห็นพนักงานบางคนสีหน้าดูไม่ดี เกิดอะไรขึ้น? หรือผู้เชี่ยวชาญสร้างความลำบากใจให้พวกเขา? ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็บอกให้ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นกลับไปแล้วไม่ต้องติดต่ออีก เป็นผู้เชี่ยวชาญแล้วยังไง พวกเขาไม่มีสิทธิ์มารังแกพนักงานของเขา!
"ลุงหลี่ เห็นพ่อผมไหมครับ?"
"หัวหน้าเฝิงอยู่ข้างในกับผู้เชี่ยวชาญ เสี่ยวหยู่เธออย่าพึ่งเข้าไปดีกว่า ลุงกลัวว่าเย็นนี้เธอคงทานอาหารเย็นไม่ลง " การแสดงออกของลุงหลี่แปลก ประหลาดมาก ราวกับว่าเขาได้เห็นสิ่งที่น่ากลัว หรือน่าขยะแขยง
"มีอะไรหรือครับ? หรือด้านในกำลังฆ่าหมู? ผมไม่เป็นไรหรอกครับ หมูทั้งหมดก็ต้องถูกส่งไปฆ่าที่ โรงฆ่าสัตว์ในเมืองอยู่แล้ว ไม่ใช่หน้าที่ของผู้เราไม่ใช่เหรอครับ? " เฝิงหยู่รู้สึกไม่สบายใจเมื่อคิดว่าพ่อของเขาต้องการประหยัดเงินด้วยการไม่ส่งหมูไปที่โรงเชือด
"ไม่ใช่การฆ่าหมูหรอก แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นต่างหาก "
"ผู้เชี่ยวชาญทำไมหรือครับ?" เฝิงหยู่ตื่นตระหนก ผู้เชี่ยวชาญกำลังทำอะไร?
"พวกเขากำลังกินข้าว"
เฝิงหยู่ยิ้ม แล้วพูดติดตลกว่า "กินอาหารก็เป็นเรื่องปกตินี่ครับ หรือเขากินอะไรแปลกๆที่ผมเห็นแล้วกินไม่ลง? "
ลำไส้หมูฉันยังกล้ากิน ยังมีอะไรต้องกลัวอีก?
"เธอเคยเห็นคนกินข้าวในเล้าหมูหรือเปล่า? เขากำลังถือชามข้าวที่มีกับแกล้ม และกินอย่างเอร็ดอร่อยทั้งที่ด้านหน้าเต็มไปด้วยหมู ขี้หมูเกลื่อนกลาด แถมกลิ่นขี้หมูคละคลุ้ง แหวะ ไม่พูดแล้วดีกว่า วันนี้ลุงคงกินข้าวไม่ลง " ลุงหลี่กล่าว
เฝิงหยู่รู้สึกประหลาดใจ กินข้าวในเล้าหมูเหรอ? แค่คิดก็ทำให้เฝิงหยู่รู้สึกอยากจะอาเจียน เขาถุยน้ำลายลงบนพื้น แต่เขายังมีเรื่องต้องพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ จึงต้องกัดฟันเดินเข้าไป
เมื่อเข้าไปในคอกหมู เขาก็เห็นกลุ่มคนนั่งล้อมวงกัน มีเพียงคนเดียวที่ถือชามข้าว ส่วนคนที่เหลือพยายามสูบบุหรี่ เพราะพวกเขากำลังระงับความรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน
เฝิงหยู่ฝืนทนความรู้สึกคลื่นไส้แล้วเดินเข้าไปใกล้ ถึงแม้ว่าการระบายอากาศที่ฟาร์มเลี้ยงสุกรไม่ถือว่าแย่ แต่ยังมีกลิ่นขี้หมูเหม็นรุนแรง แต่ยังมีคนที่สามารถกินข้าวได้ในสถานที่เช่นนี้ได้!
"ศาสตราจารย์ซู คุณมาแล้ว"
"เสี่ยวเฝิง ที่นี่เป็นฟาร์มของครอบครัวเธอใช่ไหม? เธอทำได้ดีทีเชียว ความสะอาดดีกว่าที่คิด และการจัดคอกก็ทำได้ไม่เลว ทั้งยังเลี้ยงด้วยอาหารสัตว์เม็ด นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก" หลังจากศาสตราจารย์ซูพูดจบประโยค เขาก็ตักข้าวใส่ปากอีกคำหนึ่ง
เฝิงหยู่รู้สึกอยากจะอาเจียนทันทีทันใด แต่เขาบีบหนักต้นขาของตัวเองเพื่อใช้ความเจ็บปวดระงับอาการคลื่นไส้ แล้วหันศีรษะไปด้านข้างแอบถุยน้ำลายลงบนพื้น
"ศาสตราจารย์ซู ทำไมคุณมาทานอาหารที่นี่ละครับ? ไปที่บ้านผมไหมครับ หรือโรงอาหารในฟาร์มเลี้ยงสุกรได้ "
"ไม่มีเวลา. อีกเดี๋ยวฉันต้องไปแล้ว ฉันยังต้องไปเยี่ยมฟาร์มหมูอีกสองสามแห่ง แล้วจัดการทุกสิ่งอย่างให้เสร็จก่อนวันปีใหม่ ปีหน้างานคงเบาลงหน่อย " ศาสตราจารย์ซูกล่าว แล้วรีบตักข้าวในชามมากินจนหมด เขาไม่มีอาการคลื่นไส้ใดใดทั้งนั้น
ทุกคนหายใจด้วยความโล่งใจเมื่อเห็นศาสตราจารย์ซูกินจนหมด ต่างเกิดความรู้สึกประทับใจกับความเป็นมืออาชีพของศาสตราจารย์ซู แต่ถึงกระนั้น พวกเขายังไม่อาจยอมรับการกินอาหารในคอกหมูได้ หากคุณไม่ว่าง คุณก็ทานอาหารในรถก็ได้ คุณอาจจะคุ้นเคยกลิ่นเหม็นหึ่งนี่ แต่เราทำไม่ได้!
