ตอนที่ 56 สหาย? (FREE)
ร้านสุรานิรันดร์ เป็นภัตาคารอาหารที่ดีที่สุดในมณฑลฮวายอัน แต่วันนนี้ร้านนี้ดูครึกครื้นกว่าเดิมมาก เว้นแต่ว่าความคึกครื้นนั้นมาจากเสียงตะโกนโห่ร้อง
“เอาตัวเจ้าโรคจิตออกมา ข้าเห็นเขาเข้าไปนั้น!”
“ข้าสาบานข้าต้องกำจัดเขาให้ได้ด้วยชีวิตของข้า!”
“ถ้าข้าไม่ฆ่ามัน ข้าคงไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์อีกต่อไป!”
เหล่านักปราชญ์ที่สวมชุดผ้าไหมปักลาย กำลังปิดกั้นทางเข้าร้านสุรานิรันดร์อยู่ พยายามตะโกนอย่างสุดเสียง แต่ไม่มีใครกล้าที่จะข้ามประตูเข้าไป
เพราะว่า...
ที่หน้าประตูมีชายรูปร่างแข้งแกร่งใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา และ เสือสามตาเพลิงแดง กำลังยืนอยู่
นักปราชญ์บางคนไม่กลัวความตายพยายามเข้าไป จากนั้นพวกเขาต่างนอนและส่งเสียงครวญครางอยู่บนพื้น เหมือนเป็นคำเตือนชั้นยอดต่อคนอื่น
สาเหตุของความวุ่นวายนั้น ฟาง เจิ้งจือ รู้ดี เขานั่งอยู่ใน้องส่วนตัวบนชั้นสองของภัตาคาร เขาเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้านล่างอย่างชัดเจน ดังนั้นเขาย่อมเห็นสิ่งที่ชายรูปร่างแข็งแรงคนนั้นทำ
อาหารนั้นดูเหมือนว่ายังไม่เสร็จทั้งหมด พวกเขาจิบเหล้ากันเล็กน้อย ฟาง เจิ้งจือ และ เหยียน ซิว ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
นอกจากนี้พวกเขายังดูสามัคคีกันมาก หลังจากจานอาหารทั้งหมดถูกยกมา ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำเดียว
ราวกับพวกเขาเป็นเพื่อนที่สนิทกัน
หลังจากกินเสร็จ เหยียน ซิว ก็เรียกคิดเงิน ราวกับทุกอย่างนั้นเป็นไปตามที่เขาหวัง
หลังจากทุกอย่างเรียบร้อย เหยียน ซิว ยื่นธนบัตรสีเงินไปให้แก่ ฟาง เจิ้งจือ “นี่!”
ฟาง เจิ้งจือ รับมันมา เมื่อมองเห้นว่ามันเป็นเงิน 1000 ตำลึง เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะส่งมันคืน
เหยียน ซิว งงงวย แต่ไม่คิดจะถามอะไรเพิ่มเติม
“ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้ว!” ฟาง เจิ้งจือ ยิ้ม ถึงแม้ท่าทีของ เหยียน ซิว ภายนอกจะดูเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง แต่ภายในของเขานั้นบริสุทธิ์ราวกับกระดาษขาว
“ปู่ข้าบอกว่าเราต้องจริงใจกับเพื่อนของตนเอง!” เหยียน ซิว สับสน
“ปู่เจ้าพูดถูกแล้ว เพื่อนต้องจริงใจต่อกัน ในเมื่อเจ้าเลี้ยงอาหารข้า ข้าจะตอบคำถามที่เจ้าสงสัย!” ฟาง เจิ้งจือ ยังคงยิ้ม
“ข้าอยากรู้ว่าทำไมเจ้าถึงใช้วิธีนั้นในการเปิดผ้าที่ปกปิดหน้าของ หยุน ชิงวู?” เหยียน ซิว ถามคำถามที่ค้างคาหัวใจเขามานาน
“เป็นเพราะว่าข้าชอบอะไรง่ายๆ ตรงๆ ไง!” ฟาง เจิ้งจือ ตอบอย่างจริงจัง
“เจ้าไม่กลัวคนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าโรคจิตงั้นหรือ?” เหยียน ซิว ยังคงถามออกมา
“ในเมื่อเจ้าบอกว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ข้าต้องกลัวอะไรละ?” ฟาง เจิ้งจือ ตอบพร้อมกับถามกลับไป
“เป็นความจริง!” เหยียน ซิว คิดตามคำพูดของ ฟาง เจิ้งจือ
“งั้นไปกันเถอะ!”
“ได้เลย!”
