บทที่ 147 เกิดมาเพื่อต่อสู้
มีซิวเจ่อผู้หนึ่งทดลองใช้กระบี่บินจู่โจมใส่จันทร์เสี้ยวที่แขวนค้างอยู่กลางฟ้า
คาดไม่ถึง พฤติกรรมนี้คล้ายไปกระตุ้นโทสะของกลุ่มวงแหวนแสงที่ดูไม่เป็นอันตรายเหล่านั้นเข้า! วงแหวนแสงวงหนึ่งพลันตกลงมาบนร่างมัน สวมครอบจากทางศีรษะ จากนั้นหดตัวรัดแน่น ไม่มีใครคาดคิดว่าวงแหวนที่เพียงแค่แตะเบาๆ ก็ระเบิดกระจายนี้ จะทรงพลังถึงเพียงนี้!
ภายใต้ห่วงแสงบีบรัดอย่างรุนแรง เซียนกระบี่ผู้นั้นกรีดร้องโหยหวน ตาเหลือกค้าง ล้มฟาดลงกับพื้น
ขณะที่ทุกผู้คนตะลึงลาน ทันใดนั้นโซ่สีทองคำดำฉกวูบลงมาจากฟ้า คล้องร่างซิวเจ่อผู้นั้นอย่างแม่นยำ
“หมดสติ นับเป็นพ่ายแพ้ ตัดสิทธิ์ออกจากการประลอง”
สุ้มเสียงเย็นชาดังขึ้นในหูทุกผู้คน แล้วเงียบหายไป
ทุกคนทราบว่ามีผู้ตัดสินซ่อนตัวอยู่ในเงามืด คอยป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายถึงชีวิต เหล่าผู้ตัดสินที่ถูกเชื้อเชิญมาในรอบสุดท้ายนี้ล้วนเป็นยอดคนด่านจินตัน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ธรรมดาทั่วไป พวกมันสามารถเข้าออกค่ายกลได้อย่างง่ายดายดุจมาท่องชมทิวทัศน์ ในขณะที่เหล่าผู้เข้าประลองถูกกักขังไว้ภายในค่ายกล
นอกจากตกตะลึง พวกมันยังอดไม่ได้ให้บังเกิดแรงปรารถนาอย่างแรงกล้า ในแง่ของพลังบำเพ็ญเพียร ด่านหนิงม่ายกับด่านจินตันเพียงห่างกันแค่ด่านเดียว แต่ด้านพลังอำนาจกลับห่างชั้นกันอย่างกว้างใหญ่ไพศาล!
สำหรับซิวเจ่อด่านหนิงม่ายเหล่านี้ บรรลุด่านจินตันคือความฝันของพวกมัน แต่ทุกคนทราบดีว่าเรื่องนี้ยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด ชนชั้นหนิงม่ายอาจเรียกได้ว่าเป็นกระดูกสันหลังของอาณาจักรนภาจันทร์ มีเพียงบรรลุด่านจินตันจึงจะเรียกได้ว่าปรมาจารย์ ทุกปี มีผู้คนนับไม่ถ้วนติดค้างอยู่ที่ประตูนี้ แต่ไม่มีผู้ใดท้อถอย หากพวกมันสามารถข้ามประตูนี้ไปได้ จะกลายเป็นปลาหลีฮื้อกระโดดข้ามประตูมังกร ทะยานขึ้นสู่สวรรค์ชั้นฟ้า หลังจากนั้นอายุขัยยืนยาว ไม่ว่าผู้ใดก็อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปเรื่อยๆ
แต่เวลานี้ พวกมันได้แต่อิจฉาเลื่อมใสเท่านั้น ทุกคนยังเยาว์วัย แม้ว่าจะมีพรสวรรค์เด่นล้ำเป็นพิเศษ แต่มรรคาบำเพ็ญเพียรยังตื้นเขินนัก ในบรรดาซิวเจ่อทั้งหนึ่งร้อยคนในรอบสุดท้ายนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่บรรลุด่านหนิงม่ายขั้นกลาง และไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เป็นหนิงม่ายขั้นสุดท้าย ยิ่งด่านฝึกตนสูงขึ้น การรุดหน้าก็ยิ่งยากขึ้น คิดบรรลุด่านจินตันก่อนอายุห้าสิบปี นับว่ายากเย็นดุจปีนป่ายขึ้นสวรรค์
