ตอนที่แล้วบทที่ 153 เชื่อมวิญญาณ  
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 155 ปะทะ!  ( จบเล่ม 2 )

บทที่ 154 สำเนียงพิฆาตระฆังจันทรา  


 

วงแหวนแสงนับพันสั่นกังวานอย่างพร้อมเพรียง สะท้อนแว่วอยู่ในหูของทุกผู้คน กระจ่างใสไพเราะอย่างบอกไม่ถูก หวานเสนาะจับใจ แต่สีหน้าของห้าคนในค่ายกลแปรเปลี่ยนอย่างกะทันหัน แม้กระทั่งฉางเหิงผู้สงบเงียบอยู่เป็นนิจ ยังม่านตาหดแคบลงตามสัญชาตญาณ มันเลื่อนมือไปยังจุดกึ่งกลางกระดูกไหปลาร้า ดึงกระบี่แมงมุมโลหิตออกมาอย่างไม่ลังเล

ฉางเหิงเหลือบมองคนอื่นๆ ในค่ายกล ทุกผู้คนทำท่าราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ แม้แต่คนหน้าเหลืองที่เคยสำแดงฝีมือเหนือล้ำสยบมันก่อนหน้านี้ ยังถูกกดดันจนหน้าสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ตั้งขวานสัมฤทธิ์สองคมขวางไว้ตรงอก

เพียงแค่เสียงกังวานใสเสนาะเจาะผ่านเข้าไปในหู พลังปราณในร่างของพวกมันก็สั่นสะเทือน สมาธิจิตใจสั่นไหวโอนเอนเป็นระลอก!

เสียงระฆังจากวงแหวนแสงเหล่านี้ร้ายกาจทรงพลังยิ่ง ทั้งห้าคนในใจตื่นตระหนกขึ้นมาทันที

กระทั่งผู้ที่โง่เขลาที่สุดยังล่วงรู้ เวลานี้ค่ายกลขบวนใหญ่ตรงหน้าพวกมัน แตกต่างจากกาลก่อนเป็นคนละเรื่อง จันทร์เต็มดวงเรืองรองอยู่กลางนภา เปล่งรัศมีทรงกลดดุจวงล้อ เส้นใยแสงจันทร์สีเงินยวงประหนึ่งเรือนผมนุ่มสลวยไร้พลังอำนาจ ถักร้อยวงแหวนแสงนับพันรวมกันเป็นพวงระฆังลม ดุจดั่งมีดรุณีน้อยแขวนไว้ที่ชายคาหอห้อง งดงามตระการตาราวกับภาพวาด แต่กับภูมิทัศน์อันไร้ที่ติเช่นนี้ ห้าคนในค่ายกลกลับไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะชื่นชม ในสายตาของพวกมัน ขบวนค่ายกลมหาประลัยนี้เต็มไปด้วยเจตนาสังหารอันล้นเหลือ!

 

หลังผ้าตาข่ายแพรดำ ซู่ไม่อาจรักษาความเยือกเย็นของนางไว้ได้อีก ใบหน้าเต็มไปด้วยความแตกตื่นสุดระงับ

ค่ายกลเช่นนี้ ปรากฏการณ์เช่นนี้ เป็นสิ่งที่ซิวเจ่อด่านจู้จีสามารถกระทำได้จริงๆ?

ภาพลักษณ์ของผีดิบซอมซ่อ ละโมบและกินข้าวต้มในใจนาง แตกสลายลงอย่างสิ้นเชิง เบื้องหลังใบหน้าทึ่มทื่อไร้อารมณ์ ดูคล้ายจะมีเงายาวเหยียดซ่อนไว้ ลึกล้ำสุดหยั่งคาด! เป็นนางเอง ที่ด่วนตัดสินมันผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นใช่หรือไม่?

