ตอนที่ 340 แผนสำหรับอนาคต
ตอนที่ 340 แผนสำหรับอนาคต
หลังจากหลับไปพักใหญ่ๆ เฮลิคอปเตอร์ที่รับพวกเขาก็ลงจอดที่ดาดฟ้าของโรงพยาบาลหนิงไห่ เพื่อส่งเฉินเหว่ยเหลียงเข้ารักษาตัว
“นี่ผมหลับไปนานแค่ไหนกัน …?” ฉินฟางที่ยังงัวเงียเอ่ยปากถามขึ้น
“ราวๆหกชั่วโมงได้ พวกเรามาถึงเมืองหนิงไห่แล้วไอ้หนู ….” เฉินเหว่ยเหลียงตอบฉินฟางด้วยรอยยิ้มระหว่างที่เขากำลังรอเตียงพยาบาลมารับ “นายหลับไปนานเลยเชียวแหละ หลับไม่รู้สึกตัวจนเรามาถึง …”
ฉินฟางพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ก็แอบตกใจเล็กๆ ปกติเขาไม่ใช่คนที่จะหลับได้นานขนาดนั้นหากไม่ได้อยู่บนที่นอน เขาหลับโดยไม่รู้สึกตัวจริงๆ กรณีนี้จะเกิดขึ้นแค่เฉพาะเวลาที่เขารู้สึกเหนื่อยมากๆและไม่ได้พักผ่อนเท่านั้น
“ถึงบ้านซะทีสินะ !!!....” ฉินฟางบิดขี้เกียจด้วยรอยยิ้มเช่นกัน ระหว่างนั้นเตียงพยาบาลพร้อมๆกับคนสามคนก็เข้ามาที่ดาดฟ้า พวกเขาสองคนค่อยๆประคองเฉินเหว่ยเหลียงขึ้นเตียง ในขณะที่อีกคนหนึ่งเขามาตรวจเช็คและสอบถามอาการของฉินฟาง ซึ่งเมื่อพบว่าเขาปกตินั้น เขาก็ได้เชิญฉินฟางให้เดินตามไปเพื่อทำแผลบางจุดที่ฉินฟางมีภายนอก ซึ่งพวกเขาต้องไปคนละทาง เพราะเฉินเหว่ยเหลียงต้องไปแผนกฉุกเฉินทันที
“นี่ไอ้หนู…. ฉันขอบคุณนะ …. ขอบคุณที่พาฉันมากลับมาถึงบ้าน” เฉินเหว่ยเหลียงเอ่ยปากบอกฉินฟางก่อนที่พวกเขาจะแยกทางกัน ซึ่งฉินฟางนั้นพยักหน้าและก้มหัวให้ด้วยความเคารพ
ฉินฟางไม่ได้กล่าวคำลาใดๆ เพราะเขาเชื่อว่าอีกไม่นานเขาจะต้องพบกับเฉินเหว่ยเหลียงอีกครั้งอย่างแน่นอน ฉะนั้นคำลาจึงไม่จำเป็น การเตรียมพร้อมต่างหากที่จำเป็น เตรียมพร้อมสำหรับการลงไปสำรวจที่บ้าๆนั่นในคราวต่อไป …
……………………………………………………………………………………….
หลังจากทำแผลเสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง ก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขาที่เตียงพยาบาล เป็นคนของทางสำนักที่เจ้าสำนักข่ายพิงหยวนส่งมา
“ผมได้รับคำสั่งจากท่านเจ้าสำนักว่าถ้าคุณทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้นำตัวคุณไปพบทันที รถได้จอดรออยู่ที่อาคารจอดรถไม่ไกลจากที่แล้วครับ เชิญทางนี้ …” ชายคนที่เดินเข้ามาหาฉินฟางบอกเขาทันทีที่เดินมาถึง
“เฮ้อ …” ฉินฟางถอนหายใจก่อนที่จะเดินตามชายคนนี้ไปในทันที จากโรงพยาบาลมุ่งหน้าไปยังสำนักนั้นไม่ไกลมากนัก มันใช้เวลาราวสิบห้านาที ก่อนที่รถจะเข้ามาจอดที่สำนัก
ฉินฟางค่อยๆลงจากรถ และมุ่งหน้าตรงเข้าไปยังสำนักทันที ในตอนนี้เป็นเวลาราวบ่ายโมง หลังจากได้นอนไปเพียงหกชั่วโมงบนเฮลิคอปเตอร์ หลังจากผ่านศึกหนักมานั้น เขารู้สึกเพลีย และต้องการพักผ่อนอย่างมาก แต่ชายแก่คนนี้กลับเรียกเขาเข้าพบแทบจะทันที ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พักผ่อนแม้แต่นิดเดียว มันทำให้เขารู้สึกอารมณ์เสียเล็กๆ แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้
เขาเดินผ่านทางเข้าสำนักมุ่งตรงไปหาข่ายพิงหยวนที่ส่วนในสุดทันที เมื่อเขาไปถึงนั้นก็พบกับชายแก่ที่นั่งชมธรรมขาติ และจิบชาอยู่ ท่าทางของเขาดูสบายใจอย่างมาก สบายใจจนฉินฟางนั้นอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้
“คุณมีอะไรก็รีบพูดมาผมเหนื่อยมากๆ อยากพักผ่อน ?” ฉินฟางพูดขึ้นเขาแทบจะเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่
“มาๆนั่งก่อน เรื่องสำรวจสุสานเป็นยังไงบ้างละ ?...” ข่ายพิงหยวนถาม และเชิญฉินฟางนั่งด้วยรอยยิ้ม อย่างไม่รู้ทุกข์รู้ร้อน ราวกับว่าเขาไม่ได้สังเกตอารมณ์ของฉินฟาง
“เฮ้อ !!!!” ฉินฟางนั้นอยากจะโวยวาย แต่เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องเก็บอารมณ์ “แทบตาย… ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างยากลำบากมากๆ พวกเราสองคนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด แค่ภูติผีสองตนที่เฝ้าหน้าถ้ำนั่นก็แทบตายแล้ว ….” ฉินฟางเล่า
ข่ายพิงหยวนนั้นทำเพียงพยักหน้าให้กับฉินฟาง “แล้วเธอได้ประโยชน์มากมายขนาดไหนกัน จากการสำรวจเพียงแค่วันเดียว ?” เขาถามพร้อมทั้งมองมายังฉินฟางด้วยสายตาที่คมกริบ
คำถามนี้พร้อมทั้งท่าทางของข่ายพิงหยวนที่ดูจะพยายามตรวจสอบหลายๆอย่างในตัวเขานั้นทำให้ฉินฟางถึงกับชะงักจากอาการไม่พอใจไป
ซึ่งเมื่อเห็นฉินฟางชะงักและลดท่าทีอารมณ์เสียลงนั้น ข่ายพิงหยวนก็ยิ้ม “ถ้าเธออยากจะแข็งแกร่งเธอก็ต้องเสี่ยงนะพ่อหนุ่ม คนที่จะแข็งแกร่งที่สุดคือคนที่พยายามมากที่สุด และคนที่จะแข็งแกร่งย่อมต้องเคยสัมผัสกับสถานการณ์ที่สิ้นหวัง และเฉียดเข้าใกล้กับความตาย … ถ้าเธอไม่เคยสัมผัสกับเรื่องพวกนี้ เธอจะไม่มีวันเข้าใจว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงนั้นคืออะไร…”