จั่วม่อก็ได้ยินวาจาของผู้ตัดสินเช่นกัน แต่สำหรับมันไม่ได้มีความนับถือชื่นชมเหมือนผู้อื่น มันเกือบจะเริ่มก่นด่าเสียด้วยซ้ำ! ผู้ตัดสินนี้จู่ๆ ก็กล่าวออกมาด้วยสุ้มเสียงเย็นชา โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า มันสะดุ้งผวาจนมือสั่น แทบทำให้ค่ายกลย่อยที่กำลังก่อตั้งต้องพังพินาศเสียแล้ว
โชคยังดีที่มันรีบปรับพลังปราณภายใน รักษาความมั่นคงไว้ได้ทันท่วงที
ทุกสิ่งทุกอย่างในค่ายกลตกอยู่ภายใต้จิตสำนึกของมัน ซิวเจ่อผู้นั้นถูกโจมตี จั่วม่อย่อมทราบกระจ่าง
ฮี่ฮี่ นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น!
แต่มือของมันไม่ได้ชะลอลงเลย มันไม่ได้อยู่ในจุดที่จะมัวมาคิดฟุ้งซ่านได้
ยังคงเหลืออีกหกค่ายกลย่อย ก็จะก่อตั้งค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์เจ็ดสิบสองค่ายกลย่อยเสร็จสมบูรณ์!
เมื่อเจ็ดสิบสองค่ายกลย่อยเสร็จสิ้น ไม่ใช่แค่เพียงค่ายกลจะมีพลังมากขึ้นหลายเท่าเท่านั้น แต่ยังมีอีกหนึ่งคุณลักษณะที่ทำให้มันสนใจมาก นั่นคือการควบคุมค่ายกลด้วยตัวเอง มันเคยควบคุมค่ายกลมาบ้าง แต่นั่นเป็นเพียงค่ายกลเรียบง่าย ไม่เคยควบคุมค่ายกลที่ใหญ่โตซับซ้อนถึงเพียงนี้มาก่อน ค่ายกลที่มีคนควบคุมคอยขับเคลื่อน กับค่ายกลที่ไม่มีคนควบคุม พลานุภาพแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ที่สำคัญคือ หากมันสามารถควบคุมค่ายกลใหญ่โตเช่นนี้ จะเป็นประสบการณ์ที่น่าหฤหรรษ์ถึงเพียงไหน!
ภายในค่ายกล ยอดฝีมือเหล่านี้ล้วนไม่ได้โง่งม แต่ละคนมีการคำนวณของตนเอง
ซู่ผนึกพลังปราณของนาง พลังสนามแม่เหล็กก่อตัวเป็นชั้นเปลือกแม่เหล็ก ห่อหุ้มรอบกายเพื่อปกป้องตัวนาง หลัวหลีเฝ้ารอเหยื่อของมันอีกครั้ง แม้ว่าเขตแดนสุญตาของมันจะถูกค่ายกลมหึมากดดันจนอาณาเขตเล็กลง แต่มันยังคงสงบนิ่งไม่ไหวติง ขณะที่ในใจครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เพื่อหาวิธีขยายเขตแดนสุญตาให้กว้างออกไปภายในค่ายกลนี้
หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีคู่นี้ใช้แผนตั้งรับและรอโอกาสตีโต้ คนหนึ่งเคลื่อนไหว อีกคนสงบนิ่ง
ซู่ในใจร้อนรนยิ่ง พุ่งทะยานไปในค่ายกลอย่างกระสับกระส่าย บุรุษโสโครกนั้นที่แท้ซ่อนตัวอยู่ที่ใด?
