ตอนที่14 เทพสังหรณ์แห่งดวงตาชิบะน้อย
ทางทิศตะวันตกของหุบเขาหมอก
ซากศพกระจัดกระจายอยู่อย่างเละเทะ
ในหุบเขาตอนนี้มันชั่งอ้างว้างไร้ผู้คนและลมที่พัดกระหน่ำ ในช่วงเวลาที่หนาวที่สุดของฤดูหนาวศพได้ถูกแช่แข็งจากความเย็นเหล่านั้นและเลือดที่กองยู่ตามพื้นดินก็ถูกแช่แข็งเช่นกัน ทันใดนั้นเพียงแค่ครึ่งวันจากลมหนาวได้กลายเป็นลมมรสุมที่หนาวเหน็บอย่างฉับพลัน
ลมมรสุมที่พัดกระหน่ำไปมานั้นหนาวมาก เมื่อมันพัดผ่านศพที่ถูกแช่งแข็งอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงที่เหมือนกับอะไรบางอย่างแตกเล็กแตกน้อยออกมา เหมือนว่าลมพวกนั้นได้ทำลายกระดูกของศพเหล่านั้นไป
ศพทั้งหมดที่อยู่ในทางข้าวของทิศตะวันตกของหุบเขาได้ถูกทำลายโดยลมมรสุมอย่างฉับพลัน ขณะที่ลมนั้นได้กระหน่ำไปมามันก็ได้กัดเซาะกระดูกเหล่านั้น และในที่สุดศพเหล่านั้นก็แตกสลายไป
ขณะที่ซากศพนั้นถูกกัดเซาะจากลมจนหมด ร่างกายของชายแก่ที่ถูกทิ้งโดยชายหนุ่มลึกลับจู่ๆก็มีบางอย่างเกิดขึ้น
ร่างกายของชายแก่นั้นได้ถูกลมมรสุมกัดเซาะจนหมด แต่ด้วยเสียงแตกครั้งสุดท้ายของกะโหลกศีรษะของชายแก่นั้นได้แตกออก จู่ๆก็ได้มีควันสีดำออกมาจากรอยแตกในกะโหลกศีรษะนั้น ควันสีดำนั้นได้มากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆและได้จับตัวกันเป็นก้อน ที่ทางเข้าของหุบเขานั้นลมได้พัดแรงมากๆ จนทำให้ควันปริศนาสีดำนั้นได้ถูกลมพัดไกลออกไปหลายฟุตและลมก็ค่อยๆหยุดลง
บนหุบเขานั้นมีลมพัดกระหน่ำอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานพลังของธรรมชาติได้ ในช่วงนี้อากาศจะหนาวเย็นต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และจู่ๆควันสีดำก็ได้ค่อยๆกระจายตัวลงไปและแพร่ขยายใหญ่ขึ้น ในที่สุดควันเหล่านั้นก็ได้พัดลงไปจากหุบเขา
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
แสงแดดจากพระอาทิตย์ในตอนเช้าค่อยๆเปล่งประกายออกมา และพระอาทิตย์นั้นได้ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางและได้สาดส่องลงไปยังหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ที่ตีนหุบเขาหมอก
สภาพอากาศในช่วงนี้เหมือนใบหน้าของทารกที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างไม่แน่นอน เมื่อวานนี้ท้องฟ้ายังมืดครึมมีเมฆปกคลุมไปทั่วทุกแห่งและมีลมพัดไปรอบๆบางครั้งก็มีเกล็ดหิมะเล็กๆได้ตกมาจากฟากฟ้า แต่สภาพอากาศในวันนี้มันช่างแตกต่าง พระอาทิตย์นั้นส่องประกายจ้ากว่าวันก่อน
ชิบะน้อยตื่นมาด้วยความรวดเร็ว เขานอนอยู่บนเตียงเป็นเวลาหลายวันเนื่องจากบาดแผลและรู้สึกอึดอัดเพราะไม่ได้ฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้ นั้นทำให้ชิบะน้อยอึดอัดเป็นอย่างมาก!
