บทที่ 98 ความเจริญก้าวหน้าของโรงงานไท่หัว (อ่านฟรี)
ทุกอย่างเป็นไปตามที่เฝิงหยู่คาดการณ์ไว้ หลี่หมิงเต๋อกะตือรือร้นที่จะขายหุ้นจริงๆ แต่เขาไม่กล้าให้ฟู่กวางเจิ้งดูรายงานทางการเงินของพวกเขา
ฟู่กวางเจิ้งได้ศึกษาสถานการณ์และพูดคุยกับพ่อของเขา พวกเขาเต็มใจรับความเสียหายในช่วงเวลาสั้นๆนี้ ขอเพียงบริษัทเครื่องจักรกลยังคงพัฒนาต่อไป ไม่แน่ว่าภายในเวลา2ปีเขาจะได้เงินลงทุนคืน และในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีผลกำไรเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน อย่างน้อยๆใน 10 ปีนี้คงไม่ต้องกังวลอะไร
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฝิงหยู่จะยิ่งแนบแน่นยิ่งขึ้น ฟู่หรงจิ้นได้ให้ความความสำคัญตรงจุดนี้มาก ดังนั้นฟู่กวางเจิ้งจึงจงใจแสร้งทำตัวเหมือนคนที่ไม่รู้ประสีประสา ในระหว่างที่หลี่หมิงเต๋อยังไม่ทันตระหนักได้ เขาจะใช้เงินลงทุนเงิน 20 ล้านหยวนซื้อหุ้น16%ของบริษัทเครื่องจักรกล จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสองของบริษัท
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เฝิงหยู่คาดการณ์เอาไว้ เขาคิดไม่ถึงว่าฟู่กวางเจิ้งจะกล้าลงทุนมากขนาดนี้ ทั้งยังไม่คาดฝันว่ารัฐบาลเมืองจะขายหุ้นให้เป็นจำนวนมาก
แต่พอลองคิดให้ละเอียดถี่ถ้วน รัฐบาลเมืองถือว่าได้กำไร ไม่ว่าจะเป็นเงินลงทุนของฟู่กวางเจิ้ง หรือการโดยใช้ข้อมูลเทคโนโลยีมาแลกหุ้นของเฝิงหยู่ ในทางกลับกัน รัฐบาลเมืองมีพร้อมทั้งข้อมูลเทคโนโลยีที่ทันสมัย และเงินทุน20ล้านหยวนโดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินสักแดงเดียว
ตามที่ผู้เชี่ยวชาญในเมืองได้ทำการประเมิน แม้จะถือหุ้นเพียง 74% แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้าที่จะปรับโครงสร้างใหม่ถือว่ากำไรของรัฐบาลเมืองเพิ่มขึ้นมากกว่าแต่ก่อนถึงสองเท่า นอกจากนี้ รัฐบาลก็ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ บริษัทต้องเสียภาษีให้รัฐบาลเมืองมากขึ้น จึงเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นอีกหลายตำแหน่ง ทำให้รัฐบาลเมืองได้ผลประโยชน์มหาศาล!
ฟู่กวางเจิ้งได้ใช้เงินทั้งหมดของเขาในการลงทุนนี้ พ่อของเขายังมอบเงินให้อีกจำนวน 10 ล้านเหรียญฮ่องกง ส่วนแม่ของเขาก็ช่วยหาเงินเพิ่มให้เขา ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของทั้งสองคน เขาอาจจะไม่มีเงินจ่ายค่ารถมือสองเลยด้วยซ้ำ
ขณะนี้สินทรัพย์หมุนเวียนในธนาคารของโรงงานมีมากกว่า 30 ล้านหยวน ทำให้เฝิงหยู่มีความสุขมาก ในอีก2ปีข้างหน้า เฝิงหยู่ตั้งใจจะกลับไปทำธุรกิจค้าขายเครื่องจักรและข้อมูลเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากสหภาพโซเวียตอีก เขาได้เปิดเผยข้อมูลบางอย่างให้กับโรงงานเตี้ยนจีและโรงงานปิงเฟย ตอนนี้เขากำลังรอพวกเขาติดต่อกลับมา
เมื่อใดก็ตามที่โรงงานมีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามา เขาก็จะสามารถทำงานร่วมกับคิริเลนโกเพื่อหารายได้ได้อีกครั้ง อีกอย่าง เขายังสามารถยกระดับเทคโนโลยีทางการเกษตรของจีน จนเกิดความประทับใจต่อผู้นำ นี่มีแต่ได้กับได้!
