ตอนที่ 52 หยุน ชิงวู (FREE)
ปราชญ์ทั้งหมดต่างอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ไมมีใครกล้าจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
เขายังอยากที่จะมีชีวิตอยู่อีกหรือไม่?
เขาคิดจะยั่วโมโห เมิ่ง อวี้ชู? ไม่ใช่แค่นั้นยังหยิบผลไม้ที่วางอยู่ข้างหน้า เหยียน ซิว ไปอีก? อะไรคือการยิงนกครั้งเดียว แต่ได้นกถึงสองตัว!
นอกจานี้เด็กหนุ่มคนนั้นราวกับไม่คิดสนใจสิ่งใดบนโลก
นี่มันไม่อวดดีเกินไปหน่อยหรือ?
หน้าของ เมิ่ง อวี้ชู ดำทะมึนขึ้นทันทีเมื่อเขามองไปยังเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ เหยียน ซิว
เสื้อหยาบๆสี้น้ำเงิน ผ้าโพกหัวสีน้ำเงิน และรองเท้าหนังสีดำที่ขัดจนมันเงา เป็นหลักญานชั้นดีว่าเจ้านี่ต้องมาจากชนบทแน่นอน
คนจากหลังเขานั่น ตอนนี้มายืนอยู่ในถิ่นของเขา ภายใต้ของสายตาทุกคนๆ ทำให้เขาล้มลงกับพื้น?
เขาไม่ควรมีชิวิตอยู่อีกต่อไป!
ในตอนที่เขากำลังจะระเบิดอารมณ์เพราะความโกรธ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ต้องสุภาพ ต้องสุภาพ..”
เมิ่ง อวี้ชู ผงะไปทันที จากนั้นเขาก็รู้ว่าเสียงดังขึ้นมาจาก เหยียน ซิว ตอนนี้ เหยียน ซิว นั้นให้ความรู้สึกที่เยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง
เขาท่องคำว่า ‘ต้องสุภาพ’ ออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ต้องสุภาพ?” เมิ่ง อวี้ชู ขมวดคิ้ว มือยังคงจับดาวที่เหน็บอยู่ตรงเอวแน่นจนมือซีดขาว คำพูดของ เหยียน ซิว หมายความว่ายังไง? ให้เขาปฏิบัติกับเจ้าอวดดีนี่อย่างสุภาพ?
ฉับพลัน เมิ่ง อวี้ชู ก็นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตาของเขาส่วงวาบขึ้นมาทันที เขาคงหมายถึงอย่างนี้สินะ...
เมิ่ง อวี้ชู ลุกขึ้นจากพื้น เอามือปัดเศษผงออกจากกก้น เขาโค้งตัวให้กับ เหยียน ซิว และ เด็กหนุ่มอีกคน
“ข้าคือ เมิ่ง อวี้ชู ข้าควรเรียกเจ้าว่าเยี่ยงไร?”
คำพูดนี้ถูกส่งไปยังเด็กหนุ่มโดยตรง แต่เมื่อรอบข้างเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น...
ปราชญ์รอบๆทุกคนต่างประหลาดใจ
มันเป็นไปได้ยังไง เขาไม่แก้แค้น? ไม่หยิบดาบออกมา? นอกจากนี้ยังถามชื่อของเด็กหนุ่มนั่นอีก ตั้งแต่ตอนไหนกันที่ เมิ่ง อวี้ชู เป็นคนอารมณ์ดีเยี่ยงนี้?
พวกเขาไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่เห็น
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มที่กำลังเคี้ยวผลไม้อยู่นั้น เมื่อได้ยิน เมิ่ง อวี้ชู พูดถามออกมา เขาโบกมือเป็นเชิงไล่ทันที พร้อมกับมองด้วยท่าทีรังเกียจ “ถ้าเจ้าไม่มีอะไรจะพูดอีก ก็ไปซะ ข้ากำลังรอดูการแสดงอยู่”
“…”
นักปราชญ์รอบข้าง อ้าปากค้างทันที คนที่สวมชุดหยาบๆนั้นเขาเป็นใครกันแน่? เขาไม่คิดแม้แต่จะตอบคำถามของ เมิ่ง อวี้ชู แต่ยังไล่เขาไปที่อื่นอีก?