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เฝิงหยู่จะไม่ใช้ชามขนาดใหญ่ในมื้ออาหารของเขาอีก เพราะเมื่อใดที่เห็นชามข้าว จะทำให้เขาระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเล้าหมูวันนี้ แค่คิดก็ทานไม่ลงแล้ว
"ศาสตราจารย์ซูครับ จากที่คุณเห็น คิดว่าฟาร์มสุกรของเรายังต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกไหมครับ? คุณเห็นแผนผังของฟาร์มสุกรของเราแล้วหรือยัง? คุณคิดว่ายังไงครับ? " เฝิงหยู่ถามด้วยความร้อนใจ
"ฟาร์มเลี้ยงหมูของเธอจัดการได้ดีทีเดียว ยังสามารถเลี้ยงได้อีกเป็นร้อยตัว ฉันได้เห็นแผนผังนั่นแล้ว เธออย่าพึ่งขยายฐานฟาร์มเลย เพราะอากาศไม่ถ่ายเท ไม่มีแสงเพียงพอ ไม่ดีต่อการเจริญเติบโตของหมู เดี๋ยวฉันจะกลับไปคิดหาวิธีแก้ไข ส่วนตอนนี้อ้างอิงแผนผังนั้นไปก่อน ระบบการให้น้ำให้อาหารแบบอัตโนมัติถือว่าไม่เลว ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯได้เริ่มทำฟาร์มเลี้ยงสุกรด้วยระบบแบบนี้แล้ว แนวความคิดของเธอล้ำหน้ากว่าผู้คนทั่วทั้งประเทศจีน "
ทำไมศาสตราจารย์ซูถึงมาที่นี่? เป็นเพราะเขากำลังค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาต้องการสร้างฟาร์มเลี้ยงหมูที่ทันสมัย แต่มหาวิทยาลัยไม่มีเงินทุนในการก่อสร้างให้เขา และไม่มีเจ้าของกิจการคนไหนที่จะลงทุนในการวิจัยของเขา
ประจบเหมาะกับที่เฝิงหยู่ต้องการหาผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงสุกร จึงได้ติดต่อเชื้อเชิญศาสตราจารย์ซู ทั้งสองพูดคุยกันแค่ครั้งเดียว ศาสตราจารย์ซูก็จำฝังใจแล้ว เพียงแต่เขารู้สึกว่าเฝิงหยู่พูดจาคุยโวจนเกินเหตุ คนที่ทำเกษตรกรรม ทางครอบครัวจะมีเงินทุนในการสร้างฟาร์มสุกรที่ทันสมัยได้อย่างไร?
เฝิงหยู่ยังโม้ว่าเขาได้นำเข้าเครื่องจักรจากสหภาพโซเวียตเพื่อใช้ในการผลิตแฮม และสร้างผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ โดยจะสร้างแบรนด์จำพวกเนื้อ เพื่อจะให้ทุกคนในเมืองสามารถซื้อหมูสดได้ทุกวัน จะเป็นไปได้อย่างไร? การซื้อหมูสดใหม่เป็นเรื่องยาก เย็นสำหรับคนในเมือง
แต่หลังจากที่มาถึงที่นี่แล้ว ก็พบว่าฟาร์มแห่งนี้ดีกว่าฟาร์มที่ เขาได้รับมอบหมายจากมหาวิทยาลัย คนที่มาความสะอาด รวมถึงคนงานที่มาเลี้ยงหมูล้วนมีประสบการณ์ ทั้งยังรู้วิธีการเลี้ยงสุกรแบบบ้านๆที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน
นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่จากกรมฟาร์มมาแจ้งว่า ฟาร์มเลี้ยงหมูได้ลงนามในสัญญากับกรมการเกษตรแล้ว โดยระบุว่าพวกเขาจะลงทุนหลายล้านหยวนในอีก 2 ปีข้างหน้า เพื่อสร้างฟาร์มเลี้ยงสุกรที่ทันสมัยและสามารถผลิตสุกรได้อย่างน้อย 30,000 ตัวต่อปี
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ศาสตราจารย์ซูเอาจริงเอาจังกับฟาร์มเลี้ยงสุกรนี้ เขาสอบถามปัญหาของที่นี่ ทั้งยังเลื่อนการเดินทางไปเยี่ยมฟาร์มเลี้ยงสุกรที่อื่น จึงทำให้เขาต้องมานั่งกินอาหารในเล้าหมู แต่เขารู้สึกไม่พอใจเมื่อเจ้าหน้าที่ฟาร์มเดินหนีออกไปในขณะที่เขาเริ่มรับประทาน
เขาเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยเกษตร เงินเดือนและสวัสดิการของเขาเทียบเท่ารองนายกเทศมนตรีเมือง เจ้าหน้าที่จากกรมฟาร์มก็ต้องเคารพเขา!
ไม่ใช่ว่าเหวินเต๋อกวางไม่อยากอยู่เป็นเพื่อน เเต่เขาไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนคนที่กินอาหารในคอกหมู การที่เขาไม่ได้อาเจียนในตอนนั้น ถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์แล้ว
แต่ตอนนี้ศาสตราจารย์ซุมีความยินดีอย่างยิ่ง เพราะความหมายในคำพูดของเฝิงหยู่สื่อว่าเขามีความตั้งใจที่จะสร้างฟาร์มเลี้ยงหมูที่ทันสมัย หากฟาร์มเลี้ยงหมูถูกสร้างขึ้นภายใต้การแนะนำของเขา เขาอาจจะสามารถเขียนวิทยานิพนธ์เผยแพร่ได้ แถมอาจจะได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรรายแรกในประเทศจีน จนได้รับการเลื่อนตำแหน่ง หรืออาจจะถูกแต่งตั้งเป็นรองคณบดีของมหาวิทยาลัย!
เฝิงหยู่ได้พูดในสิ่งศาสตราจารย์ซูต้องการฟังมากที่สุด: "ศาสตราจารย์ซูครับ หลังจากผ่านปีใหม่ไป ได้โปรดมาที่นี่เพื่อให้คำชี้แนะอีก เรายังต้องการคำแนะนำในการก่อสร้างคอกหมู การติดตั้งระบบให้อาหาร และอุปกรณ์ทำความสะอาดอัตโนมัติ"
"ฮาฮ่าฮ่า แน่นอน แน่นอน ฉันยังต้องไปเยี่ยมชมสถานที่อื่นๆอีก รอให้ฉันตระเตรียมข้อมูลให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ฉันจะติดต่อเธอมาทันที"
ในที่สุด การวิจัยของเขาได้ดำเนินการถึงขั้นตอนสำคัญที่สุด -- จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติจริง สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเขาเป็นอย่างยิ่ง!
ทุกคนเดินมาส่งศาสตราจารย์ซูที่รถ จากนั้น เฝิงหยู่เห็นมารดาเดินเข้ามาทางประตู
"กลับมาแล้วทำไมไม่คิดจะกลับบ้าน? มาทำอะไรที่นี่? " จางมู่วามองเฝิงหยู่แล้วบ่นค่อนขอด มาขลุกอยู่ในฟาร์มเลี้ยงสุกรแล้วได้อะไร? ได้เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยดีดีต่างหากจึงจะมีอนาคตที่สดใส
"มีศาสตราจารย์มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับฟาร์มของเราครับ ดูเหมือนว่าในอนาคตฟาร์มของเราจะไปได้สวย " เฝิงหยู่อารมณ์ดี เพราะศาสตราจารย์ซูได้ตกลงที่จะเป็นที่ปรึกษาคอยให้คำแนะนำด้านเทคนิค สิ่งนี้ดีกว่าการขอให้ผู้เชี่ยวชาญจากกรมเกษตรมาช่วยเสียอีก ไม่ว่าอย่างไร ศาสตราจารย์ซูอยากได้ชื่อเสียง ต่อให้ศาสตราจารย์ซูไม่ได้เอ่ยปากออกมา แต่เฝิงหยู่ก็จะขอให้ศาสตราจารย์ซูมาเป็นผู้ให้คำแนะนำสร้างฟาร์มเลี้ยงหมูสมัยใหม่นี้ นี่จะเป็นการประชาสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ในอนาคต
"รถคันที่พึ่งขับออกไปเหรอ? ว่าแต่ ทั้งสองคนกินอะไรหรือยัง? แม่ทำลำไส้หมูตุ๋นที่ชอบเอาไว้ให้" จางมู่วามาที่ฟาร์มก็เพื่อมาเรียกเฝิงหยู่และเฝิงซิ่งไท่ให้ไปกินข้าว
เมื่อสองพ่อลูกได้ยินคำว่าลำไส้หมูตุ๋น สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป
เฝิงซิ่งไท่จึงรีบกล่าวว่า "แม่ของลูกเตรียมอาหารกลางวันไว้ ลูกรีบกลับบ้านไปกินซะนะ พ่อยังมีบางอย่างที่ต้องไปทำ คงไม่ได้ไปทานอาหารกลางวันด้วย ส่วนมื้อเย็นขอเป็นข้าวผัดกับเมนูผักละกัน "
เฝิงหยู่มองพ่อของเขาอย่างตาละห้อย พ่อใช้เขาเป็นโล่!