เห็นวงแหวนแสงนับพันดุจระฆังลมห้อยระลงมาจากจันทรา พวกมันส่ายไหวเบาๆ แกว่งไกวอย่างสง่างามและอ่อนโยน

สายตาติดตรึงอยู่กับเส้นใยจันทรากับพวงวงแหวนแสงที่อยู่เบื้องหน้า ดวงตาของซู่เหมือนถูกดึงดูดไว้อย่างแน่นเหนียว ไม่มีปัญญาละสายตาจากไป ยามเมื่อพวงระฆังลมสั่นไหวเบาๆ เจตนาสังหารเล็กละเอียดก็ค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา ค่อยๆ ยึดครองพื้นที่ว่างทุกตารางนิ้วในค่ายกลอย่างเงียบเชียบ

ซู่ปากคอแห้งผาก

นางนึกแปลกใจมาโดยตลอด จั่วม่อไฉนไม่ส่งนกกระเรียนกระดาษมาหานาง บัดนี้นางเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว มันไม่เคยต้องการความช่วยเหลือจากนางแม้แต่น้อย!

อย่างไรก็ตามในขณะนี้ ร่างกายนางเขม็งเกลียว ไม่กล้าหย่อนมือแม้แต่ชั่วขณะ ดวงตายังไม่สามารถเคลื่อนออกไปได้ เคล็ดวิชากระบี่ที่นางฝึกปรือจัดอยู่ในหมวดหมู่พลังแม่เหล็ก ปราณสนามแม่เหล็กมีฝีมือทางด้านตรวจจับอย่างสูง เจตนาสังหารเศษเสี้ยวเล็กๆ เหล่านี้ดูคล้ายไม่เป็นภัยคุกคาม แต่ในความเป็นจริง พวกมันสามารถรวมตัวกันได้ทุกขณะจิต จากนั้นเข่นฆ่าเข้ามาพร้อมกัน...

แต่สิ่งที่ทำให้นางระวังป้องกันอย่างแท้จริง ทั้งยังตึงเครียดมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องเพราะนางก็เป็นเป้าหมายของพวกมันด้วย!

เหตุใด...

ไฉนนับนางเป็นศัตรูด้วย? ซู่ไม่อาจเข้าใจ แต่ก็ไม่มีเวลาให้นางคิด นางได้แต่เตรียมพร้อมรับมือเท่านั้น ทั้งยังสังหรณ์ใจอย่างรุนแรง ว่าเมื่อขบวนค่ายกลใหญ่สำแดงพลังออกมาจริงๆ เกรงว่าจะไม่ง่ายดายอย่างที่ใครๆ คิด...

 

อู่หลิงซ่านเหรินกับเว่ยเฟยมีสีหน้าหนักหน่วง

เว่ยเฟยจ้องมองลงไป พลางถามอย่างเคร่งเครียด “ซ่านเหริน ท่านรู้จักค่ายกลนี้หรือไม่?”

อู่หลิงซ่านเหรินสั่นศีรษะ “ไม่ แต่ค่ายกลนี้สมควรเป็นระดับสี่ เพียงแต่ที่ค่ายกลมีพลานุภาพถึงขั้นนี้ ต้องเป็นเพราะยุทธภัณฑ์เชื่อมวิญญาณที่มันเพิ่งได้รับอันนั้นแน่” มันจ้องเขม็งอย่างกังวลสนใจที่ค่ายกลด้านล่าง ดวงตาไม่คลาดคลาไปอีก

มันต้องยอมรับว่าประเมินผิดพลาดไป ก่อนหน้ามันเพียงรู้สึกว่าจั่วม่อแม้มีพรสวรรค์อยู่บ้าง แต่ความสามารถเชิงค่ายกลยังจัดอยู่ในระดับปกติ ทว่าเมื่อมองจากเวลานี้ ค่ายกลที่เด็กผู้นี้ก่อตั้งขึ้นมา ไกลเกินกว่าขอบเขตพลังฝีมือของมันไปแล้ว

หากเพียงเท่านั้น อู่หลิงซ่านเหรินก็แค่แปลกใจอยู่บ้างเท่านั้น แต่เจ้าเด็กผู้นี้กลับให้กำเนิดยุทธภัณฑ์เชื่อมวิญญาณออกมากลางการต่อสู้ นี่ต่างหากที่น่าแตกตื่นสะท้านใจอย่างแท้จริง!

ช่างเป็นคนที่มีโชควาสนาเสียจริง!

