ตอนที่ 53 ไร้การศึกษา (FREE)
เมิ่ง อวี้ชู คิดว่าเดิมพันครั้งนี้อาจจะเป็นโมฆะได้ เพราะไม่เคยมีใครสักคนที่จะสามารถเปิดเผยใบหน้าของ หยุน ชิงวู ได้ เขาคิดออกมาด้วยความไม่พอใจ
ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาต้องคิดหาวิธีอื่น
ใครจะคิดว่างานชุมนุมร้อยบุปผา จะดึงดูด หยุน ชิงวู ให้มาเข้าร่วมงานนี้ด้วย?
มันเป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง...
เหตุผลที่แท้จริงคืออะไรกันแน่?
…..
สายตาของ เหยียน ซิว เลื่อนไปมองเรือสำราญที่ค่อยๆแล่นเข้ามา แต่ใบหน้าของเขายังคงนิ่งเฉย ราวกับไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
เฉพาะเมื่อเรือเทียบท่าที่ริมฝั่งแม่น้ำเขาปรับท่าทางของเขาราวกับคิดอะไรบางอย่างออกมาได้
ในทางกลับกันเด็กหนุ่มคนนั้นก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม
เขากระทั่งเอนหลังลง ค่อยๆปิดตาลง ราวกับกำลังเพลิดเพลินกับสายลมที่พัดมาจากแม่น้ำและกลิ่นของดอกไม้ที่บานอยู่รอบๆ
เหยียน ซิว ไม่ได้พูดอะไร เด็กหนุ่มก็ไม่พูดอะไรออกมาเช่นกัน
ยกเว้น เหยียน ซิว ที่ปรับท่านั่งให้เหมาะสมแล้ว ในขณะที่เด็กหนุ่มคนนั้นยังทำตัวสบายๆไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทั้งคูนั้นแตกต่างกันมาก ต่างกันจนทำให้รู้สึกอึดอัด
เมื่อนักปราชญ์รอบๆเห็นพวกเขาต่างไม่รู้จะพูดอะไรออกมา
คนสองคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน แต่ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน แต่พวกเขาก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ยิ่งไปกว่านั้นทั้งคู่ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี อยู่ในความสงบไม่พูดอะไรออกมา
....
นักปราชญ์ทั้งหลายนั้นต่างมาเข้าร่วมงานชุมนุมร้อยบุปผาเพื่อชื่นชมเหล่าสาวงามอยู่แล้ว ถึงแม้ เหยียน ซิว และเด็กหนุ่มคนนั้นจะดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่การที่ต้องจองมองผู้ชายนานๆนั้นมันน่าสนใจตรงไหนกัน?
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เรือสำราญที่ประดับประดาไปด้วยผ้าไหมสีทองได้จอดเทียบท่าเรือสนิทแล้ว
ทว่าคนที่อยู่บนเรือสำราญนั้นไม่มีท่าว่าจะเดินลงมา ถึงแม้จะเป็นเยี่ยงนั้นแต่บรรยากาศในงานชุมนุมกลับคึกคักมากยิ่งขึ้น
นักปราชญ์ต่างตะโกนกระโดดเรียกชื่อของ หยุน ชิงวู บางคนหยิบกระดาษและพู่กันขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่าง
การวาดภาพ การเขียนบทกวี บทกลอน เป็นไปอย่างคึกคัก
การชุมนุมร้อยบุปผาเป็นเหมือนการเข้าสังคมของนักปราชญ์ เหมือนเป็นการผ่อนคาลยก่อนจะมีการทดสอบกฎแห่งเต๋าขึ้น งานชุมนุมนี้ไม่มีการตัดสินอย่างจริงจัง มีเพียงกฎง่ายๆ คือหลังจากสาวงามแต่ละคนได้แสดงความสามารถของตัวเองแล้ว พวกนักปราชญ์ไปวางดอกไม้ไว้ในตระกร้าที่วางอยู่หน้าสาวงาม ใครได้มากที่สุดก็จะได้รับต่ำแหน่งสาวงามไป
แม้ว่าจะเป็นวิธีทั่วๆไป แต่มันยุติธรรมมาก
“ก้อง!!”
เสียงระฆังที่ดังขึ้น เป็นเหมือนเสียงบอกว่างานชุมนุมนั้นเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
จากนั้นสาวงามแต่ละคนเริ่มเดินขึ้นไปบนเวที และแสดงความสามารถของตัวเอง แต่ละคนสวมชุดกระโปรงยาวสีสันสดใส บรรเลงท่วงทำนอง เต้นรำ หรือแม้แต่ขับบทกวี
เหยียน ซิว ยังคงนิ่งเฉยดุจสายน้ำ
ในทางกลับกันเด็กหนุ่มกลับเต็มไปด้วยความสนใจ เขาตะโกนออกมาด้วยความครื้นเครง ทั้ง ‘ไม่เลวเลย!’ หรือ ‘งดงามจริงๆ!’ เขาพูดออกมาหลายครั้ง ดึงดูดความสนใจของนักปราชญ์ที่อยู่รอบๆ
“ไอ้บ้านนอก!”