ทุกคนที่เห็นต่างพูดไม่ออก
เมิ่ง อวี้ชู เองก็ตะลึงเช่นกัน เขาพิจรณาเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง เขาดูเหมือนจะไม่ใช่คนของมณฑลฮวายอัน
ขณะที่เขาจะระเบิดความโกรธออกมานั้น เขาได้ยิน เหยียน ซิว ท่องอีกครั้ง
“ต้องสุภาพ ต้องสุภาพ…”
ใบหน้าของ เมิ่ง อวี้ชู เปลี่ยนไปเรื่อยๆเดี๋ยวโกรธเดี๋ยวสงบ จน 15 นาทีผ่านไป เขาก็สามารถควบคุมความโกรธภายในตัวเขาได้
“การที่นายน้อยได้มาเข้าร่วมงานชุมนุมร้อยบุปผานั้นต้องรู้ดีอยู่แล้วว่า การแสดงหลักนั้นเกี่ยวข้องกับคำว่า ‘บุปผา’ งั้นวันนี้พวกเรามาพนันกันหน่อยไหม?” เมิ่ง อวี้ชู พยายามอย่างมากที่จะพูดออกไปได้อย่างสงบ แต่ฟันของเขายังคงกัดกันแน่น
“พนัน? หืม....บอกรายละเอียดหน่อยสิ!” เด็กหนุ่มคนนั้นดูเหมือนจะสนใจ
“พวกเราจะแข่งขันกันว่าใครจะเปิดผ้าคลุมหน้าของสาวงามได้ก่อน!” มุมปากของ เมิ่ง อวี้ชู ยกขึ้น ยิ้มออกมาแสดงถึงความท้าทาย
“สาวงาม? มีสาวงามด้วยงั้นหรือ?” เด็กหนุ่มผงะไปเล็กน้อย
เมิ่ง อวี้ชู หัวเราะอย่างเย็นชากับตัวเอง เขาต้องมาจากบ้านนอกแน่ๆ เขาไมรู้แม้กระทั่งว่างานหลักของการชุมนุมร้อยบุปผาคือ ‘การแข่งขันสาวงาม’?
พนันกับคนอย่างนี้ มันจะทำให้เขาเสียศักดิศรีหรือไม่?
แต่ เพราะ เหยียน ซิว บอกให้เขาต้องสุภาพ เขาจึงแสดงความสุจริตโดยการทำตามกฎของการชุมนุม หวังว่า เหยียน ซิว จะไม่ว่าอะไรเขาอีก
“เป็นยังไง เจ้าสนใจรับคำท้าไหม?”
“ผู้ชนะคือใครก็ตามที่เปิดผ้าที่ปิดบังของสาวงามได้ก่อน?” เด็กหนุ่มถามต่อ
“แน่นอน!” เมิ่ง อวี้ชู พยักหน้า
ถึงแม้การแข่งขันหลักของงานชุมนุมร้อยบุปผานั้นจะเพื่อตามหาสาวงาม แต่มันยังแข่งขันกันเรื่องศิลปะของภาษาด้วย ถ้าใครอยากจะให้พวกนางเปิดหน้าออกมา ต้องแสดงความสามารถทางด้านภาษาศาสตร์ให้พวกนางประทับใจเสียก่อน
เมิ่ง อวี้ชู ไม่เชื่อว่าจะมีใครในโลกนี้เก่งด้านภาษาศาสตร์ไปมากกว่าเขา
ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้เจ้าเด็กบ้านนอกนั่นจะเก่งด้านภาษาศาตร์เหมือนกัน
แต่ด้วยชุดหยาบๆที่เขาใส่ ไม่มีทางที่จะมัดใจสาวงามคนไหนได้แน่นอน
ดังนั้นการพนันในครั้งนี้มันชัดเจนอยู่แล้ว ผลลัพธ์มันได้ถูกกำหนดไว้เรียบร้อย
“แน่นอน!” เด็กหนุ่มตอบออกมาอย่างไม่ลังเล
เมิ่ง อวี้ชู รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ช่างเป็นคนที่กล้าหาญเสียจริง เป็นแค่เด็กบ้านนอกแต่กล้าเดิมพันกับเขา? เขาจะมาคิดโทษตัวเองที่หลังก็คงไม่ได้แล้ว
“งั้นเพราะมันเป็นการเดิมพัน เราก็ควรมีของเดิมพัน!” เมิ่ง อวี้ชู แนะนำอย่างอดทน
“ใช่ เจ้าพูดถูก!” เด็กหนุ่ม พยักหน้าอีกครั้ง เขาไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาอะไรสำหรับเขา
เมิ่ง อวี้ชู คิดว่าแค่นี้ก็เพียงพอจะหลอกล่อเขาแล้ว เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าด้วยความลังเลเล็กน้อย
ถ้าเขาวางเดิมพันมากเกินไป มันต้องไม่ดีแน่ เด็กหนุ่มนั่นคงต้องยกเลิกการเดิมพันแน่นอน
“งั้นคนละ 100 ตำลึงเงินเป็นยังไง?” เมิ่ง อวี้ชู เสนอ
“ได้แน่นอน!” เด็กหนุ่มยิ้มทันทีเมื่อได้ยิน
“งั้น ขอเชิญ เหยียน ซิว เป็นพยานในครั้งนี้ พวกเรานำแต่ละคนให้นำเงิน 100 ตำลึงเงินออกมา!” เมื่อ เมิ่ง อวี้ชู กล่าวจบ เขาหยิบเงินกระดาษ 100 ตำลังเงินขึ้นมาวางไว้ที่ด้านหน้าของ เหยียน ซิว
เหยียน ซิว เหลือบมอง ท่าทีของเขานั้นเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ ปากของเขายังคงพึมพัม “ต้องสุภาพ...”
อีกด้านหนึ่งเด็กหนุ่มเงินกระดาษที่วางไว้ขึ้นมาดูด้วยความยินดี
“ข้าขอเชิญเจ้าวางเงินเดิมพัน?” เมื่อ เมิ่ง อวี้ชู เห็น เด็กหนุ่มตรงหน้าหยิบเงินขึ้นไปดู เขาสงสัยทันที
“เงิน? โอ้...ไม่ใช่ปัญหาหรอก ยังไงข้าก็ไม่มีทางแพ้อยู่แล้ว!” เมื่อเด็กหนุ่มได้ยินคำถามเขาก็โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
หน้าของ เมิ่ง อวี้ชู เริ่มดำทมึนขึ้นเรื่อยๆ
มันหมายความว่ายังไง เขาคิดจะโกง?
ขณะที่เขาคิดจะเถียงออกมา แต่พลันเหลือบไมองทาง เหยียน ซิว เขาก็กลืนคำพูดของเขากลับไป เขาเชื่ออย่างสัตย์จริงว่าถ้ามี เหยียน ซิว เป็นพยาน เด็กหนุ่มนั่นต้องไม่กล้าโกงแน่นอน
นอกจากนี้ไม่มีใครในมณฑลฮวาอันที่กล้าโกงเขา
“ฮึ่ม!” เมิ่ง อวี้ชู โกรธมาก หลังจากเขาวางเดิมพันแล้ว เขาก็ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับเด็กหนุ่มนั่นอีกต่อไป
“เมิ่ง อวี้ชู เดิมพันกับเด็กหนุ่มนั่นว่าใครจะเปิดหน้าของสาวงามได้คนแรก!”
“มันดูน่าสนใจมาก เมิ่ง อวี้ชู ไม่รู้รายชื่อของสาวงามในวันนี้งั้นหรือ?”
เมื่อ นักปราชญ์รอบๆได้ยินบทสนทนาระหว่าง เมิ่ง อวี้ชู กับเด็กหนุ่มคนนั้น พวกเขาก็ต่างถกเถียงกันอย่างคึกคัก
ทันใดนั้น บนแม่น้ำแห่งความสัตย์ เรือสำราญขนาดใหญ่สูงสามชั้นที่ประดับประดาไปด้วยผ้าไหมสีทอง ค่อยๆไหลไปตามน้ำธงสีทองบนเรือนั้นมีประดับคำว่า ‘หยุน’ โบกสะบัดไปตามแรงลม
ระลอกคลื่นกระจายอยู่ทั่วผิวน้ำ เรือสำราญขนาดใหญ่ แล่นผ่านเรือลำอื่นๆที่ลอยอยู่บนแม่น้ำแห่งความสัตย์ แต่ไม่มีเรือลำไหนเทียบเคียงได้กับเรือลำนี้
เพราะว่าเจ้าของของมัน เปรียบเสมือนภูเขาอันสูงส่ง ที่ไม่มีใครสามารถเอื้อมถึง
“ทำไมนาง...ถึงมาที่ฮวายอัน?”ใบหน้าของ เมิ่ง อวี้ชู ที่ตอนแรกเต็มไปด้วยความมั่นใจพลันกลายเป็นน่าเกลียดน่ากลัวทันทีเมื่อเห็นเรือลำนั้น
เขารู้ดีว่าใครที่นั่งอยู่บนเรือลำนั้น นางผู้ที่ทำให้ปราชญ์ทั่วราชอณาจักรเซี่ยอันยิ่งใหญ่ต้องก้มหัวแทบเท้านาง หมากรุก วาดรูป การอ่าน บทกวี เพลง ไม่มีอะไรที่นางไม่เชี่ยวชาญ ที่สำคัญที่สุดไม่เคยมีใครเคยเปิดผ้าที่ปกปิดใบหน้าของนางได้ นางคือ หยุน ชิงวู
และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีใครสักคนที่ได้เหยียบเท้าขึ้นเรือของนาง
แน่นอน... ‘ใครสักคน’นั้นต้องหมายถึงผู้ชายอยู่แล้ว!
เพจหลัก : Gate of god TH