ส่วนฉางเหิงยังคงเดินทอดน่องผ่านค่ายกลอย่างอยากรู้อยากเห็น เช่นเดียวกันกับบุรุษหน้าเหลือง
กุ่ยฟงท่าร่างของมันยากติดตามที่สุด เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ ลี้ลับสุดคาดเดา
มีเพียงหนานเหมินหยางที่ยังคงกู่คำรามกึกก้อง กระบี่ยักษ์ฟาดฟันเร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆ จู่โจมใส่วงแหวนแสงเหล่านั้นอย่างไม่คิดรามือ ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้มัน ดูลักษณะอันดุร้าย รวมกับสีหน้าท่าทีบ้าคลั่งของมัน ไม่ว่าผู้ใดเผลอเข้าไปใกล้ เกรงว่าไม่แคล้วถูกกระบี่ยอดบุรุษของมันสับฟัน เช่นเดียวกันกับวงแหวนแสงเหล่านั้น
หวีป๋ายประหนึ่งสายลมดุดันกระโชกแรง ใบหน้าดำคล้ำ ไล่ล่าค้นหาหนานเหมินหยางไปทั่วค่ายกล
กล่าวไปก็แปลกประหลาดนัก ค่ายกลขบวนนี้กินพื้นที่เพียงสิบกว่าหมู่ แต่เหล่ายอดฝีมือที่ติดอยู่ในค่ายกลกลับต้องเผชิญกับดินแดนรกร้างกว้างใหญ่ พวกมันบางครั้งพบพานบุคคลอื่น แต่ส่วนใหญ่แล้วคล้ายติดอยู่ในค่ายกลเพียงผู้เดียวลำพัง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับซิวเจ่อที่โดดเดี่ยวเดียวดายเหล่านี้แล้ว เหล่าซิวเจ่อที่เผชิญหน้ากันภายในค่ายกล ระเบิดการต่อสู้อย่างดุเดือดน่าดูชมยิ่ง
กลางเวหา เหนือค่ายกลขบวนมหึมา ผู้ตัดสินสองคนสนทนาอย่างเฉื่อยชา บางครั้งคราวก็เหลือบตามองลงไปยังค่ายกล ผู้หนึ่งสวมใส่ชุดนักพรตสีเขียว บนศีรษะโพกผ้า มันเรียกว่าอู่หลิงซ่านเหริน อีกผู้หนึ่งโอ่อ่าน่าเกรงขาม สวมใส่เกราะปราณ นามของมันคือเว่ยเฟย หนึ่งในยอดฝีมือที่รู้จักกันดีในอาณาจักรนภาจันทร์
(อู่หลิงซ่านเหริน – นักพรตห้าเนินเขา เว่ยเฟย – เหินบินแซ่เว่ย)
“จั่วม่อผู้นี้ถูกกับรสนิยมข้าเสียจริง สิ่งที่มันวางแผนไว้เป็นเจ็ดสิบสองค่ายกลย่อย ประเสริฐ ใจเด็ดไม่เบา” อู่หลิงซ่านเหรินกล่าวพลางหัวร่อ “วิธีก่อตั้งค่ายกลแม้ยังหยาบอยู่มาก แต่สำหรับเด็กน้อยด่านจู้จี มีความสำเร็จถึงขั้นนี้ ข้าอดชื่นชมไม่ได้จริงๆ”
“ฮ่าฮ่า!” ได้ยินเช่นนี้ เว่ยเฟยกล่าวกระเซ้าเย้าแหย่ “น่าเสียดายที่เผยเหยียนหรานกับพวกจะไม่ยอมยกศิษย์ผู้นี้ให้แก่เจ้า อ๊า น่าเสียดายจริงๆ หากมันสามารถติดตามร่ำเรียนวิชาจากเจ้าสักสองปีสามปี ทางด้านวิชาค่ายกล เกรงว่าไม่มีผู้ใดในศิษย์รุ่นหลัง สามารถประชันขันแข่งกับมันได้”
อู่หลิงซ่านเหรินผู้นี้เป็นหนึ่งในเซียนกระบี่ที่หาได้ยาก เพราะมันเป็นเซียนกระบี่ที่มีฝีมือทางค่ายกล นี่เป็นเหตุผลที่เว่ยเฟยเย้าแหย่มันเช่นนี้
อู่หลิงซ่านเหรินสั่นศีรษะ “ศิษย์ยอดอัจฉริยะเช่นนี้ ทางสำนักของมันมีหรือจะไม่ประคบประหงมมันเฉกเช่นสมบัติ?” ระหว่างถ้อยวาจา แฝงเร้นความเศร้าสลดอย่างลึกล้ำ มันปรารถนารับศิษย์ที่เหมาะสมมานานแล้ว แต่ไม่เคยพบพานคนที่ต้องตาแม้แต่ครั้งเดียว เหล่าศิษย์ที่มันรับไว้ในตอนนี้ พวกมันทุ่มเทฝึกปรือกระบี่อย่างหนักหน่วง ทว่าไม่มีผู้ใดสนใจวิชาค่ายกล อู่หลิงซ่านเหรินภาคภูมิใจในทักษะวิชาค่ายกลของมันที่สุด แต่เวลานี้กลับไม่มีผู้สืบทอด จะไม่ให้มันวิตกกังวลได้อย่างไร?