“เหอะ! ไร้การศึกษา”
“ช่างน่าอายเสียเหลือเกิน!”
ที่จริงแล้ว นักปราชญ์ยังคงถกเถียงกันอย่างออกรส บางที่อาจจะดังยิ่งกว่าเสียงตะโกนของเด็กหนุ่มด้วยซ้ำ แต่เด็กหนุ่มที่แต่งกายด้วยชุดหยาบๆนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่านักปราชญ์ที่แต่งกายด้วยชุดปักดูดี มันช่างให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาด
เด็กหนุ่มยังคงปัดฝุ่นบนเสื้ออย่างสบายใจ เขาไม่สนใจว่าคนอื่นจะนินทาเขายังไง เขายังคงดื่มด่ำกับการฟังเพลง กินอาหาร ดื่มน้ำ ตามใจตนเอง
ที่จริงแล้วเขาไม่ให้ความสำคัญกับคำพูดของคนอื่นๆ เพราะเขาคิดว่าถ้าต้องแต่งกายแบบนักปราชญ์เหล่านี้ทุกวัน ชีวิตคงน่าเบื่อน่าดู
ในที่สุด เพลงที่บรรเลงก็ค่อยๆหยุดลง มีการเคลื่อนไหวบางอย่างภายในเรือสำราญที่จอดอยู่ริมแม่น้ำ
ประตูเรือค่อยๆเปิดออก มีผู้หญิงค่อยๆเดินออกมาจาเรือโดยแบ่งเป็นสองแถว พวกนางใส่ชุดสีเขียวทั่วๆไป ด้านหลังของพวกนางมีผู้หญิงสองคนที่แต่งตัวด้วยชุดกระโปรงสีทองเดินลงมา
เมื่อทุกคนจัดแถวอย่างเรียบร้อยแล้ว ทันใดนั้นร่างอันงดงามก็ปรากฎตัวขึ้น
นางสวมชุดกระโปรงยาวหรูหราสีฟ้าประดับลายด้วยดอกโบตั๋นสีขาว บนหัวประดับไปด้วยกระจกและไข่มุกรูปดอกไม้ ผมสีดำขลับยาวลงไปถึงเอวที่ผูกด้วยผ้าสีม่วงทอง นางคือความงดงามที่แท้จริง
น่าเสียดายที่หน้าของนางถูกผ้าปิดไว้อยู่ แต่ผิวกายของนางที่พอมองเห็นได้นั้นขาวราวกับหิมะ...
ก้าวลงจากเรือเบาๆ ด้วยรองเท้าบูทปักด้วยด้ายสีทอง ก่อนที่นางจะเดินขึ้นฝั่ง
จากนั้นค่อยๆเดินขึ้นไปบนเวที
จนกระทั่งตอนนี้
นักปราชญ์ทั่วงานต่างนิ่งเงียบ จ้องมองหญิงงามที่ยืนอยู่บนเวที ดวงตาของพวกเขาเป็นประกาย
แต่ก็มีข้อยกเว้น
เหยียน ซิว ยังคงนั่งนิ่งราวกับรูปปั้นน้ำแข็ง เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆก็เช่นกัน เขายังคงเอาแต่กินผลไม้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ข้าหยุน ชิงวู โปรดรับชมการแสดงอันต่ำต้อยของข้า!” เสียงที่สดใสราวกับนกร้องกล่าวออกมา ก่อนที่ หยุน ชิงวู จะก้มศีรษะลงเล็กน้อย ท่าทางของนางช่างโดดเด่น งามหยดย้อย
“เยี่ยมมาก!” ด้านล่างของเวทีเด็กหนุ่มตะโกนออกมาอย่างสนุกสนาน ทำเอานักปราชญ์รอบข้างตกตะลึงทันที
ใครที่ทำลายบรรยากาศอันงดงามของพวกเขานั้นช่างสมควรตาย
นักปราชญ์ทุกคนจ้องมองไปที่เด็กหนุ่ม ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว บางคนถึงกระทั่งกำมือแน่นขึ้นมา ถ้าไม่ใช่เพราะ เหยียน ซิว ที่นั่งอยู่ข้างๆเขา ตอนนี้สถานการณ์คงตกอยู่ในความวุ่นวายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หยุน ชิงวู มองไปยังเด็กหนุ่มคนนั้นก่อนที่จะหมุนตัวกลับมาและก้มตัวให้เด็กหนุ่มคนนั้นเล็กน้อย