คนสองคนเดินออกมาจากร้านสุรานิรันดร์อย่างสนิทสนม
ฟาง เจิ้งจือ โผล่ออกมาจากร้านสุรานิรันดร์แล้ว แต่นักปราชญ์ที่ก่อนหน้านี้คิดจะต่อสู้กับเขากลับนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน
เพราะข้างๆ ฟาง เจิ้งจือ มี เหยียน ซิว ยืนอยู่
ไม่มีใครโง่พอที่จะต่อสู้กับ เหยียน ซิว มันเหมือนการที่เอาชีวิตไปทิ้งเปล่าๆ นักปราชญ์ต่างเม้มปากแน่นราวกับกลัวแมลงวันบินเข้าไป ในขณะที่ดวงตาเบิกกว้าง พวกเขาไม่อยากจะเชื่อ
เหยียน ซิว เดินมากับไอ้โรคจิตนั่นจริงๆ?
เจ้าโรคจิตนั่นก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มาจากบ้านนอกคนหนึ่ง ทำไมเหยียน ซิว ผู้ยิ่งใหญ่ถึงต้องไปผูกสัมพันธ์กับเขาด้วย
พวกเขาแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว!
เหล่านักปราชญ์ยังคงไม่อยากเชื่อ แต่สิ่งที่ตาของพวกเขาเห็นคือ เหยียน ซิว และ เจ้าโรคจิต นั่นเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน กระทั่งเอาแขนพาดไหล่อีกคนหนึ่ง
หลังจากนั้น ฉากที่โหดร้ายต่อพวกเขามากกว่าเดิมก็เกิดขึ้น
เจ้าโรคจิตได้บอกลากับ เหยียน ซิว ที่บันไดหน้าร้านและแสดงความเคารพต่อกันแบบขุนนางชั้นสูงอีก
“พวกเขารู้จักกันจริงๆงั้นหรือ?”
“มันเป็นไปไม่ได้ พวกเขาเขายังพูดคุยกันไม่ถึงประโยคด้วยซ้ำตอนอยู่ที่งานชุมนุมร้อยบุปผา!”
“ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาเดินออกมาจากร้านสุรานิรันดร์ด้วยกัน?”
ไม่มีเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะไม่มีใครที่พึ่งรู้จักกันไม่ถึงชั่วโมงจะมากินข้าวด้วยกันและจ่ายเงินให้
จากนั้นพวกเขาก็นึกถึงตอนที่ ฟาง เจิ้งจือ ปรากฎตัวออกมาที่งานชุมนุมร้อยบุปผา สอนเรื่องมารยาทกับเมิ่ง อวี้ชู หลังจากที่ทำ เมิ้ง อวี้ชู ล้มลงกับพื้น
ทันใดนั้น...
พวกเขาก็เหมือนเข้าใจบางอย่าง
เมื่อ ฟาง เจิ้งจือ จากไป ไม่มีใครตามพวกเขาไปอีก เพราะพวกเขารู้ว่าต่อให้ ฟาง เจิ้งจือ เป็นไอ้โรคจิต พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
....
ณ ประตูเมืองทางทิศตะวันตก ปรากฎร่างของ ฟาง เจิ้งจือที่กำลังขี่ม้าเกล็ดเงินอยู่ ถึงแม้ชื่อของมันจะดูเหนือกว่าม้านิลมังกรหิมะมาก แต่ว่า ทั้งความสูง น้ำหนัก เชื้อสายของมัน ไม่มีอะไรที่เทียบได้เลย
เหตุผลที่มันถูกเรียกว่าเกล็ดเงิน เพราะที่หน้าผากของม้าตัวนี้มีเกล็ดสีเงินรูปสามเหลี่ยมอยู่ แสดงถึงสายพันธุ์ของมัน
แต่มันใช้เพื่อทำอะไร?
มันมีไว้เพื่อโชว์เท่านั้น
“ไปเลย!” เสียงเบาๆกล่าวออกมา ม้าเกล็ดเงินพุ่งออกไปในทิศทางตรงข้ามกับประตูเมือง ฝุ่นกระจายไปทั่วทางที่มันวิ่งผ่าน
....
หลังจากที่ควบม้าเป็นเวลานานเกือบ 3 ชั่วโมง ดวงอาทิตย์ค่อยๆเคลื่อนต่ำลง ฟาง เจิ้งจือ มองเห็นเงาหมู่บานที่ปรากฎอยู่ข้างหน้าลางๆ
มันคือหมู่บ้านภูเขาทางเหนือนั่นเอง
“เจิ้งจือ กลับมาแล้ว!”
“แอบหนีเข้าไปในเมืองอีกแล้ว? หัวหน้าหมู่บ้านกำลังตามหาเจ้าอยู่!”
