บทที่ 151 ห้วงแห่งการรู้แจ้ง
ซู่ขยับเข้าไปใกล้หลัวหลีอย่างกะทันหัน หลัวหลีลอบระวังป้องกันเงียบๆ
“เจ้าเป็นศิษย์พี่ของจั่วม่อใช่หรือไม่?” ซู่ตัดสินใจลงมือด้วยตัวเอง จนกระทั่งถึงตอนนี้ ผีดิบข้าวต้มยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อนางแม้แต่น้อย เจ้าผีดิบข้าวต้มอาจไม่สนใจเรื่องชัยชนะ แต่นางไม่อาจไม่สนใจ
“อืม” หลัวหลีทำเสียงแปลกใจเล็กๆ
“แยกย้ายรับมือคนละคน” ซู่กล่าวเร็วรี่ “ข้ารับมือกุ่ยฟงเอง”
หลัวหลียิ่งคาดไม่ถึงกว่าเดิม นางเป็นสหายของจั่วม่อหรือ? เป็นเรื่องจริงหรือไม่? สมองมันหมุนเร็วรี่ ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียในชั่วอึดใจ
มันในใจยังคงระวังป้องกัน แต่ปากกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “ประเสริฐ ข้าเลือกคนหน้าเหลืองผู้นั้น” แม้ว่ามันไม่อาจแยกแยะความจริงใจ แต่ไม่ว่ามองจากมุมใด นี่สมควรไม่เป็นอันตรายต่อมัน
ทั้งคู่ดีดร่างแยกออกไปคนละทาง
อีกสามคนย่อมได้ยินคำสนทนาระหว่างพวกมันอย่างชัดเจน
ฉางเหิงไม่สะทกสะท้าน คนหน้าเหลืองแย้มยิ้ม กุ่ยฟงหายวับไปจากจุดที่มันยืน
ทุกผู้คนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่ละคนแยกย้ายหาสถานที่ที่จะต่อสู้อันเหมาะสม มีแต่ฉางเหิงถูกทิ้งไว้ที่เดิม เงยหน้ามองไปยังกลุ่มวงแหวนแสงบนท้องฟ้า จมลงไปในห้วงภวังค์ความคิด
จั่วม่อไม่แยแสสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นภายในค่ายกล หลังจากตกลงใจแล้ว มันก็ไม่หวั่นไหวอีก
อาการบาดเจ็บทางกายส่งผลกระทบต่อมันอย่างมาก แต่เมื่อโคจรพลังปราณ อาการบาดเจ็บก็ทุเลาลงเล็กน้อย นับตั้งแต่ที่มันเริ่มฝึกปรือเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดเป็นต้นมา ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บทางจิตสำนึกมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ในการต่อสู้สองครั้งล่าสุดนี้ แม้แต่พลังจิตสำนึกที่มันมีฝีมือที่สุด ยังไม่อาจหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บได้
นี่เป็นผลลัพธ์ของการต่อสู้ข้ามระดับชั้น แม้ว่ามันจะอาศัยพลังของขบวนค่ายกลเข้าช่วยเหลือ ยังคงได้รับบาดเจ็บอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตาม มองผิวเผินไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเส้นชีพจรปราณกับอวัยวะภายในของมันได้รับบาดเจ็บ สายตาของมันจดจ่อเยือกเย็น กระจ่างและสงบเงียบ ไม่มีร่องรอยของความคิดฟุ้งซ่าน แม้ว่ากระบวนท่าดรรชนีจะไม่รวดเร็วดุจสายฟ้าเหมือนก่อน แต่ยังราวกับเมฆล่องน้ำไหล ให้ความรู้สึกงดงามไปอีกแบบ
บนนภากาศ อู่หลิงซ่านเหรินอดร้องชมเชยไม่ได้ “เด็กผู้นี้จะประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน!”
