ตอนที่แล้วตอนที่17 ตลาดเทียนหย่างและตระกูลวู่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่19 การคัดเลือก

ตอนที่18 การฝึกงาน


มันน่าเบื่อและเบื่อหน่ายกับการเป็นเด็กฝึกงานที่มีกิจวัตรประจำวันซ้ำไปซ้ำมา และพวกเขาก็ตีเหล็กกันเสียงดังโครมครามทุกเช้า ขั้นแรกพวกเขาจะต้องฝึกซ้อมขั้นตอนการขี่ม้าเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงและจากนั้นส่วนใหญ่ต้องช่วยงานในห้องถลุงเหล็กกับเด็กฝึกงานคนอื่นๆ ที่กำลังจะขึ้นรูปเครื่องมือบางอย่าง เด็กฝึกงานวัยหนุ่มสาวอย่างเช่น สิงห์น้อยนั้นยังต้อใช้เวลาช่วงบ่ายในการเรียนรู้ทักษะการหลอดขั้นพื้นฐานนอกเหนือจากทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย

พวกเขาทำงานจนเย็นและจากนั้นพวกเขาก็จะทำความสะอาดและจัดระเบียบสิ่งของต่างๆอย่างวุ่นวายในห้องถลุง

“เหมือนกับที่เขียนไว้ในหนังสือเด็กฝึกงานที่ไร้สิทธิมนุษยชน!”ในลานกว้างนั้นสิงห์น้อยได้วิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างเงียบๆ ขณะที่เขาทุบลงในกองไม้ที่มีขนาดประมาณชาม

นี่เป็นกิจวัตรประจำวันของทุกบ่าย ด้านหน้าโต๊ะหินมีกองชามไม้ขนาดใหญ่พวกเขาแต่ละคนนั้นถือค้อนอยู่ในมือ

ถูกต้องกองไม้มากมายในชามขนาดใหญ่ สิ่งที่พวกเขาควรทำก็คือการใช้แรงที่มีอยู่นั้นทุบลงไปด้วยค้อน แน่นอนว่าในการทุบแต่ละครั้งจะต้องทุบอย่างแม่นยำลงไปในจุดๆเดียว และคุณจะต้องทุบลงไปในจุดๆเดียวซ้ำแล้วซ้ำอีก

มันใช่เรื่องง่ายอย่างที่คุณคิด ไม้นั้นไม่เพียงมีความยืดหยุ่นแต่ยังมีรูปร่างเหมือนครึ่งวงกลม มันใช้แรงอย่างมากในการทุบแต่ละที

“กริ๊งงง กริ๊งงง กริ๊งงงง!”เสียงได้กระจายไปทั่วลานอย่างกับเสียงฟ้าร้อง เสียงนั้นเกิดขึ้นเมื่อมีบางสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับการหลอมเหล็ก

“พวกเจ้าน่ะ! ให้ความสนใจกับการทุบต่อไป ถ้ายังทุบไม่เสร็จข้าก็ไม่สามารถสอนเจ้าต่อไปได้นะ และหากมันยังไม่เสร็จสมบูรณ์ในอีก6เดือนล่ะก็ พวกเจ้าก็เตรียมกลับบ้านไปซะ!”

เฒ่าฉิน ได้เฝ้ามองพวกเด็กฝึกงานอยู่กลางลานของเขาอยู่ และในที่สุดเฒ่าฉินก็สังเกตเห็นเจ้าสิงห์น้อย

“เจ้าหนูคนนี้แม้อายุยังน้อย แต่ความสามารถในการจดจ่ออยู่กับสิ่งๆหนึ่งได้ดีมาก มันชั่งน่าประทับใจและเขานั้นยังเคยฝึกศิลปะการต่อสู้มาก่อนแล้ว โครงสร้างที่ดีของเจ้าหนูนี้มันเหมาะอย่างมากสำหรับการทำงานนี้!”