“หยุน ชิงวู ขอขอบคุณนายน้อยมาก!” กริยามารยาทของนางนั้นช่างนอบน้อม
“ด้วยความยินดี ข้าสงสัยเหลือเกินว่าเพลงอันใดที่พี่สาวชิงวู จะบรรเลงในวันนี้?” ดวงตาของเด็กหนุ่มจ้องมองไปยัง หยุน ชิงวู บรรยากาศรอบๆตัวเขาเต้มไปด้วยความกระตือรือร้น บนใบหน้าของเขาประดับไปด้วยรอยยิ้มอันสดใส เขาคือ ฟาง เจิ้งจือ นั่นเอง
เขาเข้าใจว่าอยู่แล้วว่าทำไมคนรอบๆถึงโกรธเขา แต่ทุกคนควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ตอนที่ผู้หญิงคนอื่นๆขึ้นไปบนเวที มีคนส่งเสียงให้กำลังใจมากมาย ทว่าพอเป็น หยุน ชิงวู แล้วทั่วงานกลับเงียบสงัด
“ข้าไม่คิดว่านายน้อยก็เข้าใจเรื่องดนตรีเช่นกัน วันนี้ข้าต้องการจะบรรเพลงเพลงที่มีชื่อว่า ‘้ต้นกกลู่ลม” หยุน ชิงวู ตอบออกมาเบาๆ ไม่มีการดูถูกในสายตานางแม้แต่น้อย แต่นางกลับรู้สึกเป็นเกียรติ
"ต้นกกลู่ลม?” ฟาง เจิ้งจือ พยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม
แต่เรื่องนี้กลับทำให้นักปราชญ์ทั่วงานดูหมิ่น
เมื่อเขาเห็นเด็กหนุ่มถาม หยุน ชิงวู พวกเขาคิดว่าจะมีการคุยกันอย่างลึกซึ้ง แต่เด็กหนุ่มแค่พยักหน้าโดยไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่นิดเดียว! เขาคงไม่รู้จักเพลงนั้นแน่นอน
แต่พวกเขาก็ไม่สนใจเด็กหนุ่มนานนัก บงคนก็เริ่มหลงไหลไปกับบทเพลงที่ หยุน ชิงวู เลือก ต้นกกลู่ลมนั้นแสดงถึงความเศร้าสร้อยและโทษของการวิ่งไล่ตามหาความรัก
บทเพลงกล่าวถึง หญิงที่วิ่งไล่ตามความรัก มันทำให้นักปราชญ์ที่อยู่รอบๆเกิดความรู้สึกอันเศร้าสลดในใจ
“ข้าจะเลือก หยุน ชิงวู!” นักปราชญ์ที่นั่งอยู่ด้านหน้าวิ่งออกมา ไปยังตะกร้าที่มีชื่อ หยุน ชิงวู เขียนแปะไว้ เขากำดอกไม้สดที่อยู่ในมือแน่น
แต่น่าเสียดายที่เขายังไม่เร็วพอ เพราะมีใครอีกคนหนึ่งที่รวดเร็วกว่า
รวดเร็วดังสายฟ้า ในที่สุดเขาก็ไปยืนอยู่หน้าตะกร้าดอกไม้ ดอกไม้ในมือของเขาวางลงไปในตะกร้าดอกไม้ก่อนนักปราชญ์คนอื่นๆ ในตอนที่ดอกไม้ถูกวางลงไปในตะกร้า ใบหน้าของเขาขึ้นสีเล็กน้อย “ฮ่าฮ่า...ข้าเป็นคนแรก!”
เมื่อนักปราชญ์คนอื่นๆเห็นเรื่องที่เกิดขึ้น พวกเขาตื่นตระหนกในทันที แต่ละคนรีบลุกขึ้นจากที่นั่งรีบวิ่งไปข้างล่าง เหมือนกลัวว่าตัวเองจะวางดอกไม้ในตะกร้าช้าเกินไป
ทุกอย่างตกอยู่ในความวุ่นวายทันที
“พวกเจ้ามีการศึกษากันหรือไม่? นางยังไม่ได้ทำการแสดงเลย ทำมาพวกเจ้าถึงเร่งรีบกันเยี่ยงนี้ ...หลบไปซะ หลบไปซะ!” เด็กหนุ่มมองเหล่านักปราชญ์ที่กำลังวิ่งพล่านไปทั่ว ในที่สุดเขาก็หมดความอดทน
เพจหลัก : Gate of god TH