กระทั่งมันเองยังอดอิจฉาริษยาไม่ได้ ตัวมันมีพลังบำเพ็ญเพียรลึกล้ำกว่าจั่วม่อหลายต่อหลายเท่า แต่ไม่มียุทธภัณฑ์เชื่อมวิญญาณแม้แต่ชิ้นเดียว

ไม่ใช่แค่มันผู้เดียวที่จ้องมองยุทธภัณฑ์เชื่อมวิญญาณของจั่วม่อตาเขียวปั้ด เว่ยเฟยก็ยังทอดถอนอย่างขมขื่นให้กับความอยุติธรรมของสวรรค์ อย่างไรก็ตาม พวกมันทราบดีว่ายุทธภัณฑ์เชื่อมวิญญาณ ไม่ใช่สิ่งที่เพียงร้องขอก็ครอบครองได้ อิจฉาไปก็ไร้ประโยชน์ ทั้งคู่ยังเป็นชนชั้นจินตัน ความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวของจิตใจที่ผ่านการขัดเกลามา ย่อมไม่ใช่จะถูกวัตถุนอกกายสั่นคลอนได้อย่างง่ายดาย

ทั้งสองคนกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

“มันคิดทำอะไร?” เว่ยเฟยขมวดคิ้ว พลางแค่นเสียงอย่างเย็นชา “คิดต่อสู้กับห้าคนในคราวเดียว? พอครอบครองยุทธภัณฑ์เชื่อมวิญญาณชิ้นหนึ่ง ก็ไม่ทราบว่าตัวเองมีน้ำหนักเท่าใดแล้ว?”

อู่หลิงซ่านเหรินไม่กล่าววาจา หลังจากประเมินผิดพลาดหลายหน มันรู้สึกว่ายิ่งกล่าวน้อยลงเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น มิหนำซ้ำมองจากสภาวะอันหนักหน่วงของค่ายกลด้านล่าง เกรงว่านี่ไม่ใช่จั่วม่อแค่บ้าบิ่นไม่ประมาณตนแล้ว สิ่งที่มันไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน คือจั่วม่อในเวลานี้อยู่ในสภาวะอันพิสดารเช่นไรกันแน่

ภายในค่ายกล จั่วม่อยังคงรักษาท่วงท่าแปลกประหลาดเอาไว้ ดวงตาว่างเปล่า

อากาศรอบกายมันคล้ายหนักข้น ไม่เคลื่อนไหว ไม่เกิดกระแส หากเพ่งมองอย่างถี่ถ้วน จะพบว่าวงแหวนแสงที่เข้าไปใกล้จั่วม่อ คล้ายถูกแรงที่มองไม่เห็นบางอย่างดีดกระเด็นออกมา

ดูเหมือนว่าสภาพผิดปกตินี้ เริ่มต้นขึ้นในช่วงเวลาที่จั่วม่อตกอยู่ในสภาวะแปลกประหลาดนี้พอดี

อู่หลิงซ่านเหรินไม่มีความมั่นใจใดๆ แม้แต่น้อย

 

เจดีย์ห้าสีล่องลอยเงียบๆ อยู่เหนือบ่อน้ำ ปลายยอดเจดีย์ที่แหลมคมดุจกระบี่มีจุดแสงดาวกระพริบประกายอยู่ตลอดเวลา ติดต่อสั่งการกับพระจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้า

ดวงจันทร์พลันสลัวลง แล้วเปล่งแสงสว่างวาบ

ติง ติง ติง ติง!

ทันใดนั้น เหล่าวงแหวนแสงในเส้นใยแสงจันทร์ก็เริ่มสั่นไหว เสียงระฆังกังวานเบาๆ เช่นกระแสน้ำขึ้นลง ระลอกคลื่นกวาดกระจายออกไปเป็นวง

ห้าคนในค่ายกลตัวแข็งทื่อ หัวใจเย็นเฉียบ ถึงตอนนี้พวกมันไม่สนใจจะต่อสู้กันอีกแล้ว เนื่องเพราะพวกมันพลันตระหนักอย่างตื่นตะลึงว่า จั่วม่อดูเหมือนไม่คิดจะให้ผู้ใดหนีรอดออกจากค่ายกลแม้แต่คนเดียว!