วันนี้ไข้ของชิบะน้อยลดลงในที่สุด เขารู้สึกสดชื่นหลังจากได้หลับสนิท มันทำให้เขารู้สึกโล่งมาก ชิบะน้อยได้ลุกขึ้นและได้เดินไปยังลานที่ว่างใต้หน้าผากเพื่อร่ายหมัดไทเก๊ก
มันแตกต่างจากอดีตที่เขาร่ายเพลงหมัดไทเก๊กแบบง่ายๆ สองถึงสามครั้งแต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น ในอดีตมีคำกล่าวที่ว่า“หัวใจนั้นเชื่อมต่อกับจิตและจิตก็เชื่อมต่อกับชี่กง”อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถทำสมาธิเพื่อควบคุมจิตได้ดังนั้นจิตของเขานั้นไม่ได้เชื่อมต่อเข้ากับชี่กง เพราะในหัวของเขามีเรื่องให้คิดมากเกินไปและไม่สามารถปล่อยวางได้ แต่เป็นเพราะการร่ายเพลงหมัดนั้น ทำให้เขารู้สึกได้ถึงชี่กงที่ไหลเข้าสู่เส้นเลือดและเส้นเอ็นได้
ในความเห็นของคนอื่นๆชิบะน้อยได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอาการไข้และอยู่ในอาการโคม่า ในความเป็นจริงนั้นชิบะน้อยไม่ได้นอนเลยตลอดสองวัน ทั้งจิตวิญญาณและความรู้สึกนึกคิดอยู่ในสภาพที่กึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ตลอดเวลาซึ่งเกิดจากดวงตาของเขา
เมื่อชิบะน้อยกำลังจะถูกฆ่าโดยหมีดำดวงตาคู่นั้นของเขาก็ได้เปลื่ยนไปอย่างน่าอัศจรรย์และลึกลับ เขาไม่สามารถตรวจพบสิ่งพิเศษได้เมื่ออยู่ในอันตราย อย่างไรก็ตามในตอนที่เขาตกอยู่ในอาการโคม่านั้นเขารู้สึกเหมือนว่าเขากำลังอยู่ในโลกแห่งความฝัน เขาได้ล่องลอยไปมา สถานที่ที่เขาล่องลอยอยู่นั้นเป็นภาพที่เขาเคยเห็นมาก่อนจากชีวิตก่อนของเขาซึ่งเต็มไปด้วยความมืดและว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยนอกจากตาคู่นั้น
หลังจากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าดวงตาคู่นี้เป็นดวงตาของเขา
ดวงตาคู่ใหญ่นั้นได้ล่องลอยอยู่ในความมืด นัยน์ตานั้นเป็นสีทองและขอบของนัยน์ตานั้นเป็นเส้นๆสีดำ และในนัยน์ตาสีทองนั้นมันได้ส่องสว่างออกมา
ตอนนั้นชิบะน้อยรู้สึกว่าเขาเหมือนกับเป็นลูกอะไรบางอย่างที่ล่องลอยอย่างอิสระ เขาสามารถควบคุมร่างกายของเขาได้ ร่างกายนั้นสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในระดับหนึ่ง แต่มันก็เคลื่อนที่ได้ทีละเล็กน้อย
เขาพยายามที่จะเคลื่อนย้ายตัวเองเพื่อเข้าใกล้ดวงตาคู่นั้น แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน นันย์ตาคู่นั้นก็ยังอยู่ห่างจากเขาเท่าเดิม เขาสงสัยว่าในตอนนี้เขาได้อยู่ในสถานที่ที่ไหนสักแห่งหรือป่าว การเคลื่อนไหวที่เขารู้สึกได้ที่ว่ามันเป็นเพียงจิตสำนึกของเขาเท่านั้นเอง
มีบางอย่างที่เขาไม่สามารถอธิบายได้ ไม่รู้ว่าเวลานั้นมันได้ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วหลังจากที่เขาหมดสติลงไป จากนั้นดวงตาคู่นั้นก็ได้หายไปและเขาก็ได้ตื่นขึ้นกลัวสู่ความเป็นจริง
ดูเหมือนว่ามันจบลงแล้ว ในขณะที่วันต่อมาเขาได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในสายตาของเขา
เมื่อชิบะน้อยนั้นได้มุ่งความสนใจไปยังดวงตาของเขาการเปลี่ยนแปลงในไม่ช้าก็ปรากฏขึ้น ก่อนอื่นดวงตาได้กลายเป็นสีทองเล็กน้อยพร้อมกับขอบตาสีดำ มันเหมือนกับตาลึบลับขนาดใหญ่ที่อยู่เหนือศีรษะของเขาตอนอยู่ในฝัน
ด้วยสายตาเช่นนี้เขามองเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่เพียงแค่สิ่งของที่อยู่ตรงหน้าเขาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงวัตถุที่อยู่ข้างหลังของเขาเช่นกัน กล่าวคือเมื่อดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีทองอ่อนเขาจะสามารถเห็นได้ถึง360องศา ซึ่งแน่นอนว่าเขาจะไม่มีจุดบอดสำหรับด้านมุมมอง
นอกจากนี้วิสัยทัศน์และความไวในการมองของเขายังเพิ่มมากขึ้น ตอนนี้เขาสามารถมองเห็นวัตถุที่ห่างไกลออกไปซึ้งก่อนหน้านี้มันคลุมเครือ ขอบเขตวิสัยทัศน์ของเขาและความไวที่เพิ่มขึ้นนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นสำหรับเขาเช่นกัน
หลายๆอย่างเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างหมดจดในสายตาของเขา
เว้นแต่สองส่วนนี้มีสิ่งคำคัญอีกอย่างหนึ่ง ตอนนี้เขามีวิสัยทัศน์ภายในแล้ว ตราบเท่าที่เขาหันกลับไปมองตาเขาจะกลายเป็นสีแดงและเขาจะเห็นสภาพภายในได้อย่างชัดเจน จากการไหลเวียนของโลหิตโครงสร้างร่างกายเส้นทางการไหลเวียนของพลังภายใน ในเส้นเอ็นและเส้นเลือดรวมไปถึงการเผาผลาญอาหารของเขา ไม่มีอะไรที่สามารถหลบหนีจากดวงตาที่น่าอัสจรรย์ของเขาได้
นอกจากวิศัยทัศน์ภายในแล้ว สิ่งที่เขาสนใจอย่างมากคือ การปรับปรุงความสามารถในการควบคุมพลังภายใน ได้ ตอนนี้เขาสามารถควบคุมระบบการไหลเวียนของพลังภายใน ได้ดี ในอดีตของเขาสามารถใช้งานพลังภายในได้ในบางครั้งตามกระแสการทำงานของร่างกายและความรู้สึก
และไม่สามารถใช้ได้อย่างเต็มที่เนื่องจากกลัวโดนครอบงำจากธาตุไฟที่แตก ดังนั้นจึงไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดได้ ภายใต้วิสัยทัศน์ของเขา เขาสามารถหยุดการทำงานของพลังภายใน หรือชะลอความเร็วในการไหลเวียนของพลังภายในได้ การควบคุมนี้มีประโยชน์อย่างมากสำหรับการฝึก วรยุทธอัคคี