หากสำนักกระบี่สุญตายินยอมให้จั่วม่อเข้าสู่สำนักของมันจริงๆ อู่หลิงซ่านเหรินเต็มใจจ่ายราคาด้วยสิ่งใดก็ได้ แต่มันก็ทราบดีว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ แม้แต่สำนักทั่วไปยังไม่เห็นพ้อง อย่าว่าแต่สำนักกระบี่สุญตาที่มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูความรุ่งโรจน์ในอดีต!
กระบี่มังกรน้ำแข็งอาจไม่เป็นที่รู้จักนักในหมู่ซิวเจ่อสามัญในอาณาจักรนภาจันทร์ แต่สำหรับชนชั้นจินตันเช่นมัน ชื่อเสียงของกระบี่มังกรน้ำแข็งกึกก้องกังวานอย่างชัดเจน
“ฮ่าฮ่า ซ่านเหรินไม่ต้องกังวลไป จั่วม่อผู้นี้ย่อมไม่เข้าสู่สำนักอื่น แต่เกรงว่าตลอดทั้งสำนักกระบี่สุญตา ไม่ว่าเบื้องสูงเบื้องต่ำ จะต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากับมันอย่างแน่นอน!”
ถ้อยคำของเว่ยเฟยนี้ช่างแม่นยำดุจตาเห็น!
เผยเหยียนหรานรู้สึกปวดศีรษะอย่างหนักหน่วง ยามนี้สถานการณ์มาถึงขั้นนี้ มันไม่ได้คิดถึงเรื่องพ่ายแพ้หรือชัยชนะอีก ในความเห็นของมัน ผลแพ้ชนะไม่ได้สำคัญอันใดอีกแล้ว แต่ปัญหาหลักคือมันจะฝึกอบรมจั่วม่ออย่างไร?
หลังจากศึกคราวนี้ ชื่อเสียงของจั่วม่อในด้านค่ายกลจะสูงล้ำเทียมฟ้าอย่างไม่ต้องสงสัย
ในสายตาของพวกมัน จั่วม่อเดิมทีก็เป็นเด็กเจ้าปัญหา ยากที่จะรับมืออยู่แล้ว
แต่เวลานี้ ลูกศิษย์เจ้าปัญหานี้กำลังจะกลายเป็นมีชื่อเสียงโด่งดัง! พอนึกถึงว่าสำนักจะมีศิษย์ยอดอัจฉริยะที่ทั้งมีชื่อเสียง ทั้งร่ำรวยจิงสือ ทั้งยังมากปัญหา เผยเหยียนหรานรู้สึกราวกับว่ามันเป็นหนูที่กำลังลากเต่า ไม่ทราบว่าจะกระทำเช่นไรดี!
มันยังไม่ล่วงรู้ว่าจั่วม่อเวลานี้กลับมายากจนข้นแค้นอีกแล้ว จั่วม่อในคราวก่อนชนะพนันครั้งใหญ่ ทำกำไรจิงสือจำนวนมหาศาล แต่กระทั่งเจ้าสำนักเช่นเผยเหยียนหรานยังไม่เคยคาดฝัน ว่าจั่วม่อจะเสียสติใช้จ่ายจิงสือหมดสิ้นในรวดเดียว!
