บทที่ 93 เฝิงซิ่งไท่จะเปิดบริษัทอีกครั้ง (อ่านฟรี)
สามวันต่อมา เฝิงซิ่งไท่ถูกหลี่ซื่อเฉียงดึงตัวออกมาจากโรงงานแปรรูปอาหาร พาขึ้นไปนั่งบนรถ แล้วเดินทางไปเมืองปิง
"เจ้าลูกคนนี้ไปสร้างปัญหาอะไรที่โรงเรียนอีกแล้วใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นจะพาฉันมาทำไม? "
คำพูดแรกที่เฝิงซิ่งไท่พูดออกมาเมื่อเห็นหน้าลูกชายของตัวเอง คือ การตั้งคำถาม ซึ่งเป็นคำถามที่ทำให้เฝิงหยู่รู้สึกเจ็บปวด
"พ่อครับ พ่อพูดอะไรออกมา ลูกของพ่อเป็นเด็กดีจะตาย ผมเคยทำอะไรที่ไม่ดีเหรอครับ? วันนี้มีข่าวดีต่างหาก เป็นข่าวที่ดีมาก"
"มีอะไรก็รีบพูด พ่อยุ่งมาก เมื่อวานเราเพิ่งได้ถั่วเหลืองมาสิบกว่าตัน ยุ่งจนหัวปั่นทั้งวัน วิศวกรสามคนจากโซเวียตไปไหนซะแล้ว ถ้าใช้งานเสร็จเเล้ว ช่วยส่งพวกเขากลับมาช่วยที่โรงงานด้วย พอไม่มีพวกเขามาคอยคุมอยู่ด้วย ความเร็วในการผลิตลดลงกว่า 10% "
เฝิงหยู่ถลึงตาโตจ้องมองพ่อของเขา พ่อคิดจริงๆหรือผู้เชี่ยวชาญจากโซเวียตเหล่านั้นถูกจ้างมาดูแลโรงงานแปรรูปอาหารขนาดเล็กแห่งนี้?
"พ่อครับ เรื่องนี้ไม่สำคัญครับ สิ่งสำคัญตอนนี้ คือ พ่อกำลังจะก่อตั้งบริษัทใหม่! "
เฝิงหยู่กำลังรอคำชมจากพ่อ แต่เขากลับถูกตบเข้าหลังศีรษะ
"แค่ที่โรงงานพ่อก็เหนื่อยจนหัวหมุนแล้ว แล้วนี่พ่อกำลังตั้งบริษัทอื่นอีกหรือ? อยากจะให้พ่อทำงานจนเหนื่อยตายหรือไง? "
เฝิงหยู่ลูบศีรษะด้านหลังของเขา กล่าวด้วยใบหน้าโอดครวญ "พ่อครับ บริษัทการค้าไท่หัวพ่อเคยมาดูแลสักครั้งเหรอครับ? พ่อพูดไม่ถูกนะ ผมอยากจะให้พ่อทำงานจนเหนื่อยตายตรงไหน? ผมก็บอกให้พ่อปล่อยให้คนอื่นๆมาดูแลจัดการโรงงานแปรรูป แต่พ่อเองไม่ใช่เหรอที่ยืนยันว่าจะการจัดการด้วยตัวเอง "
"ก็ใช่ บอกมาสิ ว่าทำไมต้องตั้งบริษัทอื่นอีก บริษัทนี้จะทำอะไร? " เฝิงซิ่งไท่หัวเราะ พร้อมลูบหลังศีรษะของลูกชาย
"พ่อรู้จักโรงงานเครื่องจักรกลของปิงใช่ไหมครับ? เครื่องไถนา เครื่องหว่านเมล็ดที่ชุมชนของเราใช้ๆกันอยู่ ล้วนถูกผลิตโดยโรงงานแห่งนี้ "
"ลูกอยากจะตั้งโรงงานเครื่องจักรเหรอ?"