 

“ชิ! เคราะห์ร้ายเสียจริง!” หลัวหลีรู้สึกอับจนปัญญา เจ้าบ้าจั่วม่อคลั่งไปอีกแล้ว! รีบบังคับกระบี่บินลอยเคียงข้างกาย พร้อมจู่โจมเต็มกำลัง

มันแม้กล่าวเช่นนั้น แต่แสงในดวงตายิ่งมายิ่งสาดประกาย ความมุ่งหวังพลุ่งพล่านอยู่ในใจ หลังจากประมือกันในคราวนั้นก็นานพอดูแล้ว มันมักมีความคิดจะต่อสู้กับจั่วม่ออยู่เสมอ แต่ยังไม่เคยประสบโอกาส

เวลานี้โอกาสที่รอคอยมาเยือนถึงที่ ความปรารถนาต่อสู้ก็ลุกโชนอยู่ในใจ

ในความเห็นของหลัวหลี ทั้งจั่วม่อทั้งเหวยเสิ้งล้วนเป็นยอดอัจฉริยะของสำนัก ศิษย์พี่เหวยเสิ้งประหนึ่งยอดเขาสูงชันที่ไม่อาจหยั่งวัด เผชิญหน้ากับศิษย์พี่ ผู้คนได้แต่สิ้นหวังเท่านั้น แต่จั่วม่อแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง หากผู้คนเห็นสภาพปกติของมัน มักจะเผลอประมาทและดูถูกมันอยู่ร่ำไป แต่หากผู้คนได้เผชิญกับโฉมหน้าที่แท้จริงของมัน มันอาจไม่ชนะท่าน แต่รับรองว่ามันจะทำให้ท่านต้องแตกตื่นตระหนกและจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาสม

 

กุ่ยฟงก็ค้นพบเจตนาสังหารอันเข้มข้นภายในค่ายกลเช่นกัน มันไม่ได้ใช้ท่าร่างเงาผีหลบเร้นเพื่อซ่อนตัวเฉกเช่นทุกครั้ง ตลอดทั้งค่ายกลอยู่ภายใต้การควบคุมของอีกฝ่าย พลังของท่าร่างเงาผีหลบเร้นแทบจะไร้ประโยชน์ กุ่ยฟงสีหน้าหนักอึ้ง กระบี่กระดูกขาวปรากฏไฟผีสองดวงลุกโพลง สีเขียวเรืองรอง ใบกระบี่ครางกระหึ่มประดุจเสียงกระซิบร่ำไห้ของภูตผี

 

จั่วม่อยังคงอยู่ในสภาวะอัศจรรย์พันลึก

สภาวะนี้ช่างบันดาลให้ผู้คนดื่มด่ำมึนเมาเสียจริง ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปได้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนชัดเจนแจ่มแจ้ง

มันยืนเงียบๆ อยู่ที่นั่น ราวกับเป็นผู้ชมดูอยู่ข้างกระดาน เฝ้าดูทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้า เจดีย์ห้าสีซึ่งมีความคิดเชื่อมโยงกับมัน กำลังเฝ้าอยู่ใจกลางค่ายกลขบวนใหญ่ ทำการควบคุมขับเคลื่อนค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ทั้งหมด!

ทุกรายละเอียดภายในค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ไหลผ่านเข้ามาในจิตใจมัน มันไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่รู้สึกได้อย่างชัดเจน

เป็นเจดีย์ห้าสีส่งผ่านความรู้สึกเหล่านี้มาให้แก่มัน

แรกเริ่มเดิมที จั่วม่อเพียงตั้งใจก่อตั้งค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์เจ็ดสิบสองค่ายกลย่อยให้แล้วเสร็จ และทดลองขับเคลื่อนเพื่อเรียนรู้ประสบการณ์บางอย่างเท่านั้น รวมถึงเพื่อทำความเข้าใจกับส่วนที่ซับซ้อนของค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ให้มากเข้าไว้

เวลานี้ ทุกรายละเอียดของค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ ล้วนมากองอยู่ตรงหน้ามันแล้ว เกินกว่าที่มันตั้งใจเอาไว้เสียอีก

เพราะเหตุนี้เอง จั่วม่อตัดสินใจที่จะทดลองพลังของค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ แบบเต็มกำลัง!

ยังจะมีโอกาสดีที่คล้ายสวรรค์ประทานเช่นนี้อีกหรือ?