จั่วม่อหัวใจกระดอนขึ้น ขบวนค่ายกลตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล มันนึกไม่ถึงว่าหนานเหมินหยางจะคลุ้มคลั่งถึงเพียงนี้ หนึ่งกระบี่ฟาดฟัน ตามด้วยอีกหนึ่งกระบี่ในทันที ฟาดฟันออกมาไม่หยุดยั้ง ทุกกระบี่ยิ่งทวีความดุร้ายรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ
เกอเคยมีความแค้นกับเจ้าหรือไร?
จั่วม่อเดือดดาลเป็นที่สุด หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์จะถูกทำลายอย่างรวดเร็ว ภายใต้เรี่ยวแรงดุร้ายอันบ้าคลั่งของเจ้าคนป่าเถื่อนผู้นี้!
มันทราบดีว่าไม่อาจเอาแต่ก่อตั้งค่ายกลย่อยได้อีกต่อไป หากค่ายกลใหญ่พังทลาย ก่อตั้งค่ายกลย่อยต่อไปยังจะมีความหมายใด
ภายในค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ หนานเหมินหยางคล้ายยิ่งฟาดฟัน ยิ่งเมามัน ลืมตัวลืมตนไปแล้วจริงๆ! อึดใจเดียวฟาดฟันเจ็ดแปดกระบี่ติดต่อกัน แต่ดูคล้ายไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อค่ายกล
ความคิดของมันเรียบง่ายเป็นที่สุด หากมันยังไม่สามารถทำลายเจ้าสิ่งนี้ได้ นั่นก็เป็นเพราะว่ามันยังไม่ได้ใช้กำลังมากพอ
หนานเหมินหยางบ้าคลั่งไปอย่างสมบูรณ์!
แสงสีทองบนร่างมันสว่างวาบ ภายใต้แสงสีทองเข้มหนา แม้แต่กระบี่เล่มยักษ์ยังคล้ายถูกห่อหุ้มไว้ด้วยชั้นทองคำที่มีอยู่จริง ผมเผ้าของมันตั้งชัน ดูไม่ผิดอันใดกับราชสีห์พิโรธตัวหนึ่ง
ดวงตาของมันกลายเป็นสีทอง จ้องเขม็งไปยังกลุ่มวงแหวนแสงเหนือท้องฟ้า
คล้ายรู้สึกได้ถึงอันตรายจากหนานเหมินหยาง วงแหวนแสงที่เดิมว่ายเวียนอย่างอิสระเสรี พลันเริ่มมารวมตัวกันรอบๆ ตำแหน่งของหนานเหมินหยาง
พลังสภาวะที่หนานเหมินหยางปลดปล่อยออกมาเข้มแข็งแกร่งกร้าวเกินไป ไม่ต่างอันใดกับดวงอาทิตย์กลางราตรี
หวีป๋ายพอพบเห็นแสงสว่างนั้น ใบหน้ายิ่งเขียวคล้ำกว่าเดิม ดวงตาคู่นั้นสาดประกายด้วยแสงเย็นเยียบ มันบิดกายอย่างไม่ลังเล เปลี่ยนทิศทาง บินตรงไปยังทิศทางของหนานเหมินหยาง!
สัมผัสถึงความคิดต่อสู้กับพลังสภาวะอันแกร่งกร้าวจากหนานเหมินหยาง ทุกผู้คนล้วนทราบว่ากระบี่ต่อไปของมัน จะต้องสะท้านฟ้าสะเทือนดินอย่างแน่นอน!
“โอ้ จะทำลายค่ายกลแล้วหรือ?” จงหมิงเอี้ยนชักเบื่อที่จะคิด มันตวัดกิ่งเหมยในมือ บางทีมันสมควรเสาะหาคู่มือสักคนจะดีกว่า
สมควรหาผู้ใด? ฉางเหิงผู้นั้นดูท่าแข็งแกร่งไม่เลว...