ในช่วงเวลานี้ เฝิงหยู่ได้ช่วยพ่อของเขาในการดูแลจัดการโรงงานแปรรูปอาหาร ตอนนี้น้ำมันคัดสรรคุณภาพยี่ห้อไท่หัวเป็นที่นิยมอย่างมากในมณฑลหลงเจียง แม้แต่ที่เมืองหลินก็มีแต่คนถามหาซื้อ
ยอดขายอยู่ในระดับที่มั่นคง ช่วงเวลานี้การผลิตยังสูงกว่ายอดขายเล็กน้อย ยังไม่จำเป็นต้องนำเข้าเครื่องผลิตใหม่ หลังจากผ่านช่วงปีใหม่ไป เครื่องจักรของสหภาพโซเวียตจะลดราคาลงอีก! เครื่องจักรเหล่านี้มีเทคโนโลยีไม่สูงเท่าไหร่ น่าจะขายได้ดี
น้ำตาลถูกผลิตเพิ่มขึ้นเพื่อการขายอาหารสัตว์เท่านั้น เดิมทีไม่คิดว่าจะทำกำไรได้จากสิ่งนี้ เพราะเฝิงหยู่เชื่อว่าน้ำมันถั่วเหลืองที่กำลังเป็นที่นิยมจะสามารถสร้างกำไรได้มากที่สุด แต่กลับกลายเป็นว่าอาหารแปรรูปขายได้ดีกว่า โดยเฉพาะอาหารหมู
ปัจจุบันประชากรในประเทศจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รายได้ก็สูงขึ้นไม่แพ้กัน แต่อุปทานของเครื่องอุปโภคบริโภครายวัน โดยเฉพาะสินค้าเกษตรยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมาประเทศอยู่ในช่วงการพัฒนาอุตสาหกรรม
แม้ว่าสถานการณ์ไม่ได้เป็นอย่างสหภาพโซเวียตเสียทุกอย่าง แต่บางปีก็ยังมุ่งเน้นเพียงแค่การพัฒนาอุตสาหกรรมในแต่ละเมือง ทำให้การพัฒนาเกษตรกรรมถูกละเลยไปบ้าง
ช่วงระยะเวลานี้ การทำไร่ทำนาเพิ่มจำนวนขึ้น แต่ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ตัวอย่างเช่น ปริมาณเนื้อหมูยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ คนรวยบางคน ต่อให้มีเงินแต่ไม่สามารถซื้อเนื้อหมูได้! เนื้อหมูขายที่ในเมืองส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่หมูสดอีกด้วย
ชุมชนเกษตรกรรมที่เฝิงหยู่อาศัยอยู่มีฟาร์มเลี้ยงไก่และฟาร์มเลี้ยงสุกร แต่ฟาร์มเหล่านี้กำลังร่อแร่เต็มที ปีที่แล้วฟาร์มไก่ก็ปิด ชุมชนเกษตรกรรมนะหรอ ไม่ต่างอะไรกับบ้านนอก ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ พื้นที่เกษตรกรรมมีมากกว่าบ้านนอกหน่อยหนึ่ง ความก้าวหน้าและเครื่องจักรก็มีมากกว่า แม้แต่ในบริษัท หรือบ้านช่องของผู้คน ส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะปลูกผักเลี้ยงสัตว์เอาไว้
เกือบทุกครัวเรือนจะเลี้ยงสัตว์ปีก เลี้ยงหมู วัว หรือแกะ แต่มักจะเลี้ยงไว้ฆ่ากินในช่วงเทศกาลตรุษจีน นั่นเป็นเหตุผลที่หลายคนพูดๆกันว่าการใช้ชีวิตในพื้นที่เกษตรกรรมดีกว่าการอาศัยอยู่ในเมือง
บ้านแต่ละหลังที่มีฟาร์มเลี้ยงไก่และเลี้ยงหมูก็ไม่ได้เลี้ยงไว้ขายหรือส่งไปขายในเมือง แม้พวกเขาเคยคิดว่าจะเลี้ยงไว้ค้าขาย แต่ช่องทางการจำหน่ายไม่ได้ทำกันง่ายๆ
เฝิงหยู่จำได้ว่าในชีวิตก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นอันดับคนรวยในประเทศ ลำดับของผู้ชายที่มั่งคั่งที่สุดในจีน อาชีพที่เขาทำคือธุรกิจอาหารสุกร ในยุค90 อาหารสุกรของเขาขายไปทั่วประเทศจีน ทำให้เขามีเงินมีทองมั่งคั่ง
เฝิงหยู่ไม่ได้คาดหวังให้โรงงานขนาดเล็กของพ่อของเขาจะกลายเป็นโรงงานอันดับหนึ่งในประเทศจีน แต่ควรเป็นโรงงานที่ดีที่สุดในมณฑลหลงเจียง หรือที่ดีที่สุดในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็พอ
แน่นอน เป้าหมายแรกในตอนนี้คือการขายน้ำตาลในคลังสินค้า!