"เปล่าครับ แต่ผมอยากซื้อหุ้นของโรงงานเครื่องจักรกล พรุ่งนี้พ่อไปเซ็นสัญญาพร้อมกับผมนะครับ หลังจากนั้น พ่อก็จะได้เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของโรงงานเครื่องจักรกลแห่งเมืองปิง ต่อไปภายหน้าพ่อจะจะได้ส่วนแบ่ง10 เปอร์เซนต์จากรายได้ที่โรงงานได้รับ "
"อะไรนะ? ซื้อหุ้นในโรงงานเครื่องจักรกล? เป็นเงินเท่าไร? ถ้าลูกมีเงินขนาดนั้นทำไมไม่ซื้อเครื่องจักรมาผลิตน้ำมันถั่วเหลืองเพิ่ม? น้ำมันถั่วเหลืองทำกำไรได้มากโขอยู่นะ "
"พ่อครับ ผมจ่ายเงินไปแล้ว"
เพี๊ยะ!
"เจ้าลูกไม่รักดี! ใครใช้ให้แกตัดสินใจอย่างนี้? "
เฝิงหยู่ก้าวถอยหลังจนถึงระยะที่เขารู้สึกปลอดภัย แล้วอธิบายอย่างพยายามว่า "พ่อครับ เงินลงทุนนี้สร้างรายได้ได้แน่นอน ผมใช้ข้อมูลเทคโนโลยีเพื่อแลกกับหุ้น ซึ่งเป็นข้อมูลทางเทคนิคของสหภาพโซเวียต พ่อลองคิดดูสิครับ ข้อมูลเทคโนโลยีเหล่านี้พวกเราใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง? หรือพ่ออยากจะตั้งโรงงานเครื่องจักรเอง? เดิมที ผมต้องการขายข้อมูลนี้ให้พวกเขา แต่พวกเขาไม่มีเงินซื้อ พวกเขาจึงใช้หุ้นเพื่อแลกข้อมูลเทคโนโลยี ถ้าพ่อไม่เซ็นสัญญา เงินจำนวนนี้ก็สูญเปล่า"
เมื่อเฝิงซิ่งไท่ได้ยินว่าเงินจะสูญเปล่าถ้าเขาไม่เซ็นสัญญา เขาก็จ้องเขม็งเฝิงหยู่: "นี่เป็นครั้งสุดท้ายนะ ถ้าแกทำอย่างนี้อีก ฉันจะตีแกให้ตาย! เสี่ยวหลี่ เธอต้องช่วยจับดูเจ้าลูกคนนี้หน่อย ให้แน่ใจว่าไปโรงเรียน รายได้ที่เรามีใช้ไม่พอหรือไง? วันวันคิดแต่จะหาเงิน เงิน เงิน พ่อเห็นมานักต่อนัก กับคนที่ตกเป็นทาสของเงิน! "
หลี่ซื่อเฉียงปิดปากปากหัวเราะคิกคักเบาๆ เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า "ลุงเฝิงครับ คะแนนสอบกลางภาคครั้งที่แล้วเสี่ยวหยู่ได้คะแนนดีมาก ผมติดตามเรื่องการเรียนของเขาอย่างใกล้ชิด. "
"ผมทำอะไรผิด ผมก็แค่แค่อยากหารายได้มากขึ้น ?" เฝิงหยู่บ่นพึมพำกับตัวเอง
"เมื่อกี้ลูกว่าอะไรนะ? พูดออกมาดังๆสิ! "
“เปล่านี่ครับ พ่อครับ พ่อไม่ต้องกังวลหรอก ผมสาบานเลยว่าจะไม่ขอให้พ่อตั้งบริษัทอีกแล้ว!” เฝิงหยู่กล่าว แล้วคิดในใจว่า รอปีหน้าให้ผมได้บัตรประจำตัวประชาชนก่อนเถอะ ผมจะตั้งบริษัทของตัวเอง!