เมื่อเทียบกับเด็กฝึกงานคนอื่นๆสิงห์น้อยนั้นพึ่งมาที่นี้ได้ไม่ถึง30วันเท่านั้น ความแรงในการทุบลงไปในจุดๆเดียวนั้นไม่แรงจนเกินไป และแรงในการทุบแต่ละครั้งเขาควบคุมมันได้ และในการทุบแต่ละครั้งนั้นมีความมั่นใจอยู่ มือของเขาที่จับด้ามค้อนอย่างแน่นอย่างนั้นแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจ

ความผิดหวังเพียงอย่างเดียวก็คือเขาไม่สามารถทุบมันลงไปจุดๆเดียวได้อย่างแม่นยำได้แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างหนักก็ตาม

“เจ้าหนู เมื่อเจ้าใช้ค้อน มือขวาของแกน่ะไม่เสถียรดังนั้นแม้ว่ามือซ้ายของเจ้าจะมั่นคงแค่ไหนแกก็ไม่สามารถทำมันได้อย่างแม่นยำ!”

เฒ่าฉินกล่าวอย่างดุดันหลังจากยืนดูสิงห์น้อยทุบเป็นเวลานาน

“ขอบคุณครับท่านอาจารย์!”สิงห์น้อยได้ค่อยๆเล็งไปยังจุดๆเดียว ในขณะที่เขาเริ่มทุบอย่างช้าๆและเขาก็ค่อยๆรู้สึกถึงพลังของค้อนและการเคลื่อนไหวของมือเขา

“พวกแกมองอะไรกัน? ถ้าปัญญาของพวกเจ้าเท่ากับเขาแล้วข้าก็จะสอนพวกแกแบบเขานั้นแหละ พวกแกก็ตั้งใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น!”

ขณะที่เฒ่าฉินคุยกับสิงห์น้อย คนอื่นๆก็ไม่สามารถที่อดใจมองไปทางสิงห์น้อยได้

“โอ้ว..ข้าไม่ใส่ใจว่าพวกเจ้าคิดยังไงหรอกนะ?”

เมื่อสังเกตเห็นความพัฒนาของสิงห์น้อยนั้นมันช่างน่าขัน ชีวิตก่อนหน้าเขามีอายุราว40ปีและมีประสบการณ์มากมายจนเขาโตเต็มที่แล้ว ถึงแม้กระนั้นเขาก็รู้สึกประหลาดใจที่ได้พบกับความตื่นเต้นของเขาในตอนนี้

ไม่มีใครอิจฉาคุณนั้นก็หมายความว่าคุณก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น!

ชีวิตเก่าของเขานั้น เขาได้จบปริญญาเอก แต่เพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาน่าอิจฉา หลังจากสำเร็จการศึกษาเขาได้ทำงานในออฟฟิศและก่อนที่เขาจะมีโอกาสที่จะมีชคลาภเขามาเขาก็ได้เสียชีวิตไปเสียก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่เคยรู้สึกเป็นคนที่ถูกอิจฉามาก่อนเลย

ทำให้เขาประหลาดใจในชีวิตในตอนนี้เขาพึ่งจะถูกคนอื่นๆอิจฉาเป็นครั้งแรกเมื่ออายุได้แปดขวบและเขาอาจจะมีอาชีพที่มั่นคงอย่างการ ตีเหล็กอีกด้วย

“ข้าหวังว่าเจ้าหนูตัวเล็กๆเหล่านี้จะไม่ทำให้ข้ารำคาญ...มันเป็นความเจ็บปวดที่จะรับมือ!”

สิงห์น้อยยิ้มอย่างขมขื่นและเงียบไป จากนั้นเขาก็หันมาให้ความสนใจกับงานที่อยู่ตรงหน้าของเขา

มันมีบางอย่างเชื่อมโยงกันระหว่างการตีเหล็กและทักษะศิลปะการต่อสู้ของข้า จุดสำคัญคือความแข็งแกร่งของตัวเองนั้นแหละคือสิ่งที่ เฒ่าฉินได้กล่าวมาเช่นเดียวกับทักษะการเผ่งสมาธิอย่างที่หวังเทียน เหล่ยสอนมา