เฝิงหยู่นั่งอยู่กับหัวหน้ากรมอาหารแห่งเมืองปิง เพื่อหารือเกี่ยวกับการนำผลิตภัณฑ์ของโรงงานไท่หัวไปวางขายในร้านสะดวกซื้อ
"หัวหน้าโจว คุณคงเห็นแล้วว่ายอดขายของน้ำมันคัดสรรคุณภาพยี่ห้อไท่หัวของเราเป็นที่นิยมมากเพียงใด อย่างน้อยเรามีส่วนแบ่งการตลาดในเมืองปิงมากกว่า10% ตัวเลขนี้ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าจะถึง 30% ในปีหน้า ผมมั่นใจว่าหากได้รับการจัดการที่ดี จะสามารถครองตลาดได้สูงกว่า 50% "
เฝิงหยู่กำลังคุยโม้อยู่ อัตราการผลิตของโรงงานไท่หัวในปัจจุบันสามารถส่งออกขายได้เพียงร้านค้าต่างๆในเมือง แทบจะไม่ถึง10%ของตลาดเมืองปิงด้วยซ้ำ แต่ยอดขายในพื้นที่อื่นๆจะเพิ่มสูงขึ้น จะปล่อยให้สินค้าขาดตลาดไม่ได้ เพราะจะส่งผลกระทบต่อผลกำไรของพวกเขา นี่จึงเป็นเวลาสำคัญที่พวกเขาจะเพิ่มมูลค่าสินค้าของพวกเขาให้สูงขึ้น!
แต่ความนิยมของน้ำมันคัดสรรคุณภาพเป็นภัยคุกคามต่อกรมอาหาร พวกเขาไม่คาดคิดว่าโรงงานผลิตน้ำมันถั่วเหลืองขนาดเล็กจะสามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้มากขนาดนี้ ที่สำคัญที่สุดกรมอาหารก็กำลังประสบปัญหา เพราะผู้คนมากมายรวมถึงผู้นำต่างกำลังตั้งถามว่าน้ำมันที่สกัดได้จากกระบวนการชะล้างปลอดภัยหรือเปล่า
ปัจจุบัน รัฐบาลอนุญาตให้โรงงานเอกชนดำเนินกานค้าขายสินค้า กรมอาหารจึงไม่สามารถสั่งให้เฝิงหยู่หยุดขายน้ำมัน ทั้งยังไม่สามารถสั่งให้โรงงานอาหารเปลี่ยนวิธีการผลิตเป็นบีบอัดให้ได้จำนวนผลิตภัณฑ์น้อยลง แล้วเลิกใช้กระบวนการชะล้างที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นพวกเขาจึงคิดวิธีการอย่างหนึ่ง คือการให้สหกรณ์หยุดขายน้ำมันคัดสรรคุณภาพยี่ห้อไท่หัว และนำมาขายในร้านสะดวกซื้อของพวกเขา ความคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเมือง
อย่างไรก็ตาม ตัวแทนจากโรงงานที่มาเจรจากับเขาเป็นเพียงวัยรุ่นคนหนึ่ง ด้วยอายุเท่านี้ เขาควรจะไปโรงเรียนไม่ใช่หรือ? แต่เดิม หัวหน้าโจวคิดว่ามันคงง่ายที่จะเจรจาต่อรองกับวัยรุ่น แต่เขาก็ผิด เด็กวัยรุ่นคนนี้ไม่เพียงแค่ต้องการให้ร้านสะดวกซื้อขายน้ำตาลจากโรงงานไท่หัว ทั้งยังต้องการให้กรมอาหารช่วยโฆษณาส่งเสริมการขายน้ำตาลอีกด้วย กรมอาหารไม่เคยโฆษณาส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของโรงงานผลิตอาหาร แต่ต้องมาโฆษณาผลิตภัณฑ์จากโรงงานเอกชนขนาดเล็ก เคยมีซะที่ไหน?
แต่เฝิงหยู่ได้กล่าวว่าหากไม่ยอมรับเงื่อนไขของเขา เขาจะไม่อนุญาตให้ร้านสะดวกซื้อหรือสหกรณ์ขายสินค้าของเขา แล้วเขาจะผลักดันผลิตภัณฑ์ของเขาไปยังร้านขายของชำขนาดเล็ก อย่างไรเสีย มีร้านค้าเล็กๆเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในตัวเมือง จำนวนร้านของชำเหล่านี้มีมากกว่าร้านสะดวกซื้อและสหกรณ์เสียอีก
หัวหน้าโจวอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก อย่างหนึ่ง เขาต้องการสิทธิ์ในการขายน้ำมันคัดสรรคุณภาพยี่ห้อไท่หัว แต่ในทางตรงกันข้าม เขาไม่อยากตกลงกับเงื่อนไขที่เด็ดขาดของเฝิงหยู่ การเจรจาครั้งนี้จึงหยุดชะงัก