"เออ มันต้องอย่างนี้ ลูกต้องตั้งใจเรียน จะได้เข้ามหาวิทยาลัยดีดี นี่สิถึงจะเรียกว่ายอดเยี่ยม ถ้ามีแค่เงินจะเอาไปทำอะไรได้ ชาวบ้านชาวช่องจะหาว่าลูกเป็นคนบ้านนอก" เฝิงซิ่งไท่พึงพอใจมากที่เฝิงหยู่เปลี่ยนทัศนคติใหม่
หลังจากนั้น เฝิงซิ่งไท่เริ่มพูดถึงโรงงานแปรรูปอาหารซึ่งได้ผลตอบรับดีจากผู้บริโภค เจ้าหน้าที่ฟาร์มได้ให้สัญญาว่าจะให้รางวัลแก่เขาตอนสิ้นปีนี้ ที่สำคัญ พวกเขาจะได้ออกทีวีในสถานีโทรทัศน์ประจำชุมชน
เฝิงหยู่ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วร้องอุทานบ่อยครั้งว่า "ว้าววว!" "จริงเหรอครับ?", "โอ้โห!" เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขากำลังฟังอยู่ ทำให้ใบหน้าของเฝิงซิ่งไท่เบิกบานเริงร่า
"อ้อ ว่าแต่เจ้าหนูตงจุนไปไหนละ?"
หัวใจของเฝิงหยู่ตกลงไปถึงตาตุ่ม ฉิบหาย ความแตกแล้ว
พลัน หลี่ซื่อเฉียงตอบขึ้นมาทันควันว่า "ไปโรงเรียนครับ"
เฝิงหยู่รู้สึกได้ถึงจิตสังหาร เขาหดหัวไปด้านหลัง เพื่อหลบฝ่ามือพิฆาตที่หมายเอาชีวิต
"ไอ้ลูกไม่รักดี! นี่แกโดดเรียนอีกแล้ว! อย่าหนีนะ ฉันจะตีแกให้ตาย! เสี่ยวหลี่ จับตัวเอาไว้! "
……
หลังจากที่ถูกพ่อของเขาลงโทษ เฝิงหยู่ล้มตัวเอาหน้าลงบนโซฟาอย่างหดหู่: "พ่อครับ พรุ่งนี้ตอนบ่ายผมยังต้องไปเรียน พ่อตีจนตูดระบมแล้วผมจะนั่งบนเก้าอี้ได้ยังไง? "
"ช่วงบ่ายอะไรกัน? ไปเรียนตอนกลางวัน ไม่สิ กลับไปเรียนตอนเช้าเลยยิ่งดี! "
"แต่ช่วงเช้าเราต้องไปเซ็นสัญญากับโรงงานเครื่องจักรกล"
"พ่อจะไปเซ็นสัญญากับเสี่ยวหลี่เอง ลูกไม่จำเป็นต้องไปก็ได้! "
"พ่อครับ พ่อรู้ไหมว่าในสัญญามีเล่ห์กลมากแค่ไหน? พ่อมีความรู้เรื่องนี้ไหมละครับ? นอกจากนี้ เอกสารเกี่ยวกับข้อมูลเทคโนโลยีก็อยู่กับผม หากผมไม่ไปด้วยอีกฝ่ายคงไม่ยอมเซ็นสัญญา วางใจเถอะครับ นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ต่อไปผมจะไม่โดดเรียนอีกแล้ว " แต่ในใจของเฝิงหยู่ต่อท้ายอีกประโยคหนึ่ง 'ผมจะไม่โดดเรียนให้พ่อจับได้อีกแล้ว'
วันถัดมา ตอนเช้าเวลา10โมง พวกของเฝิงหยู่ขับรถไปที่รัฐบาลเมือง เดิมทีจางรุ่ยเฉียงไม่รุ้้ว่าต้องพูดเช่นไรให้หัวหน้าของเขาเห็นพ้อง แต่ภายในสามวันก็ตอบตกลงกับการปรับโครงสร้างโรงงานเครื่องจักรกล เมื่อเป็นเช่นนั้น ในภายหน้าโรงงานเครื่องจักรกลแห่งเมืองปิงจะเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทเครื่องจักรแห่งเมืองปิง จำกัด แน่นอนว่าโรงงานยังคงผลิตเครื่องจักรทางการเกษตร
เฝิงซิ่งไท่นั่งอยู่กลางห้องประชุม เขารู้สึกอึดอัดมากราวกับมีหนามแหลมทิ่มตูด ทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาล้วนเป็นระดับผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ตำแหน่งใหญ่โต ทั้งยังมีผู้จัดการแห่งโรงงานเครื่องจักรกล เลขานุการ รวมถึงหัวหน้ากรมการเกษตร และคนที่ตำแหน่งใหญ่ที่สุด คือ รองนายกเทศมนตรี!