ไม่ใช่แค่จงหมิงเอี้ยนที่มีความคิดเช่นนี้ พลังสภาวะของหนานเหมินหยางคราวนี้น่าอัศจรรย์ใจอย่างแท้จริง กระทั่งบุคคลเอื่อยเฉื่อยอย่างฉางเหิงยังอดหวั่นไหวใจไม่ได้
ซู่สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง
จบสิ้นแล้ว!
กระบี่ถัดไปของหนานเหมินหยาง กระทั่งนางยังไม่กล้าเผชิญตรงๆ!
ไม่ใช่แค่นาง แต่ซิวเจ่อทุกคนที่อยู่ภายในค่ายกล เกรงว่าไม่มีผู้ใดกล้าอยู่ต่อหน้ากระบี่นี้ของหนานเหมินหยาง!
แต่หากจั่วม่อพ่ายแพ้ แล้วกระบี่บินของนางเล่า...
ค่ายกลกำลังจะถูกทลาย...
ในใจนางเต็มไปด้วยความอับจนหนทาง!
ในเวลานี้เอง เหตุเปลี่ยนแปลงพลันอุบัติขึ้นอย่างกะทันหัน
โฮ่ว!
เสียงคำรามอันดุดันที่สามารถประชันกับหนานเหมินหยาง ทันใดนั้นดังกึกก้องไปทั้งค่ายกล มนุษย์ทองคำร่างมหึมาผู้มีรูปโฉมพร่าเลือน พุ่งลงมาจากฟ้า ทิ้งกายลงอย่างหนักหน่วงเบื้องหน้าหนานเหมินหยาง
ทหารยันต์!
หนานเหมินหยางช้อนตาสีทองขึ้นมอง แสยะยิ้ม ดุร้ายหมายขวัญอย่างบอกไม่ถูก! มันคลุ้มคลั่งบ้าระห่ำอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าผู้ใดอาจหาญปรากฏกายขึ้นด้านหน้ามัน จะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ในบัดดล!
“ตาย!”
ภายใต้เสียงคำรามสนั่นไหว หนานเหมินหยางดวงตาพิโรธถลึงกว้าง แสงสีทองทั้งร่างเจิดจ้าขึ้นเป็นลำดับ กุมกระบี่ยักษ์ด้วยสองมือ ตวัดฟันใส่ทหารยันต์อย่างดุดัน!
ทหารยันต์รู้สึกถึงเจตนาต่อสู้และการคุกคามรุนแรงจากหนานเหมินหยาง บนใบหน้าอันพร่าเลือน เผยดวงตาสาดประกายคู่หนึ่ง
เป็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความไม่แยแสและแรงกดดันคู่หนึ่ง!
บนเกราะของทหารยันต์ เห็นลวดลายอักขระยันต์คล้ายไส้เดือนนับไม่ถ้วนสว่างวาบ ขาซ้ายหยาบหนาสืบเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กระทืบลงอย่างหนักหน่วง พื้นดินสะเทือนเลื่อนลั่น ขาขวากวาดมาข้างหลังโดยไร้สุ้มเสียง บิดเอว หมัดซ้ายยกตั้งขวางกลางอก ขณะที่หมัดขวาง้างไปด้านหลัง ประหนึ่งลูกธนูขึ้นสาย พร้อมจะยิงออกไปได้ทุกขณะจิต เผชิญหน้ากับปราณกระบี่สีทอง มันปลดปล่อยสภาวะหมัดออกมารวดเดียว
“เกิดมาเพื่อต่อสู้!”
สุ้มเสียงลึกซึ้งทรงอำนาจตวาดก้อง ประหนึ่งสายฟ้าคำรนผ่านหมู่เมฆ
หมัดแสงสีทองที่แข็งราวกับมีตัวตนต่อยออกไป ราวกับค้อนยักษ์อันหนักหน่วง ต่อยใส่กระบี่ยักษ์อย่างหักโหม!
ปราณกระบี่ทองคำปะทะหมัดแสงทองคำ!