ชาวบ้านต่างทักทาย ฟาง เจิ้งจือ อย่างกระตือรือร้น ในเวลาไม่กี่ปี เขาได้ช่วยเหลือ หมู่บ้านภูเขาทางเหนือเป็นอย่างมาก
“เข้าใจแล้ว!” ฟาง เจิ้งจือ ตอบกลับ บังคับให้ม้าวิ่งไปยังบ้านสองชั้นที่ทำจากหินข้างหน้ามีลานบ้านอยู่ ก่อนที่เขาจะหยุดลง
มันถูกออกแบบโดย ฟาง เจิ้งจือ และสร้างขึ้นด้วยความร่วมมือของชาวบ้านหมู่บ้านภูเขาทางเหนือ มันแข็งแรง ป้องกันลมได้ ด้านบนมีรูระบายอากาศ
“แม่!” ทันทีที่เขาเดินเข้าไปยังลานหน้าบ้าน ฟาง เจิ้งจือ นำม้าเกล็ดเงินไปไว้ในคอกทันที
“เจิ้งจือกลับมาแล้ว เจ้ากินอะไรมาแล้วหรือยัง?” เสียงที่เป็นกังวลดังขึ้นมา จากนั้นหญิงคนหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวก็ค่อยๆเดินออกมาจากบ้าน
ผมอันหนานุ่มของนางยาวประบ่า ผิวของนางขาวราวกับหิมะ ละเอียดราวกับภาพวาด ถ้ามองจากภายนอกคงคิดว่านางอายุเพียง 22-23 ปี ดูไม่เหมือนคนที่อายุเกิน 30 ปีเลย
นางคือ ฉิน ซูเหลียน
“ข้ากินมาบ้างแล้ว!” ฟาง เจิ้งจือ เดินไปข้างๆ ฉิน ซูเหลียน ก่อนหันหน้าไปมองนาง
ฉิน ซูเหลียน ก้มตัวลงมาหอมแก้ม ฟาง เจิ้งจือ ไม่นานความพอใจก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของนาง หันหลังและเดินกลับเข้าไปในบ้านพร้อมกับลาก ฟาง เจิ้งจือ เดินเข้าไปด้วย
ฟาง เจิ้งจือ คุ้นชินกับเรื่องนี้อย่างหมดหนทางเสียแล้ว
เพราะมันเป็นเรื่องที่ฉิน ซูเหลียน ทำเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้วตั้งแต่เขายังเด็ก!
“งั้นกินอะไรสักหน่อย แม่ทำอาหารอร่อยๆให้เจ้าทาน ลุงหยาง ปิง ได้เอาเนื้อสัตว์มาให้บ้านเรานิดหน่อย ตอนนี้ห้องเก็บของที่เจ้าสร้างขึ้นใต้ดิน มีเนื้ออยู่เต็มไปหมด” ฉิน ซูเหลียน บ่นออกมา
“งั้นข้ากินอีกนิดละกัน แล้วท่านพ่อไปไหนแล้ว?” ตอนที่ ฟาง เฮ่าเตอ เข้ามาในบ้านเขามองไม่เห็น ฟาง เฮ่าเตอ
“เขากำลังคุยกับลุงหยางปิงอยู่ เจ้าไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ ค่อยไปหาพวกเขาหลังกินเสร็จก็ได้!” ในขณะที่ ฉิน ซูเหลียน พูด นางหยิบถ้วยที่เต้มไปด้วยเนื้ออบออกมาและวางไว้ด้านหน้าของ ฟาง เจิ้งจือ
เฟิง เจิ้งจือ สูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ
ฝีมือการทำอาหารของ ฉิน ซูเหลียน นั้นเข้าขั้นยอดเยี่ยม ตลอดสองสามปีมานี้ ฟาง เจิ้งจือ นั้นกินดีอยู่ดีมาก
วันนี้จาง หยางปิง ที่กลายเป็นหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว กำลังตามหาตัวเขาอยู่
ดูเหมือนว่าจะมีผู้มาเยือน
ที่ไม่ค่อยหวังดีเท่าไหร่...
“การทดสอบกฎแห่งเต่าข้ารอคอยมันมาถึง 8 ปี ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว!” ฟาง เจิ้งจือพูด ขณะที่ในปากเต็มไปด้วยเนื้อ เขามองไปยังนอกหน้าต่างที่มีดวงจันทร์ส่องแสงอยู่ และชื่อหนึ่งก็ปนากฎขึ้นในใจของเขา
‘ฉือ กูเหยียน’
เพจหลัก : Gate of god TH