“ฉันเข้าใจว่าเธออาจจะโกรธฉัน และฉันว่าคงไม่ใช่แค่เธอหรอก เฉินเหว่ยเหลียงก็คงไม่ต่างกัน ซึ่งฉันยอมรับได้ แต่สิ่งที่ฉันอยากจะบอกคือฉันหวังดีกับพวกเธอทั้งสองคน การที่ฉันส่งพวกเธอไปก็เพื่อหวังที่จะได้เห็นการพัฒนาตัวเองของพวกเธอ และฉันก็ได้เห็นสิ่งนั้นแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ฉันพึงพอใจมากที่สุด… และถ้าเป็นไปได้หลังจากหายดี ฉันอยากให้พวกเธอกลับเข้าไปในสุสานนั่นอีกครั้ง” ข่ายพิงหยวนพูดด้วยรอยยิ้ม และน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่เอ่อล้นออกมาจากตัวฉินฟาง ซึ่งมันเพิ่มขึ้นอย่างมาก อย่างน้อยก็เท่าตัวหนึ่ง เขารู้ได้เลยว่าตอนนี้แม้กระทั่งข่าย ชิงเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา ด้วยอายุเท่านี้กับมาถึงระดับนี้ได้ ชายหนุ่มตรงหน้ามีพรสวรรค์และความเร็วในการพัฒนาตัวเองราวกับพระเจ้า
หลังจากฟังคำพูดของข่ายพิงหยวนนั้นฉินฟางที่กำลังอารมณ์เสียก็ใจเย็นลง เขาค่อยๆพยักหน้าอย่างเข้าใจในคำพูดของข่ายพิงหยวน ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าสำนักแห่งนี้ และเป็นผู้ที่ทำให้เขาได้รับโอกาสในการพัฒนาตัวเองอย่างก้าวกระโดด
“ผมขอถามอะไรอย่างนึง ?....” ฉินฟางกล่าว “หลังจากนี้คุณคิดจะทำยังไงต่อกับสุสานนั่น เพราะเท่าที่ผมประมาณการดู เราสองคนยังสำรวจไปได้ไม่ถึงสามสิบเปอเซ็นต์ของสุสานด้วยซ้ำ และนี่ก็เป็นเพียงแค่ช่วงทางเข้ากลับพบกับความยากลำบากมากขนาดนี้ ลำพังจากคำที่คุณพูดมาถ้าเพียงแค่พวกเราสองคนกลับเข้าไปสำรวจส่วนที่ลึกเข้าไปอีกมีหวังได้เป็นผีเฝ้าสุสานแน่ๆ …?”
“แน่นอนว่า อย่างที่ได้พูดไป ถ้าพวกเธอสองคนเต็มใจจะกลับเข้าไปในนั้น ฉันจะจัดทีมเพิ่มให้ โดยแบ่งเป็นสองทีมทีมละสามคน และให้เฉินเหว่ยเหลียงกับเธอเป็นผู้นำในการสำรวจ เธอคิดว่ายังไง ?....” ข่ายพิงหยวนเสนอขึ้น
“ผมคิดว่าทีมละสองคนดีกว่า รวมผมด้วยก็เป็นสามคนต่อทีม มันจะง่ายต่อการควบคุมและสำรวจมากกว่า…” ฉินฟางเอ่ยปากขอ “แล้วในเรื่องของความสามารถผู้ที่เข้าร่วมทีมละ คุณว่ายังไง ?”
“ฉันจะให้พวกเธอสองคนเป็นคัดเลือกสมาชิกในทีมด้วยตัวเอง โดยให้เลือกจากคนในสำนักของเรา … แต่นอนว่าก็คงจะอีกไม่ต่ำกว่าเดือน เพราะต้องรออาการบาดเจ็บของเฉินเหว่ยเหลียงฟื้นฟู จนดีขึ้นซะก่อน … โอเคไหม” ข่ายพิงหยวนถาม
ซึ่งฉินฟางนั้นพยักหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความพึงพอใจ ก่อนที่พวกเขาจะคุยกันเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยที่ได้เจอมาอีกนิดหน่อย และแยกย้ายกันไป โดยที่ข่ายพิงหยวนได้ให้เห็นมาส่งฉินฟางที่หอพักมหาลัยเช่นเดิม
ระหว่างที่นั่งรถมานั้นฉินฟางได้คิดและทบทวนถึงเหตุการณ์หลายๆอย่าง โดยเฉพาะประสบการณ์เฉียดตายที่เขาได้รับมาจากการสำรวจสุสาน เขาจึงคิดได้ว่าชีวิตคนเรานั้นสั้นมาก และตั้งแต่เข้ามาเรียนมหาลัยเขาก็ไม่ได้กลับไปเจอแม่นานแล้ว สิ่งที่เขาทำก็เพียงแต่ส่งเงินกลับไปให้ เขาจึงคิดอยากที่จะไปเจอแม่มากๆ โดยเขาคิดไว้ว่าวันมะรืนนั้นจะเข้าไปพบแม่ และจะเข้าไปพบพร้อมๆกับที่พาสามสาวไปแนะนำให้แม่ของเขารู้จัก