เว่ยเฟยก็มีสีหน้าชื่นชมเช่นกัน “ด้วยพลังบำเพ็ญเพียรด่านจู้จี สามารถต้านรับการจู่โจมเต็มกำลังของหนานเหมินหยางสามกระบวนท่า ทำร้ายจงหมิงเอี้ยนบาดเจ็บสาหัส เพียงพอแก่การภาคภูมิใจ! สวรรค์ปราณีสำนักกระบี่สุญตาเหลือเกิน หนึ่งเหวยเสิ้ง หนึ่งจั่วม่อ พวกมันไม่ต้องวิตกกังวลไปอีกเป็นร้อยปี!”
ด้วยเหตุผลบางประการ อู่หลิงซ่านเหรินพลันทอดถอน “น่าเสียดายที่พวกมันเกิดผิดเวลา! ใต้รังที่ย่อยยับ ไหนเลยจะเหลือไข่สมบูรณ์ ด้วยพรสวรรค์ถึงขั้นนี้ หากต้องร่วงหล่นเสียตั้งแต่ช่วงต้น ไยมิใช่น่าเสียดายนัก!”
เว่ยเฟยหัวร่อกระหึ่ม “ข้อนี้ข้ากลับเห็นแย้งกับซ่านเหรินท่าน เนื่องเพราะพวกมันมีพรสวรรค์เด่นล้ำกว่าผู้ใด ยิ่งต้องได้รับการขัดเกลามากกว่าผู้ใด วีรบุรุษก่อเกิดจากกลียุค! หากปราศจากกลียุค ก็ยากจะพบเห็นวีรบุรุษ!
ฟังวาจาประดานี้ อู่หลิงซ่านเหรินแหงนหน้าหัวร่อ กล่าวเย้ยหยันตัวเอง “พี่เว่ยกล่าวถูกต้อง! ชราแล้ว เป็นข้าเองที่ชราเกินไปแล้ว”
จั่วม่อในใจสงบสุข ไม่มีความคิดฟุ้งซ่าน ไม่มีแพ้ชนะ ความเร็วในการก่อตั้งค่ายกลรวดเร็วขึ้นมาก โดยที่มันไม่รู้ตัว มันคล้ายแทบไม่ต้องคิด วัตถุดิบเลื่อนผ่านนิ้วมือ เวทวิชาร่ายขึ้นเองอย่างเป็นธรรมชาติ อักขระยันต์ลอยติดตามออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างราบเรียบและไหลลื่นถึงที่สุด
ภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์เจ็ดสิบสองค่ายกลย่อยก็แล้วเสร็จ!
จั่วม่อมองไปยังค่ายกลขบวนใหญ่อย่างมึนงง มันดูคล้ายเชื่อไม่ลง และขบคิดอย่างรอบคอบเล็กน้อย
นับตั้งแต่เข้าสู่หอคลื่นสนในครั้งแรก เวลาเพิ่งผ่านไปไม่นานเท่าใด แต่มันคล้ายได้รับประสบการณ์มากมาย ต่อสู้อย่างรุนแรง ได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ้นสติ จากนั้นฟื้นขึ้นมา ทั้งหมดนี้คล้ายค่อยๆ กลั่นกรองอารมณ์ของมัน จากสับสนวุ่นวายไปจนถึงสงบสุข แรกเริ่มเดิมทีมันเต็มไปด้วยความคาดหวัง มุ่งมาดปรารถนาในชัยชนะ เพียงหวังว่าจะพุ่งไปทำร้ายศัตรู ในที่สุดมันถูกบังคับให้มุ่งเน้นไปที่สิ่งเดียว นั่นคือก่อตั้งค่ายกล ไม่มีสิ่งอื่นใด ปราศจากชัยชนะหรือพ่ายแพ้
จั่วม่อลุกขึ้นยืนอย่างซึมเซาภายในค่ายกล นิ่งงันประดุจรูปปั้นดินเหนียว
บนยอดเขาสูงสุด การต่อสู้ระหว่างเหวยเสิ้งกับกู่หรงผิงยังคงดำเนินต่อไป
เหวยเสิ้งในสายตามันมีแต่ทะเลเลือด พร่าเลือนไปหมด บนร่างมันเต็มไปด้วยบาดแผลกระบี่นับไม่ถ้วน เลือดไหลย้อมเสื้อผ้าจนแดงฉานไปทั้งชุด ใบหน้าเลอะเลือน ราวกับกลายเป็นอสูรเลือดผู้หนึ่ง!