ในขณะที่คิดว่ามันมีมากกว่าสิ่งที่เขาพยายามที่จะเรียนรู้ทักษะการต่อยนั้นมันก็เหมือนกับการเพ่งเล็งและใช้ค่อนทุบลงไปตรงจุดๆเดียวของไม้

“กรี๊งง กริ๊งงง...ปั้ง ปั้งง ปั้งงง!”มีการเปลี่ยนแปลงในเสียงของการตอก การเปลี่ยนแปลงนั้นเล็กน้อยมากจนเด็กฝึกงานคนอื่นๆไม่ทันสังเกตมัน แต่เฒ่าฉินรู้สึกถึงมันได้

ในขณะที่เขากำลังยืนอยู่ข้างๆเด็กฝึกงานที่มีพรสวรรค์ต่ำกว่าสิงห์น้อยนั้น เขาได้หันหลังให้กับเขาคนนั้น ทักษะการฝึกหัดนี้ไม่เหมาะสำหรับสิงห์น้อย แต่เขามีศักยภาพมากกว่านั้น เฒ่าฉินพึ่งจะแนะนำเขาแค่แปปเดียวเขาก็ทึ่งเมื่อได้ยินเสียงการตีที่พัฒนาขึ้นดังเขาในหูเขาเขา

ตอนแรกเขาคิดว่าเขาต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ เมื่อเขาหันไปรอบๆเขาก็พบว่าสิงห์น้อยกำลังจดจ่ออยู่กับการทุบลงไปในไม้ ตอนแรกเขาตะลึงและต่อมาเขาก็เริ่มรู้สึกสนุกสนานและรีบเข้าไปหาสิงห์น้อย ขณะที่เขาเข้าใสใกล้อย่างระมัดระวังเขาได้มองดูสิงห์น้อยที่กำลังมีใบหน้าที่จดจ่ออยู่กับการทุบ เฒ่าฉินค่อยๆก้าวออกมาอย่างระมัดระวัง เขากลัวที่จะไปทำลายสมาธิของสิงห์น้อย

การกระทำที่ผิดปกติของเฒ่าฉินนั้นทำให้เป็นจุดสนใจของเด็กฝึกคนอื่นๆ พวกเขาหยุดการทำงานของเขาและมองไปยังสิงห์น้อย

คราวนี้ไม่เคยทำตัวแปลกๆแบบนี้มาก่อนเลย ทำให้พวกเด็กฝึกงานคนอื่นๆเริ่มสนใจในการถุบของสิงห์น้อย

หลังจากนั้นสักครู่เขาก็ได้ยินเสียงที่ผิดปกติของการตีของสิงห์น้อย การเคลื่อนไหวของเขาหยุดชะงักลงเหมือนได้ตื่นขึ้นมาจากภวังค์และใบหน้าของเขาก็กลับมาปกติ เขาได้พบกับความประหลาดใจของเขาที่เขาได้ตอกลงไปยังไม้ในจุดๆเดียวอย่าสม่ำเสมอจนไม้มันเป็นรูขนาดกำปั้นอยู่ในนั้น เสียงที่ผิดปกติที่หักล้างกับความมึนงงของเขาคือเสียงของค้อนของเขาที่ได้ทำลายไม้

ในขณะที่เขาเริ่มตระหนักถึงสภาพแวดล้อมรอบกายของเขาอยู่นั้น

“นี่คือ..!”

“สิงห์น้อยตามข้ามา คนอื่นๆกลับไปฝึกซ้อม!”เฒ่าฉินตะโกนไปอย่างไม่สามารถยับยั้งความสุขนั้นได้ เด็กฝึกงานคนอื่นๆได้กลับไปทำงานต่ออย่างน่าสังเวช

พฤติกรรมของสิงห์น้อยนั้นมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ในสายตาของเด็กฝึกงานคนอื่นๆมันแปลก แต่เด็กน้อยกลุ่มนี้มีอายุน้อยกว่า10ปีดังนั้นเขาไม่สามารถเข้าใจความหลายเหล่านี้ได้ พวกเขามองมันว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์

อย่างไรก็ตาม เฒ่าฉินต่างจากพวกเขา

เขาเข้าใจว่าสิงห์น้อยยิ่งเก่งขึ้นเท่าใด เขาจะเข้าใจการทำได้ลึกซึ้งเท่านั้น!

ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจในหลักการทั่วไปอย่างสมบูรณ์แบบและความเข้าใจของเขานั้นจากคำสอนกลายมาเป็นความเชี่ยวชาญ นี่เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างความถนัดและความรู้ความเข้าใจ เพราะมันต้องอาศัยโชคด้วย นักปราชญ์บางคนไม่สามารถบรรลุความเข้าใจได้ในขณะที่บางคนโง่ได้เข้าใจหลายๆอย่างในชีวิตของพวกเขาและพวกเขาก็สามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ในระดับสูงในบางอย่าง

เฒ่าฉิน ไม่เคยขึ้นสู่จุดๆนั้น แต่คำว่า “ความเข้าใจ”นี้เป็นที่แพร่หลายอย่างมากและเป็นเหมือนกับโอกาสที่เป็นโชคในเรื่องราวต่างๆ ถึงแม้เขาจะยังไม่เคยประสบปัญหามาก่อน แต่อย่างน้อยเขาก็ได้รู้จักกับเรื่องนี้เนื่องจากเขาเคยได้ยินมา

 

และสิ่งที่เขาเคยได้ยินมามันก็เหมือนกับสิงห์น้อย ใช่มันต้องเป็นอย่างที่ข้าคิดไว้แน่นอน!

ในขณะที่คิดถึงเรื่องนี้หัวใจของเฒ่าฉินก็เต็มไปด้วยความฟุ้งซ่าน จากนั้นความอ่อนโยนที่นุ่มนวลของสายตาเฒ่าฉินก็ได้เห็นโดยนันย์ตาคู่นั้นของสิงห์น้อย

“หรือว่าตาเฒ่านี้...จะมีรสนิยมแบบนั้น!?”

โชคดีที่ชายชราผู้นี้ไม่มีรสนิยมแปลกประหลาดใดๆ และเขาก็ชื่นชมความสามารถของเด็กผ้าชยคนนี้

“มานี่และนั่งลง!”

ขณะที่พวกเขาเข้าไปยังในห้อง เฒ่าฉินก็ชี้ไปยังม้านั่งข้างๆ

สิงห์น้อยอยากจะนั่ง แต่หลังจากคิดสักครู่นั้นเขาก็ได้ตัดสินใจที่จะยืนแทน เขากล่าวอย่างสุภาพว่า

“จะให้ข้านั่งอยู่ในระดับเดียวกับท่านได้อย่างไร?”

“โอ้ว..แกสุภาพกว่าที่คิดนะเนี้ย!”เฒ่าฉินมองไปยังสิงห์น้อยด้วยความประหลาดใจ

“แกนี่ไม่เหมือนชาวบ้านภูเขาทั่วไปเลย!”

สิงห์น้อยยิ้มและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะมาจากหมู่บ้านในภูเขาแต่ข้าก็ได้ร่ำเรียนเล็กๆน้อยๆและมันเป็นธรรมดาที่ข้าจะเข้าใจวิธีปฎิบัติต่อผู้อื่นว่าจะต้องปฎิบัติตนอย่างไร”

“เจ้าเรียนมามากแค่ไหน?” “เจ้าอ่านออกเขียนได้มากน้อยแค่ไหน?”

ในโลกนี้คนที่อ่านหนังสือออกนั้นหาได้ยาก เช่นเดียวกับสมัยก่อนที่มีอัตราคนรู้หนังสือนั้นไม่มากนัก เฒ่าฉินอยู่ที่นั้นและจำอักษรได้ประมาณร้อยกว่าตัวและสามารถเขียนได้แค่ชื่อตัวเองเท่านั้น ความสามารถในการอ่านอักษรนั้นเป็นเรื่องที่ดีมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองไปที่สิงห์น้อยที่เกิดในภูเขา นั้นทำให้เฒ่าฉินไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะสามารถอ่านออกเขียนได้