นั่นคือรองนายกเทศมนตรีของเมืองเชียวนะ มีตำแหน่งที่สูงกว่าเจ้าหน้าที่ของกรมการเกษตร เขายังได้จับมือเช็คแฮนด์กับรองนายกเทศมนตรีด้วย ฝ่ามือของเขายังมีเหงื่อท่วมอยู่จนถึงตอนนี้
เฝิงหยู่อ่านสัญญาฉบับนี้อย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วใช้ปากกาขีดเขียนเปลี่ยนเงื่อนไขสัญญาบางข้อ จากนั้นก็ส่งให้จางรุ่ยเฉียง แล้วกล่าวว่า "ข้อบัญญัติเหล่านี้ต้องเปลี่ยนแปลง ข้อบัญญัติเผด็จการ เราไม่อาจยอมรับได้ "
"มีปัญหาอะไร? ใครที่ถือหุ้นมากกว่า คำพูดของใครคนนั้นถือเป็นคำตัดสิน "
"มันก็จริงครับ แต่คุณไม่สามารถกีดกันเราด้านสิทธิในการแสดงความคิดเห็น อีกอย่าง ทางฝ่ายเราต้องมีสิทธิ์ตรวจสอบการเงิน รวมถึงจำนวนเงินที่มากกว่า10,000หยวน ถ้าไม่ได้ลายเซ็นอนุมัติจากทางเรา ก็จะดึงเงินส่วนนั้นออกมาใช้ไม่ได้ ที่ไหนๆก็ทำกันเช่นนี้ อ้อ ยังมีอีกข้อครับ ไม่ว่าทางเราจะมีเปอร์เซ็นต์ถือหุ้นเท่าไหร่ ทางเราก็จะมีอำนาจในการตัดสินใจเหมือนๆกัน อีกข้อหนึ่ง การมีกรรมการผู้จัดการเพียงคนเดียวทางเราสามารถยอมรับได้ แต่ถ้ามีข้อเสนอใดๆที่เกี่ยวข้องกับเงินเกินหนึ่งล้านหยวน ทางเรามีสิทธิ์ลงคะแนนคัดค้าน! "
"ฝ่ายการเงินยังต้องขออนุมัติจากพวกคุณ นี่มันยุ่งยากจริงๆ แล้วทำไมผู้ถือหุ้นต้องมีอำนาจเท่าเทียมกันด้วย? พวกคุณลงทุนน้อยกว่า อำนาจในการตัดสินใจก็ต้องน้อยลงด้วย สิทธิ์ในการคัดค้านคำตัดสินใจหรอ ช่างน่าขัน ไม่เคยได้ยินมาก่อน! " หลี่หมิงเต๋อพูดโต้แย้งเสียงดัง
"การเงินของบริษัทต้องได้รับการตรวจสอบจากผู้ถือหุ้นทั้งหมด แต่นั่นเป็นเพียงพิธีการ ทุกบริษัททำตามระบบนี้ ถ้าหากเพิ่มเงินทุน ก็ต้องเพิ่มหุ้นส่วนให้ตามความเหมาะสม ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ ส่วนประโยคสุดท้ายสำคัญที่สุด สมมุติว่าถ้าทุกท่านยินยอมที่จะบริจาคเงินจำนวน 10 ล้านหยวนให้กับรัฐบาลเมือง แล้วผมต้องตกลงเหมือนคนอื่นๆเหรอครับ? " เฝิงหยู่กล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะหยัน
ในสัญญาฉบับนี้ยังมีปัญหาที่เฝิงหยู่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง นี่ถือว่าให้เกียติรัฐบาลเมืองแล้วนะ ถ้าหากรัฐบาลเมืองไม่เห็นด้วยกับ 3ข้อเสนอของเขา เขาจะไม่ยอมให้พ่อเซ็นสัญญาเป็นอันขาด!