เวลานี้ผู้ชมหลายคนแทบทนดูไม่ไหว กระทั่งเทียนซงจื่อยังอดไม่ได้ ต้องเข้ามาถามว่าสมควรหยุดการต่อสู้หรือไม่ เผยเหยียนหรานไม่ได้หยุดการต่อสู้ แต่มันกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อโดยไม่รู้ตัว
กู่หรงผิงก็ไม่ได้อยู่ในสภาพดีนัก บนร่างของมันมีบาดแผลกระบี่สามรอย รอยกระบี่สามรอยนั้นไม่ได้ลึกมากเท่าใด แต่ทำให้เลือดสีสดย้อมจนชุ่มโชกตรงบริเวณทรวงอก เจตจำนงกระบี่ของมันยังคงไร้ระลอก ไร้ร่องรอยให้สืบสาวเหมือนเช่นเดิม แต่ผู้ชมก็สามารถตรวจจับความอ่อนล้าของมันได้อย่างง่ายดาย
ไม่มีผู้ใดคิดว่ากู่หรงผิงมีพลังไม่พอ ผ่านการต่อสู้อย่างหนักหน่วงเช่นนี้เป็นเวลานาน ความเหนื่อยล้าถือเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก
ที่ไม่ปกติธรรมดาคือคู่ต่อสู้ของมันต่างหาก!
กู่หรงผิงทราบดีว่าสถานการณ์ของมันย่ำแย่ลงทุกขณะ แต่มันไม่มีปัญญาแก้ไข หนึ่งชั่วยามที่ผ่านมา เหวยเสิ้งทั้งร่างปกคลุมไปด้วยบาดแผล แทบจะล้มลงได้ทุกเมื่อ ทว่าหนึ่งชั่วยามให้หลัง เหวยเสิ้งก็ยังคงยืนหยัด แต่ก็คล้ายพร้อมจะล้มฟาดได้ทุกเวลา ทว่ามันไม่เคยล้ม ทุกครั้งที่กู่หรงผิงรู้สึกว่าแค่เพิ่มกำลังอีกสักนิด ก็จะโค่นเหวยเสิ้งลงได้ แต่หลังจากลงมือไปแล้ว มันพบว่านอกจากทิ้งบาดแผลไว้บนร่างของฝ่ายตรงข้ามอีกหนึ่งกระบี่ ก็ไม่ได้มีผลลัพธ์อื่นใด เหวยเสิ้งยังคงยืนหยัดต่อสู้ต่อไป
มันไม่สามารถรอให้เหวยเสิ้งล้มลงได้ กู่หรงผิงพบว่ามันมีปัญหาโดยไม่ทันรู้ตัว
รอยแผลกระบี่สามรอยบนร่างของมัน เป็นหลักฐานยืนยันอย่างดี
วิชากระบี่ของกู่หรงผิงประดุจเส้นไหมที่ค่อยๆ ปั่นจากรังไหม สร้างตาข่ายขนาดใหญ่ดักจับฝ่ายตรงข้าม ค่อยๆ ลิดรอนเรี่ยวแรงพลังของอีกฝ่าย ปล่อยให้อีกฝ่ายสูญเสียพื้นที่พักหายใจและตายในที่สุด มันประสบความสำเร็จในการดักจับคู่ต่อสู้เข้ามาในตาข่าย แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้หยุดดิ้นรน ไม่ว่าไล่ต้อนไปนานเท่าใด คนผู้นี้ก็ไม่ล้มลง
ทั้งสองฝ่ายเข้าสู่สภาวะยันกันไว้อย่างคู่คี่ก้ำกึ่ง ความดึงดันของอีกฝ่ายเกินความคาดหมายของกู่หรงผิง พลังปราณในร่างมันถูกเผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว ปราณกระบี่ของมันค่อยๆ สูญเสียความแหลมคม การเคลื่อนไหวของมันเริ่มช้าลง ฝ่ายตรงข้ามจับจุดผิดพลาดของมัน และตีโต้อย่างเหมาะเจาะพอดีเป็นที่สุด!