สิงห์น้อยยิ้มอย่างอายๆและพูดต่อว่า “ต้องขอบคุณพี่เขยของข้าน่ะ” จากนั้นเขาก็บอกกับเฒ่าฉินว่า หวังเทียนเหล่ยทำอะไรให้กับหมู่บ้านเขาบ้าง หลังจากได้ยินนั้น เฒ่าฉินก็รู้สึกชื่นชมหวังเทียนเหล่ย

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อเร็วๆมานี้ข้าได้ยินมาว่าหมู่บ้านหลังเขานั้นมีความมั่นคงขึ้นมาก นั้นต้องเป็นหมู่บ้านของเจ้าอย่างแน่นอน”

ในขณะนั้นเขาเหลือบมองไปที่สิงห์น้อยด้วยความปิติยินดีบนใบหน้าของเขาและถามว่า

“เจ้ารู้สึกยังไงบ้างล่ะ?”

“โอ้ ก็แปลกดีครับ!”สิงห์น้อยกำลังสับสนเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็เข้าใจว่า เฒ่าฉินหมายถึงอะไรและพูดทันทีว่า

“แต่..!”

“แต่ตอนนี้มันยากที่จะกลับไปสู่สถานะเดิมๆ เจ้าคงไม่อยากกลับไปสู่สถานะเดิมๆอีกแล้วใช่ไหม?”

“ใช่ครับ!”สิงห์น้อยหยักหน้าอย่างรวดเร็ว

“อย่ามองข้าแบบนั้นเลยข้าไม่ได้โชคดี ข้านั้นไม่มีประสบการณ์มาก่อนเลย ข้าแค่ได้ยินเรื่องเหล่านี้จากคนอื่นก็แค่นั้น!” เฒ่าฉินรู้สึกลำบากใจกับความหวังของสิงห์น้อย “แต่หลังจากประสบปัญหาต่างๆแล้วตอนนี้เจ้าก็เก่งขึ้น  แต่ชั่งน่าเสียดายที่เจ้าเป็นแค่เด็กฝึกงาน อ่อ..ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้ร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้มาด้วย”

“ใช่แล้วครับ พี่เขยของข้านั้นเคยเป็นทหารเก่าและข้าก็ได้ร่ำเรียนทักษะต่างๆและวิธีการควบคุมพลังชี่ภายในจากเขาด้วย” เขาเล่าด้วยความจริงใจและใจเย็น

“เจ้าเคยฝึกการควบคุมพลังชี่ภายในด้วยงั้นรึ??”เฒ่าฉินรู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง เขาได้ยินมาว่าสิงห์น้อยนั้นเคยร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้ แต่ไม่คิดว่าจะเคยฝึกควบคุมพลังชี่ภายใน อีกด้วย อย่างไรก็ตามนี่คือเรื่องที่ทำให้เขาตกใจเป็นอย่างที่สอง

“เจ้าฝึกมันสำเร็จไหม?”

“สำเร็จ แต่เป็นการฝึกด้วยตัวข้าเอง ดังนั้น...”

ก่อนที่เขาจะได้พูดต่อ เฒ่าฉินยื่นมือซ้ายไปจับมือขวาของสิงห์น้อย ทันใดนั้นกระแสพลังชี่ภายในก็ไหลลงไปยังฝ่ามือของสิงห์น้อย

การแสดงพลังของสิงห์น้อยก็ได้เปลี่ยนไป ก่อนที่เขาจะตระหนักสิ่งที่เกิดขึ้น พลังภายในอัคคี ของสิงห์น้อยก็เริ่มดันพลังของเฒ่าฉินกลับ

“โอ้..เจ้าหนูนี่น่าสนใจจริงๆ พลังภายในอัคคีงั้นรึ!” หลังจากที่เฒ่าฉินลองต้านพลังกับสิงห์น้อยดูนั้น เขาได้เพิ่มพลังภายในอัคคีให้แรงขึ้น

แต่สิงห์น้อยนั้นได้ยับยั้งมันเอาไว้ได้ มันเกือบจะสร้างความเสียหายให้กับเฒ่าฉิน เขาไม่ควรไปเร่งพลังให้รุนแรงขึ้นมิเช่นนั้นจะเกิดอันตรายได้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด