บทที่ 55: ปีศาจร้องทุกข์
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ก่อนใครได้ที่แฟนเพจ
====================
บทที่ 55: ปีศาจร้องทุกข์
เมื่อหวังฉีหวู่ได้ยินเช่นนั้น เขาหมดความอดทนทันทีพร้อมถามเสียงดัง “เพียงแค่ฉงตูตายอย่างนั้นหรือ? มันมีอะไรน่าปวดหัวมากกว่านี้อีกหรือ? ครอบครัวของราชครูถูกฆ่าตายทั้งหมดโดยศิษย์น้องของข้า! เหตุใดเจ้าต้องนำเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้มาใส่หัวข้าด้วย! และอีกอย่างข้ามิใช่ศาลแล้วมันสำคัญกับข้าอย่างไร?”
หลังจากกล่าวจบ หวังฉีหวู่ดื่มด่ำรสชาติของชาอยู่อีกสักครู่ แล้วพบว่าเขาพลาดบางสิ่งไป จึงรีบถามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ช้าก่อน เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่าผู้ที่ลงมือฆ่าฉงตูคือนักบวชเต๋าอ้วนท้วน? นักบวชเต๋าที่สามารถสังหารฉงตูได้จะต้องมีความสามารถ แม้ว่าจะมีผู้ฝึกตนมากมายอยู่บนโลกนี้ แต่มีไม่มากนักที่จะเป็นพวกเต็มไปด้วยไขมัน ถ้าเท่าที่ข้ารู้ก็มีไม่กี่คน ช้าก่อน… อย่าบอกนะว่าเป็นศิษย์น้องที่น่าอับอายของข้า?” หลังจากกล่าวจบ เขาจ้องมองไปที่นักบวชหนุ่มผู้ส่งข่าว
นักบวชหนุ่มหลบสายตาและไม่รีรอสิ่งใดอีก เขาหยิบกระดาษออกมาหนึ่งแผ่นพร้อมส่งมอบมัน “นี่คือภาพมือสังหารที่ศาลนำมามอบให้กับเรา พวกเขาได้มาจากเมืองสีตี้เมื่อสามวันก่อนเพื่อถามเราว่าทางเรารู้จักเขาหรือไม่!”
ไม่มีสิ่งใดต้องกล่าวอีกต่อไป หวังฉีหวู่ฉกภาพมาอย่างรวดเร็วและตรวจสอบมัน พระเจ้า! มันคือใบหน้าที่น่าแสนน่ารังเกียจของเจ้าอ้วน สิ่งแรกคือเจ้าอ้วนลงมือสังหารฉงตูที่หน้ากองบัญชาการ และสังหารกองกำลังไปเล็กน้อยเพราะพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องในการสังหารภรรยาของซางเต๋อชิง สำหรับผู้คนที่ผ่านไปมาเจ้าอ้วนมิได้ลงมือสังหารพวกเขา เขาไม่ใช่บุคคลที่ชื่นชอบการฆ่าฟัน แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนได้เห็นรังสีฆ่าฟันอยู่ในแววตาของเจ้าอ้วนอย่างชัดเจน
หลังจากที่เจ้าอ้วนฆ่าพวกเขาเสร็จสิ้น เขาได้ออกจากพื้นที่ไปและปล่อยเศษกองเนื้อขนาดมหึมาทิ้งไว้เพื่อรอคนอื่นมาเก็บกวาด ผู้ปกครองแห่งเมื่อสีตี้นั้นให้ความสนใจกับทุกสิ่งอย่าง ดังนั้นภาพของเจ้าอ้วนจึงถูกลงสีและส่งไปยังเมืองหลวงทันที!
“นี่… ไอ้สารเลว!” หวังฉีหวู่โกรธจัดพร้อมกันตะโกนออกมาทันที “ไอ้เด็กสารเลวผู้นี้มันรู้จักคำว่าขีดจำกัดหรือไม่? ข้าเช็ดก้นให้เขาไปหนึ่งครั้ง และข้าต้องทำมันอีกครั้งงั้นหรือ?”
หลังจากสาปส่งอยู่ชั่วครู่ หวังฉีหวู่นึกบางอย่างขึ้นได้และรีบถามทันที “เดี๋ยวก่อน เจ้าบอกว่าเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อสามวันก่อน?”
“ขอรับ เมื่อสามวันก่อนยามราตรี! ผู้ปกครองเมืองสีตี้ไม่ได้รีรอสิ่งใด เขาส่งรูปมาให้เราทันที!” นักบวชหนุ่มรีบตอบกลับ
“สามวันก่อน? เจ้าอ้วนเพิ่งจะสังหารครอบครัวของราชครูไปมิใช่หรือ? สวรรค์! เจ้าหนุ่มผู้นี้สังหารครอบครัวราชครูในเวลากลางวัน และในเวลากลางคืนเขาสังหารฉงตูพร้อมกับสับเป็นแปดชิ้นงั้นหรือ?” หวังฉีหวู่ถอนหายใจออกมาอย่างหมดอารมณ์ “สวรรค์ มันถูกส่งมาช่วยข้าหรือว่าสร้างภาระให้ข้ากันแน่?”
“ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้ ข้าต้องขอความยุติธรรมจากท่านอาจารย์!” เมื่อกล่าวจบ เขาหยิบภาพวาดและแบกความโกรธที่แน่นอยู่ในกระเพาะอาหารเดินไปหลังภูเขา
สุดท้ายเมื่อหวังฉีหวู่มาถึงภูเขา เขาพบว่าเจ้าอ้วนอยู่ที่นั่นแล้ว และใบหน้าของเขาดูสบาย ๆไร้ความกังวลใด ๆ ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นทำให้หวังฉีหวู่โกรธมากยิ่งขึ้น
“ท่านอาจารย์ ข้าไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งนี้ได้อีกต่อไป!” หวังฉีหวู่ตะโกนออกมา “ท่านรู้หรือไม่ว่าหลานชายของท่านผู้นี้ทำสิ่งใดลงไปบ้าง?”
“ฉีหวู่ ใจเย็นก่อน เราคือนักฝึกตนที่ฝึกตนจนฝังรากลึกลงไปถึงวิญญาณ ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘เจ้าจะไม่หวั่นไหวแม้ว่าภูเขาใหญ่จะพังทลายลงตรงหน้า เราจะไม่ทุบตีกวางที่ยืนอยู่ข้างเรา’ เจ้าลองมองตนเองว่าตอนนี้เจ้าทำสิ่งใดอยู่ เจ้าไม่มั่นคงและไม่เหลือจิตวิญญาณของนักฝึกตน!” ฉิงเฟิงซีแสร้งทำเป็นไม่พอใจและตำหนิออกมา
“ขอรับ ศิษย์ผู้นี้รับทราบความผิดพลาด!” หวังฉีหวู่รู้สึกท้อแท้พร้อมกับกล่าวขอโทษทันที จากนั้นเขาก็ปรับอารมณ์ของเขาและกล่าวว่า “แต่ท่านอาจารย์ เขา…”
“อะไร?” ฉิงเฟิงซีเบะปากของเขาพร้อมกล่าวว่า “อย่าบอกนะว่าการที่เขาสังหารฉงตูเป็นการทำลายชื่อเสียงของวัดเสวียนเทียนแห่งนี้?”
เป็นครั้งแรกที่หวังฉีหวู่ตกตะลึงพร้อมกับถามออกไปว่า “เอ๋? ท่านทราบเรื่องนี้แล้ว?” เขาไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าอ้วนจะกล้าบอกกล่าวเรื่องราวร้ายแรงเช่นนี้ด้วยตนเอง ดังนั้นหวังฉีหวู่จึงคิดเอาเองว่าฉิงเฟิงซีคงยังไม่รู้เรื่อง! และเขาก็ไม่ได้คิดว่าเจ้าอ้วนจะกลับมาที่นี่ตั้งแต่สองวันที่แล้ว เจ้าอ้วนไม่อาจทนอยู่เฉยได้ ดังนั้นเขาจึงรีบกลับมารายงานเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับความชั่วร้ายของฉงตูให้อาจารย์รับทราบ
แม้เหตุผลของเจ้าอ้วนในการสังหารฉงตูจะไม่หนักแน่นเท่าใดนัก แต่ภายใต้ความลำเอียงของฉิงเฟิงซี เขาสามารถทำเป็นมองไม่เห็นได้ ดังนั้นเมื่อหวังฉีหวู่มาโวยวาย ฉิงเฟิงซีจึงทำเป็นไม่สนใจเรื่องราวเหล่านี้นักพร้อมกล่าวว่า “ฉงตูฉุดหญิงสาวในที่สาธารณะพร้อมกับสังหารมารดาของนางอย่างโจ่งแจ้ง ศิษย์น้องของเจ้าผู้นี้เป็นแขกในบ้านหลังนั้น เขามีความยุติธรรมอยู่ในจิตใจและไม่อาจอดทนต่อสิ่งอุกอาจเช่นนั้นได้ แน่นอนว่าเขาต้องโกรธจัด! เขาหั่นไอ้สารเลวนั่นออกเป็นแปดชิ้น ถึงแม้ว่าจะน้อยเกินไป แต่เจ้ามิอาจตำหนิศิษย์น้องผู้นี้ได้! เจ้าไม่ได้คิดเช่นข้างั้นหรือ?”
“เรื่องนั้น...” หวังฉีหวู่หมดคำกล่าวอีกต่อไป เขาคิดในใจ ‘แม้แต่อาจารย์ก็กล่าวเช่นนี้ แล้วศิษย์อย่างข้าจะกล้ามิเห็นด้วยงั้นหรือ?”
แม้ว่าเขาจะไม่พอใจ แต่ด้วยความที่เคารพต่ออาจารย์เขาทำได้เพียงกัดริมฝีปากพร้อมกล่าวออกไปสั้นๆ “ท่านอาจารย์กล่าวถูกแล้ว!”
“อา หากเจ้าคิดเช่นนั้นเหมือนกันก็ดี!” ฉิงเฟิงซีพยักหน้าด้วยความพอใจ
“ท่านอาจารย์ มันไม่สำคัญว่าข้าจะคิดเช่นไร สิ่งที่สำคัญคือแคว้นหลานเย่ว์คิดเช่นไร พวกเขาเพิ่งสูญเสียราชครูไป และตอนนี้ได้สูญเสียฉงตูไปอีก ฉงตูทั้งแข็งแกร่งและปกป้องแคว้นมายาวนาน เข้าร่วมสงครามมากมาย ในตอนนี้เขาถูกฆ่าตายโดยไม่มีโอกาสได้ชี้แจงแม้แต่น้อย เราจะตอบเรื่องนี้อย่างไร? ในตอนนี้ศาลส่งคนมาเพื่อถามไถ่กับเราแล้ว!” หวังฉีหวู่กล่าวอย่างหมดหวัง
“นั่นมันปัญหาของเจ้า” ฉิงเฟิงซีกล่าวเรียบ ๆ “ไม่ใช่หน้าที่เจ้าหรอกหรือ ก็เจ้านั้นมีความสัมพันธ์พิเศษกับศาลมิใช่หรือ?”
หวังฉีหวู่ตกใจทันทีเมื่อได้ยินพร้อมกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ท่านกำลังโยนภาระนี้มาให้ข้าอีกครั้งงั้นหรือ? เหตุที่เกิดขึ้นกับราชครูผู้ยิ่งใหญ่ ข้าไม่มีใบหน้าที่จะไปโผล่ที่ใดอีกแล้ว ข้าวิ่งไปมาจนขาของขาทั้งสองข้างจะหลุดออกจากลำตัว! แต่ท่านกลับต้องการให้ข้าทำเช่นนั้นอีกครั้ง?”
“มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ มันอาจจะเพิ่มภาระให้กับเจ้านิดหน่อย!” ฉิงเฟิงซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านอาจารย์ ท่านไม่สามารถลำเอียงเช่นนี้ได้ เหตุใดข้าจะต้องตามเช็ดก้นให้กับเขาทุกครั้งเช่นนี้?” หวังฉีหวู่กล่าวอย่างไม่พอใจ
“ฮ่าฮ่า!” ฉิงเฟิงซีหัวเราะพร้อมกล่าวว่า “ตกลง ตกลง ข้าทราบแล้วว่ามันยากเกินไปสำหรับเจ้า สำหรับเรื่องนี้ข้าจะปรุงยาให้เจ้าหนึ่งหม้อสำหรับยืดอายุไขของเจ้าเอง ตกลงหรือไม่?”
“อา… ข้าจะสามารถสร้างปัญหาให้กับท่านอาจารย์ได้อย่างไร?” ในขณะนั้นดวงตาของหวังฉีหวู่เปล่งประกายออกมา แม้เขาจะบอกเช่นนั้น แต่สายตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง ก่อนอื่นใดเลย ฉิงเฟิงซีอยู่ในระดับปฐมภูมิ เข้าเป็นผู้ฝึกตนประเภทปรุงแต่งยาอายุวัฒนะ ยาที่เขาปรุงแต่งเองมีประสิทธิภาพสูงมากและยาหม้อนี้จะสามารถต่ออายุของเขาไปได้อีกสองหรือสามทศวรรษ!