ยิ่งต่อสู้นานเท่าใด ความหวาดกลัวในใจกู่หรงผิงก็ยิ่งเติบโตขึ้นเท่านั้น
เหวยเสิ้งประดุจสัตว์ร้ายที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เหมือนทหารยันต์ที่ไม่มีชีวิตและไม่รู้จักเจ็บปวด เมื่อปราณกระบี่ฟันผ่านร่างมัน นอกเหนือจากเสียงคำรามอู้อี้ในลำคอ นอกจากโลหิตกระเซ็นซ่าน ก็ไม่มีสัญญาณอื่นใดที่บ่งบอกได้ว่ามันได้รับผลกระทบ
การต่อสู้ระหว่างนายพรานกับสัตว์ร้าย ฝ่ายนายพรานค่อยๆ สูญเสียความมีเปรียบไป
ขบวนค่ายกลของจั่วม่อบันดาลให้ผู้คนรู้สึกพราวพร่างตระการตา ทั้งยังสร้างความประหลาดใจไม่ขาดสาย แต่การต่อสู้ของเหวยเสิ้งกับกู่หรงผิงทำให้ผู้คนหวาดผวา เป็นความประหวั่นพรั่นพรึงที่ออกมาจากส่วนลึกในใจ!
เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างแช่มช้า เสียงสนทนาค่อยๆ เงียบลง หลายคนไม่อาจทนดูได้มากกว่านี้อีกแล้ว
เฝ้ามองคนที่ทั้งร่างปกคลุมไปด้วยเลือด พยายามดิ้นรนต่อสู้โดยไร้เสียง กระบี่ที่บินผ่านอากาศก็โซซัดโซเซไม่ต่างอันใดกับเจ้าของ ขยับเคลื่อนไหวแต่ละครั้ง หยดเลือดที่ไหลลงมาจากร่างมัน จะสะบัดกระเซ็นไปในอากาศ
ไม่มีผู้ใดอยู่ในอารมณ์ที่จะกล่าววาจา
แม้ว่าเหวยเสิ้งอาจไม่ได้ชัย แต่ในสายตาของทุกคน จะมีเพียงร่างที่ปกคลุมไปด้วยเลือดของมันเท่านั้น
การต่อสู้ในหอคลื่นสนยังคงดำเนินต่อไป ค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ดึงดูดยอดฝีมือส่วนใหญ่เข้าไป หลายคนที่อยู่ด้านนอกค่ายกลลอบปิติยินดี พวกมันคาดว่าโอกาสเข้าสู่สิบลำดับแรกของพวกมันจะเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เรื่องราวกลับพัฒนาไปในทิศทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่พวกมันจินตนาการไว้อย่างสมบูรณ์
เมื่อปราศจากแรงกดดันจากเหล่ายอดฝีมือ ซิวเจ่อจำนวนมากที่เดิมทีตั้งใจจะหลบซ่อนตัวไว้ พลันรู้สึกหายใจหายคอสะดวกและสูญเสียความอดทนของพวกมันไป พวกมันไม่ยอมหลบซ่อนตัวอยู่ในมุมอีกต่อไป การต่อสู้เริ่มทวีความดุเดือดรุนแรงขึ้นทุกขณะ
อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ และไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ยอดเขาสูงสุด
ค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ประหนึ่งสัตว์ร้ายสุดลี้ลับ กระเพาะอาหารกระหายเลือดของมันเปิดกว้าง รอคอยโอกาสกลืนกินผู้คนเข้าไป ไม่มีผู้ใดทราบว่าภายในเกิดเรื่องราวใดขึ้นบ้าง ส่วนการต่อสู้หฤโหดบนยอดเขาสูงสุด บันดาลให้ผู้เข้าประลองหลายคนในหอคลื่นสนรู้สึกหวาดกลัว หวาดกลัวอย่างลึกล้ำ!
กระทั่งเหล่าผู้ตัดสินในหอคลื่นสนก็สนอกสนใจทั้งสองสถานที่นี้มาก และหวังว่าการต่อสู้อื่นๆ ทั้งหมดจะจบสิ้นลงเสียที
จั่วม่อรู้สึกคล้ายตกลงไปในฟองอากาศสีเทาขนาดใหญ่ รอบกายมันทุกทิศทุกทาง ล้วนเต็มไปด้วยวัสดุสีเทาอันแปลกประหลาด
ถึงแม้ว่ามันสวมใส่เกราะปราณติดตัว แต่เกราะปราณไม่ได้แยกมันออกจากวัสดุสีเทา มันคล้ายกำลังว่ายน้ำด้วยร่างกายเปลือยเปล่า ไม่อบอุ่น แต่ก็ไม่หนาวเย็น เป็นความรู้สึกแปลกพิสดารประการหนึ่ง ความรู้สึกนี้มันได้แต่อธิบายว่าคุ้นเคยเพียงอย่างเดียว ใช่แล้ว มันรู้สึกคุ้นเคยกับวัสดุสีเทาเหล่านี้เหลือเกิน
วัสดุสีเทานี้คือสิ่งใด? มันดูคล้ายเข้าใจทุกอย่าง แต่ไม่ได้เข้าใจอะไรเลยแม้แต่น้อย
จั่วม่อเอื้อมมือคว้า แต่จับไม่ถูกสิ่งใด
ที่นี่ที่ใด? นี่คือสิ่งของอันใด?
จั่วม่อรู้สึกว่ามันสมควรทราบ แต่ไม่ว่าจะครุ่นคิดเท่าใดก็นึกไม่ออก ในใจอึ้งงันอยู่บ้าง ทุกอย่างรอบตัวไม่ได้ให้คำแนะนำใดๆ แก่มัน เงื่อนงำเดียวที่มีคือความรู้สึกคุ้นเคย
ที่แท้สิ่งนี้คืออะไรกันแน่? จั่วม่ออดไม่ได้ ต้องขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง มันรู้สึกว่ามันกำลังจะพบคำตอบ
จั่วม่อเอื้อมมือออกไปตามสัญชาตญาณ คว้าวัสดุสีเทาอีกครั้ง เหมือนครั้งก่อน มันคว้าไม่ถูกสิ่งใดเลย
วัสดุนี้ราวกับอากาศธาตุ มองไม่เห็นและไม่มีตัวตน จั่วม่อคิดในใจ
รอเดี๋ยว...มองไม่เห็นและไม่มีตัวตน...
จั่วม่อพลันสะท้านขึ้นทั้งร่าง มันรู้แล้วว่าสิ่งนี้คืออะไร!
จิตสำนึก! นี่คือจิตสำนึก!
ชั่วขณะที่มันบอกตนเองว่าสิ่งนี้คือจิตสำนึก ความรู้สึกคุ้นเคยภายในร่างกายมันก็รุนแรงขึ้นอย่างฉับพลัน ในเวลาเดียวกัน ทิวทัศน์รอบด้านก็แปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
ด้านล่างของมัน มีสถานที่ที่ดูคล้ายเกาะเล็กๆ อยู่ห่างไกลออกไป บนเกาะเล็กๆ นั้นท่วมไปด้วยทะเลไฟ มีเปลวไฟสีแดงเข้มที่เปล่งประกายเหลือคณานับ มีป้ายศิลาสุสาน และบุรุษชุดดำที่นั่งอยู่บนนั้น มีแม่น้ำที่ตรงแน่วอยู่อีกสายหนึ่ง ในแม่น้ำยุ่งเหยิงวุ่นวายมาก มีสีสันสองชนิดที่แทบจะไม่สามารถแยกออกจากกันได้
ทะเลแห่งจิตสำนึก! นี่คือทะเลแห่งจิตสำนึก!
จั่วม่อแปลกใจยิ่ง เมื่อเห็นผูเยาบนป้ายหินสุสาน มันอดตะโกนเรียกไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะพยายามตะโกนเสียงดังสักเท่าใด ผูเยาก็ไม่ได้ยินมันแม้แต่น้อย
มันในที่สุดค่อยรามือ เริ่มหันไปสำรวจสภาพแวดล้อม
ทะเลแห่งจิตสำนึกทั้งผืนล้อมรอบด้วยวัสดุสีเทานี้ นี่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสิ่งที่จั่วม่อเคยจินตนาการมาก่อน มันจำได้ว่าทะเลแห่งจิตสำนึก มองไปรอบๆ ทั้งหมดเป็นความว่างเปล่าสีดำอันเงียบงัน ไม่มีอะไรสักอย่าง นอกจากดวงดาวบนท้องฟ้า
ใช่แล้ว!
มันจำได้ว่ามีดาวสี่ดวงลอยอยู่ในความว่างเปล่า!
จริงดังคาด เมื่อเงยหน้ามอง จั่วม่อก็เห็นกลุ่มดาว
มีดาวสี่ดวงลอยอยู่บนท้องฟ้า หนึ่งในนั้นสว่างไสว ส่วนอีกสามดวงสลัวลงเล็กน้อย
ในกาลก่อน ทุกครั้งที่มันเข้าสู่ทะเลแห่งจิตสำนึก มันรู้สึกว่าดาวสี่ดวงนี้อยู่ห่างไกลมาก แต่ในเวลานี้ มันพบว่าดวงดาวทั้งสี่ไม่ผิดอันใดกับเรือน้อยสี่ลำ ล่องลอยอยู่ภายนอกจิตสำนึกนี่เอง
มันคล้ายรู้แจ้งบางอย่าง
ในเวลานี้เอง ดวงดาวทั้งสี่ก็เริ่มโปรยปรายสะเก็ดแสงดาวเล็กๆ ลงมา แสงดาวราวกับทรายสีเงิน ค่อยๆ ตกลงไปในจิตสำนึกสีเทา แต่จิตสำนึกสีเทาใหญ่โตมากเกินไป แสงดาวเหล่านี้ก็เล็กจ้อยจนน่าเวทนา ทว่าดวงดาวทั้งสี่หลั่งแสงดาวลงมาอย่างสม่ำเสมอ ด้วยความเร็วอันเชื่องช้า
จั่วม่อไม่ทราบว่าแสงดาวที่คล้ายทรายเงินเล็กๆ เหล่านี้ใช้ทำอะไร แต่เห็นได้ชัด ว่าจิตสำนึกของมันดูเหมือนกำลังจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไป
เว่ยเฟยกับอู่หลิงซ่านเหรินจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ระหว่างเหวยเสิ้งกับกู่หรงผิง ไม่เพียงแค่พวกมันเท่านั้น แต่ผู้ตัดสินทั้งหมดในหอคลื่นสนต่างเฝ้าดูการต่อสู้ที่เป็นโศกนาฏกรรมนี้ ทันใดนั้น อู่หลิงซ่านเหรินคล้ายตระหนักถึงอะไรบางอย่าง หันหน้าไปมอง มันมองลงไปยังค่ายกลมหึมาด้านล่างเท้ามันตามสัญชาตญาณ เพียงเหลือบมองแวบเดียวเท่านั้น สายตาของมันก็ถูกตรึงแน่น
ภายในค่ายกล เห็นจั่วม่อกางแขนออก ราวกับว่ากำลังจะโอบกอดบางสิ่งบางอย่าง มันยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ดุจท่อนไม้ ดวงตาว่างเปล่า ไร้ชีวิตชีวา
รอบกายมัน อากาศธาตุคล้ายไม้ฟืนที่กำลังลุกไหม้ บางครั้งคราวจะเกิดการปะทุเบาๆ อย่างพิสดาร!