แม้ว่าวิธีการฝึกฝนนั้นจะมีความลึกซึ่งกว่า พลังแก่นแท้แห่งชี่กง แต่ก็เป็นวิธีการฝึกฝนแบบ พลังภายใน ที่มีความละเอียดอ่อนและซับซ้อนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดสนใจในการดูดซับคุณลักษณะทั่วไปของไฟจากธรรมชาติเข้าสู่ร่างกายและการปรับให้เข้ากับพลังชี่ นั้นคุณสมบัติอื่นๆจะถูกดูดกลื่นโดยไม่ตั้งใจ ดังนั้นการฝึกฝน วรยุทธอัคคีนั้นมีความแตกต่างอย่างมากจากการฝึกฝน พลังแก่นแท้แห่งชี่กง ซึ่งจำเป็นจะต้องดูดซึมทุกอย่าง การกลั่นและการไหลเวียนนั้นจะต้องอาศัยทักษะการควบคุมพลังชี่เป็นอย่างดี ซึ่งก่อนหน้านี้ชิบะน้อยไม่สามารถฝึก วรยุทธอัคคีได้ แม้ว่าเขาจะพยายามฝึกฝนมาอย่างยาวนานแล้ว แต่ในตอนนี้มันได้ถูกแก้ไขแล้ว
แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่า ชิบะน้อย จะไม่รู้สึกขอบคุณกับสิ่งที่เขาได้รับมาอย่างฟรีๆ เขายังคงตระหนักเสมอว่า เราจะต้องรักษาสิ่งนี้เอาไว้ ไม่ใช่แค่จิตวิญญาณเท่านั้นแต่เมื่อดวงตาถูกใช้งานมันกินทั้งพลังวิญญาณและพลังกายของเขาไปด้วย ทำให้รู้สึกทรมานอย่างมากเช่นกัน
ร่างกายของเขาในปัจจุบันสามารถรักษาสถาวะเมื่อเราเบิกเนตรได้มากที่สุดเพียง15นาทีเท่านั้น
นั้นเป็นสถิตินานที่สุดที่เขาสามารถคงสภาพตอนเบิกเนตรไว้ได้
นั้นหมายถึงหลังการเบิกเนตรนั้นเขาจะมีอาการเหนื่อยเป็นอย่างมาก เขาจะต้องการนอนหลับให้ไวที่สุดเท่าที่จะไวได้และการพักผ่อนหนึ่งวันเต็มนั้น ก็ไม่สามารถฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่ในวันรุ่งขึ้น ตาอจากนี้ชิบะน้อยไม่เคยรักษาสถานะนี้ได้นานเกินกว่านี้ได้ ค่าเฉลี่ยในการคงสภาพการเบิกเนตรอยู่ประมาน10นาที ด้วยเวลา10นาทีนี้เขาจะได้รับความรู้เกี่ยวกับร่างกายภายในและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้จริง
เขาไม่กล้าที่จะฝึกซ้อมเพราะเขาขาดทักษะการควบคุมพลังภายในของพลังชี่อย่างเพียงพอ ด้วยการปรับตัวและสังเกตครั้งใหม่ของเขาอย่างไรก็ตามเขามีความมั่นใจในการฝึก วรยุทธอัคคี ว่าจะปลอดภัยต่อตัวเขาเองมากขึ้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขาไม่สามารถที่จะรอได้ เขาต้องการที่จะฝึกฝน
“โอ้วว..”ชิบะน้อยถอนหายใจ หลังจากได้ร่ายเพลงหมัดไทเก๊กไปโดยที่การร่ายครั้งนี้มันแย่ลง
“ไม่แปลกใจเลยที่มีคนเคยกล่าวไว้ว่า”คนที่ไม่รู้อะไรเลยจะไม่มีความกลัว“ข้าคิดว่าร่ายเพลงหมัดไทเก๊กได้ดีกว่านี้ ข้าผิดหวังกับการร่ายครั้งนี้จริงๆ ข้านั้นมีความรู้สึกลึกๆเกี่ยวกับการไหลเวียนของพลังชี่ภายใน และการไหลเวียนของเลือดตอนนี้ข้าคิดว่าข้าจะต้องมุ่งมั่นในการฝึกมากขึ้น แต่ข้าไม่ได้คิดว่ามันจะสร้างความไม่สมดุลระหว่าง พลังชี่ภายในและการเคลื่อนไหวนี้ ไม่ใช่เพราะหมัดไทเก๊กแต่เนื่องจากข้า ข้าเพียงแค่คิดไม่ออกสำหรับการทำงานของพลังชี่ภายในและการไหลเวียนของเลือด ข้ายังไม่เข้าใจมันอย่างถ่องแท้ มันคงอีกยาวไกลที่จะรวมมันเข้ากับหมัดไทเก๊กได้ ในชีวิตก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยเห็นถึงความสำคัญของอะไรพวกนี้เลย แต่ในขณะที่ข้าร่ายเพลงหมัดนี้มันได้มีปฎิกิริยาบางอย่างภายในร่างกายของข้า ดูเหมือนว่ามันจะยืนยันบางส่วนได้ ข้าจะลืมเขียนสิ่งที่ข้ารู้สึกลงไปก่อนที่จะลืมมัน เช่นเดียวกับคำพูดที่ว่า”ความจำแม้จะเป็นเลิศ แต่อักษรที่จารึกย่อมคงอยู่ตลอดไป“มันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยหากข้าลืมสิ่งเหล่านี้!”
ชิบะน้อยยืนคิดถึงทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นในหลายวันที่ผ่านมา เขายังคงสำรวจการทำงานของร่างกายภายในด้วยดวงตาของเขาและจดลงไป
“ดวงตาของข้ามันคล้ายๆกับ”เนตรวงแหวน“ในโลกนินจาจากการ์ตูนที่ข้าเคยอ่านในชีวิตก่อนหน้าเลย แม้ในโลกนี้จะไม่มีนินจาเหมือนในนารูโตะ มันอาจเป็นเรื่องบังเอิญข้าสงสัยจริงๆว่าดวงตาคู่นี้ของเขาจะสามารถคัดลอกศิลปะการต่อสู่ของผู้อื่นได้หรือไม่”เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ชิบะน้อยก็ยิ่งมีความสนใจเป็นอย่างมากและเขาต้องการที่จะทดลองว่ามันเป็นอย่างที่เขาคิดไหม
แต่ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็รู้สึกหดหู่ใจที่ว่าไม่มีใครมาให้เขาทดสอบพลังเนตรของเขาเลยว่าสามารถคัดลอกศิลปะการต่อสู้ของผู้อื่นได้หรือไม่
คนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้านนี้คือพี่เขยของเขา หวังเทียนเหล่ย ซึ่งชิบะน้อยได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ของเขามาหมดแล้ว จริงๆชิบะน้อยรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งมากกว่าตัวหวังเทียนเหล่ยอีกด้วย
สำหรับคนที่ได้รับการสอนโดย หวังเทียนเหล่ย อย่างชิบะน้อยนั้น แสดงว่าคนที่จะมาทดลองความสามารถของเนตรนั้นจะไม่ใช่ หวังเทียนเหล่ยอย่างแน่นอน
“อ่า...!”
ทันใดนั้นชิบะน้อยก็ได้นึกถึงชายคนหนึ่ง!
“หวังเทียนเหล่ย เป็นคนที่เก่งที่สุดในหมู่บ้านก็จริง แต่ในบรรดาคนในหมู่บ้านนั้นไม่มีใครเก่งยิงธนูไปกว่าพ่อของเขา ข้าละสงสัยจริงๆว่า พ่อของหวังเทียนเหล่ยเคยฝึกยิงธนูกับบรรพบุรุษของเขาหรือไม่ น่าเสียดายที่ข้ายังอายุน้อยเกินไปที่จะไปล่าสัตว์ ดังนั้นเขาไม่เคยมีโอกาสได้เห็นเขายิงธนูเลยตอนที่เขาไปล่าสัตว์กัน”ชิบะน้อยคิดในใจ