ทันทีที่ความคิดบังเกิดขึ้นในใจ เจดีย์ห้าสีก็ระเบิดพลังของค่ายขบวนใหญ่ออกมา!

เสียงระฆังละเอียดอ่อนเหมือนคลื่นน้ำพลันหายวับไป ขบวนค่ายกลมหึมาจมลงสู่ความเงียบงันเสมือนตายอย่างเฉียบพลัน ความเงียบที่ราวกับลมหายใจขาดห้วง ประหนึ่งก้อนหินใหญ่กดทับอยู่บนอก

ห้าคนในค่ายกลร่างกายเกร็งแน่นถึงขีดสุด พวกมันทราบว่าความเงียบอันหนักหน่วงดุจลมหายใจขาดห้วงนี้ เป็นบทโหมโรงที่จะนำไปสู่การเปิดฉากเข่นฆ่าของค่ายกล

จันทร์เต็มดวงจู่ๆ ก็สว่างวาบ เปล่งแสงสุกใสที่สุดและแรงกล้าที่สุดโดยไม่ออมรั้ง ในชั่วพริบตา จันทร์เต็มดวงก็สุกสกาวประดุจดวงจันทร์หยก เริ่มลุกไหม้อย่างกะทันหัน รัศมีแสงอันแรงกล้าทำให้ดูราวกับลูกไฟดวงโต!

ติง!

วงแหวนแสงวงที่อยู่ใกล้กับจันทร์เต็มดวงที่สุดเปล่งเสียงกังวานใสออกมา!

สุ้มเสียงหวานแว่วนี้ประกาศเปิดฉากกระบวนท่าสังหาร ดูคล้ายมีพลังบางประการไหลผ่านลงมาตามเส้นใยจันทรา เช่นเดียวกันกับถ่ายทอดพลัง ทีละวงทีละวง วงแหวนแสงทยอยเปล่งเสียงกังวานติดต่อกันตามลำดับ

ติง ติง ติง...

เสียงระฆังหวานเสนาะเริ่มบรรเลงจากแช่มช้าไปสู่รวดเร็ว จากเนิบนาบเป็นเร่งร้อน กังวานถี่ระรัวประดุจคลื่นน้ำถาโถมขึ้นอย่างฉับพลัน!

มองจากฟากฟ้า กลุ่มวงแหวนแสงที่แขวนห้อยลงมาจากดวงจันทร์บนเส้นใยแสงจันทรา คล้ายคลึงการผลักแท่งหินที่ตั้งเรียงไว้ให้ล้มทับติดต่อกันไปเรื่อยๆ วงแหวนแสงก็สั่นสะเทือนไล่ลงมาเป็นลำดับ!

แรงสั่นสะเทือนของวงแหวนแสงวงแรกอ่อนเบาที่สุด เสียงระฆังกังวานก็แผ่วเบาที่สุด

วงแหวนแสงวงที่สองสั่นสะเทือนแรงขึ้นอีกสักหน่อย สุ้มเสียงก็ดังขึ้นเล็กน้อย

วงแหวนแสงวงที่สามสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นไปอีก สุ้มเสียงก็ยิ่งดังกังวาน!

ยามอธิบายอาจยาวนาน แต่อันที่จริงน้ำตกแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้รวดเร็วถึงที่สุด ภายในชั่วกะพริบตาเดียว พลังประหลาดนั้นก็ส่งผ่านวงแหวนแสงนับพันๆ ในรวดเดียว ไล่ลงไปจนสุดปลายเส้นใยแสงจันทร์ เข้าสู่วงแหวนแสงวงสุดท้าย!

วงแหวนแสงวงสุดท้ายบนเส้นใยแสงจันทร์แต่ละเส้น สว่างวาบขึ้นในเวลาเดียวกัน ทันทีที่พลังงานแล่นผ่านจากวงแหวนแสงรองสุดท้ายไปสู่วงสุดท้าย พายุเสียงระฆังจากวงแหวนแสงนับพันก็ไต่ขึ้นไปถึงจุดสูงสุด!

คลื่นเสียงสังหารสะท้านฟ้ากวาดวาบ โถมทับเป็นชั้นๆ ดุจไม่มีที่สิ้นสุด!

บูม!

ห้าคนในค่ายกลรู้สึกสายตาพร่าเลือน ทุกสิ่งทุกอย่างบิดเบี้ยวแปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน พื้นใต้ฝ่าเท้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แทบจะคว่ำพวกมันลงกับพื้น

สีหน้าของพวกมันแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง!

ซู่ขวางกระบี่รัศมีดำไว้ตรงทรวงอก มือขวากำด้ามกระบี่ มือซ้ายยื่นเข้าหากระบี่ กึ่งแตะกึ่งกดใบกระบี่ไว้อย่างนุ่มนวล เสียงตวาดดังสดใส “ปกป้อง!”

มีตัวนางเป็นจุดศูนย์กลาง พลังสนามแม่เหล็กอันน่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดออกไปรอบด้าน!

 

หลัวหลีไม่ได้จับด้ามกระบี่ ปล่อยให้ลอยนิ่งอยู่เบื้องหน้ามัน มือขวาแผ่กาง หงายฝ่ามือเปิดออก สุ้มเสียงเลื่อนลอยดุจอากาศธาตุ อ้างว้างว่างเปล่า “หว่อหลี!”

เจตจำนงกระบี่ไร้ตัวตน คลับคล้ายเงารางเลือนของสตรีผู้หนึ่ง เต้นรำเบาๆ เคียงข้างกายมัน

 

กระบี่แมงมุมโลหิตของฉางเหิงแปรเปลี่ยนเป็นแมงมุมโลหิตขนาดยักษ์ ป้องกันมันจากด้านหน้า แสงสีเลือดในร่างแมงมุมโลหิตสว่างเจิดจ้าถึงที่สุด ราวกับว่าเพิ่งขึ้นมาจากบ่อเลือด! แมงมุมโลหิตขู่คำรามอย่างดุร้าย พร้อมจะโถมทะยานไปเบื้องหน้า!

 

ในเวลาเดียวกัน เกราะหนักสัมฤทธิ์ปรากฏขึ้นบนร่างบุรุษหน้าเหลือง ชุดเกราะอันหนาหนักปกคลุมร่างมันตั้งแต่หัวจรดเท้า เผยเฉพาะดวงตาเท่านั้น มือกระชับขวานสัมฤทธิ์สองคมอย่างสงบ เอวตั้ง หลังตรง ตวาดดังกึกก้อง “ทำลาย!”

 

เด็กน้อยอายุราวหกเจ็ดขวบปรากฏขวางอยู่ตรงหน้ากุ่ยฟง มันอ้วนท้วนสมบูรณ์ ผิวหนังบางจนแทบปริ สวมเอี๊ยมสีแดง แต่ดวงตาเขียวเรืองรองน่าขนพองสยองเกล้า! กุ่ยฟงขู่คำราม “ไป!”

ท่าไม้ตายของกุ่ยฟง ราชันผีน้อย!

 

ยอดฝีมือทั้งห้าทุ่มเทใช้ท่าไม้ตายสุดกำลังออกมาโดยพร้อมเพรียง พวกมันสามารถรู้สึกถึงภัยคุกคามที่รุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อ!

ค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์จู่ๆ ก็สำแดงฤทธิ์โดยไม่มีวี่แววล่วงหน้า ทันทีที่เริ่มเปิดฉาก ก็ปลดปล่อยท่าไม้ตายอันร้ายกาจสุดยอดออกมา!

ภายในขบวนค่ายกล กระถางหลอมกลั่นหัวราชสีห์ทองแดงที่จั่วม่อใช้ก่อตั้งค่ายกลไฟหลี แหลกสลายกลายเป็นฝุ่น ตะปูเหล็กเปลี่ยนเป็นฝุ่น แผ่นป้ายหยกกลายเป็นฝุ่น พืชหญ้าเปลี่ยนเป็นฝุ่น พื้นดินกลับกลายเป็นฝุ่น ...

บ่อน้ำพื้นที่ครึ่งหมู่ ทันใดนั้นเปลี่ยนเป็นละอองน้ำละเอียดยิบนับไม่ถ้วน!

นี่คือบทเพลงโหมโรงของกระบวนท่าสังหารที่แข็งแกร่งที่สุด ของค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์เจ็ดสิบสองค่ายกลย่อย

สำเนียงพิฆาตระฆังจันทรา!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด