บทที่ 145 หนานเหมินหยาง! ยอดบุรุษ!
แตกต่างจากโลกภายนอก ฉางเหิงกับพวกสามารถเห็นทุกการเคลื่อนไหวของจงหมิงเอี้ยนภายในค่ายกลได้อย่างชัดเจน แต่จั่วม่อไม่ทราบว่าซ่อนตัวอยู่ที่ใด ไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อย
กระบวนท่าตัดหนึ่งดอกเหมยของจงหมิงเอี้ยน ทำให้หลายคนดวงตาทอประกายขึ้นมา
อันที่จริงจงหมิงเอี้ยนไม่ได้รู้สึกดีแม้แต่น้อย ราวกับว่ามันต่อยหมัดใส่กองฝ้ายนุ่ม พลังของมันถูกกระจายออกไปอย่างยากที่จะสืบค้น
มันอดขมวดคิ้วไม่ได้ ไม่ใช่เพราะรู้สึกลำบาก แต่เป็นรังเกียจ มันไม่ชมชอบการโจมตีแบบนุ่มนวลอ่อนหยุ่นเป็นอย่างยิ่ง เซียนกระบี่ส่วนใหญ่ล้วนไม่ชอบต่อสู้กับศัตรูที่เดินในแนวทางอ่อนหยุ่นนุ่มนวล เพราะหากพวกมันไม่สามารถสังหารอีกฝ่ายได้ในกระบี่เดียว สิ่งที่รอคอยพวกมันย่อมเป็นปัญหาไม่จบสิ้น!
ศัตรูเช่นนี้มักมีการป้องกันที่ดีเยี่ยม คิดโค่นพวกมันในกระบี่เดียวเป็นเรื่องยากมาก และเมื่อการต่อสู้ยืดเยื้อออกไป จะกลายเป็นการทดสอบความอดทนทางกายภาพ และหากกล่าวถึงความอดทนทางกายภาพ เซียนกระบี่ส่วนใหญ่ไม่ใช่พวกที่มีความอดทนที่ดี
คิดไม่ถึงว่าจั่วม่อจะเป็นคู่ต่อสู้ประเภทนี้!
จงหมิงเอี้ยนเริ่มบีบนวดขมับของตน
จั่วม่อพอเห็นหนึ่งกระบี่ของจงหมิงเอี้ยน ก็ถึงกับผวา มือน้อยๆ ของมันสั่นสะท้าน ขณะกำลังก่อตั้งค่ายกลย่อย เกือบทำให้ค่ายกลย่อยนั้นเสียหาย อย่าได้คิดว่ามันเชี่ยวชาญค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์แล้ว เพียงเชี่ยวชาญแต่ในตำราเท่านั้น ค่ายกลใหญ่โตขบวนนี้สิ้นเปลืองจำนวนเงินอันน่าแตกตื่นสะท้านโลก มันไม่มีจิงสือให้สูญเสียไปมากกว่านี้อีกแล้ว
โชคดีที่กระบวนท่าแรกถูกสกัดกั้นเอาไว้ได้ วงแหวนแสงค่อยๆ เติมเต็มเข้าไป จนดูคล้ายไม่ได้เกิดความเสียหายใด จั่วม่อคลายใจลงเล็กน้อย
ค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์สำหรับมันเพิ่งจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น วิธีก่อตั้งค่ายกล วัตถุดิบที่จำเป็น และอื่นๆ เพียงเท่านี้ก็มากพอให้มันรับความลำบาก สำหรับด้านการเปลี่ยนแปลงต่างๆ จั่วม่อไม่ได้มีเวลาพิจารณากลั่นกรอง ไม่มีทางเลย มันมีเวลาน้อยเกินไป นับตั้งแต่ที่ท่านเจ้าสำนักแจ้งให้มันเข้าร่วมงานชุมนุมวิจารณ์กระบี่รอบสุดท้าย จนถึงขณะนี้ มันใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับค่ายกลชุดนี้ ยังแทบจะไม่เข้าใจวิธีก่อตั้งค่ายกล
ไม่ต้องกล่าวถึงว่า สิ่งที่มันคิดก่อตั้งในคราวนี้ ยังเป็นค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์เจ็ดสิบสองค่ายกลย่อยอีกด้วย!
เพื่อม้วนหยกค่ายกลเบื้องต้นของคุนหลุน จั่วม่อสู้ตาย!
แม้ว่าจะรีบร้อนสุดชีวิต แต่มันก็ยังทำได้ดีที่สุด สองมือรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน
แรงกดดันอันยิ่งใหญ่ไม่ได้ทำให้จั่วม่อแตกตื่นลนลาน ตรงกันข้าม นี่ราวกับว่ามันถูกฉีดด้วยเลือดไก่* คนฮึกเหิมอย่างผิดปกติ จิตสำนึกของมันแพร่กระจายออกไปอย่างสมบูรณ์ สมาธิจิตใจจดจ่ออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ค่ายกลส่วนที่ยังไม่เสร็จและส่วนประกอบของเส้นทางข้างหน้า ล้วนปรากฏชัดเจนในสายตาของมัน
(*ความหมายคล้ายๆ โด๊ปยาเข้าไป)
เนื่องเพราะมันยึดมั่นฝึกปรือกระบวนท่าดรรชนีมายาวนาน สิบนิ้วจึงคล่องแคล่วว่องไวมาก วัชรสูตรน้อยยังส่งผลกระทบที่ดี สังขารร่างกายของมันแข็งแกร่งกว่าเซียนกระบี่ทั่วไปมาก สามารถยกวัตถุดิบชิ้นโตได้อย่างง่ายดาย จิตสำนึกของมันยิ่งน่าสะพรึงกลัว ครอบคลุมไปทั่วทั้งขบวนค่ายกล ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดรอดพ้นจากจิตสำนึกของมันได้
จั่วม่อกลายเป็นภาพเงาเลือนราง ก่อตั้งค่ายกลอย่างบ้าคลั่ง!
วัตถุดิบนับไม่ถ้วนไหลผ่านมือมันดุจสายน้ำ โยนไปยังตำแหน่งที่ต้องการอย่างแม่นยำ จากนั้นดรรชนีประดุจบุปผาบานสะพรั่ง เงาดรรชนีเกลื่อนกล่นระลอกแล้วระลอกเล่า พลังปราณพวยพุ่งออกจากปลายนิ้วไม่ขาดสาย ผนึกสัญลักษณ์ยันต์เข้าสู่ค่ายกลทีละตัวๆ
ด้วยพลังของค่ายกล จั่วม่อซ่อนตัวอยู่ภายใน ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นได้
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าจั่วม่ออยู่ที่ใด ทุกผู้คนคาดเดาว่ามันกำลังซ่อนตัวอยู่ในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง เฝ้ารอโอกาสจู่โจมสังหารจงหมิงเอี้ยนในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด!
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ว่าค่ายกลมหึมาตรงหน้าพวกมันขบวนนี้ ถึงกับเป็นค่ายกลที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์!
เงยหน้ามองจันทร์เสี้ยวบนฟ้า จงหมิงเอี้ยนหัวใจที่หงุดหงิดกลัดกลุ้มค่อยสงบลง มันทระนงถือดี แต่ไม่ได้โง่งม เมื่อสามารถยืนอยู่เหนือศิษย์มากมายทั้งสำนัก ผู้ใดจะโง่งม?
วงแหวนแสงเหล่านั้นแน่นอนว่าไม่ได้เป็นจุดสำคัญในการทำลายค่ายกล ในใจมันสงสัยเช่นนี้ มันยืนนิ่งอยู่กับที่ เหล่าวงแหวนแสงบนเวหาคล้ายฝูงปลาที่อิสระเสรี ไม่ได้เริ่มจู่โจมใส่มัน
หรือจะเป็นจันทร์เสี้ยวดวงนั้น?
จันทร์เสี้ยวสว่างเหนือศีรษะ ดูคล้ายอยู่ห่างไกลและเป็นจริง ไม่คล้ายภาพที่ถูกสร้างขึ้นจากค่ายกล อันที่จริง ไม่ใช่เพียงแค่จันทร์เสี้ยวเจิดจ้าดวงนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างภายในค่ายกลขบวนนี้ ก็ล้วนไม่แตกต่างจากของจริง แต่จงหมิงเอี้ยนตระหนักดีว่าทุกอย่างที่มันเห็นถูกสร้างขึ้นมาจากค่ายกล ทุกอย่างล้วนไม่ใช่ของจริง
โลกนี้ไม่มีค่ายกลใดไม่อาจทำลาย เช่นเดียวกับไม่มีเซียนกระบี่ผู้ไร้เทียมทานอยู่ในโลก ไม่ว่าค่ายกลใดย่อมมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ประตูตาย’ สิ่งที่เรียกว่า ‘ประตูตาย’ หมายถึงจุดอ่อนและข้อบกพร่องของค่ายกล และยังเป็นจุดตายในการแก้ค่ายกล
ประตูตายของค่ายกลนี้อยู่ที่ใด?
จงหมิงเอี้ยนดวงตาเป็นประกาย มันยืนอยู่กับที่ เริ่มขบคิดหาวิธีแก้ค่ายกลอย่างเงียบเชียบ
หวีป๋ายผู้เพิ่งจะหยุดการต่อสู้ พลันรู้สึกว่ามีคนเข้ามาใกล้ จึงหันไปมอง เห็นคู่ต่อสู้คนเดิมของมัน หนานเหมินหยาง เดินเข้ามาพร้อมกระบี่ขนาดเท่าบานประตู หวีป๋ายอดระวังป้องกันไม่ได้
“มันทำอะไร? ไฉนนิ่งไป?” หนานเหมินหยางแผดเสียงถาม สายตามองไปทางจงหมิงเอี้ยนในค่ายกล สีหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้ สุ้มเสียงของมันดังประดุจฟ้าร้อง แม้ว่าตัวมันจะพยายามลดเสียงเบาลง แต่ทุกผู้คนล้วนได้ยินชัดเจน
หวีป๋ายแวบแรกอึ้งงัน แต่เห็นหนานเหมินหยางสีหน้าไม่คล้ายล้อเล่น ค่อยนึกขึ้นได้ว่าหนานเหมินหยางไม่มีสำนักหรือสังกัดชาติตระกูล ในใจพลันตระหนัก เซียนกระบี่ที่ไม่ได้รับการเพาะสร้างรากฐานที่ดีจากสำนักหรือชาติตระกูล ในเรื่องความรอบรู้ปัจจัยพื้นฐานทั้งหมด ไม่อาจแข่งขันกับต้นกล้าเช่นหวีป๋ายที่ได้รับการฟูมฟักเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย
หวีป๋ายสังเกตเห็นว่า เวลานี้สายตาของทุกผู้คนล้วนมองมายังมันเป็นตาเดียว
เยือกเย็นไว้...ซือฟู่กล่าวว่า ข้าจะต้องสุภาพอ่อนโยนและใจกว้าง...
หวีป๋ายกระแอมเบาๆ อธิบายอย่างอบอุ่น “จงหมิงเอี้ยนกำลังคิดหาทางแก้ค่ายกล...”
“นั่นยังต้องคิด?” หนานเหมินหยางถลึงตาโปนโตเท่าระฆังสัมฤทธิ์ของมัน สุ้มเสียงดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว ขัดจังหวะหวีป๋าย “คิดหาอันใด! เพียงแค่สับมารดามันตรงๆ ก็พอ! *ข้าบอกพวกเจ้า พวกเจ้าไฉนอืดอาดพิรี้พิไรอย่างกับป้าๆ ข้างบ้าน หากเป็นข้า*...”
(*คำเรียกตัวเองที่หนานเหมินหยางใช้นี้แตกต่างกับคนอื่น พูดง่ายๆ คือเป็นสำเนียงชนบท)
หนานเหมินหยางปกติสุ้มเสียงก็ดังสนั่นอยู่แล้ว เวลานี้ไม่ผิดอันใดกับสายฟ้าคำรณ กึกก้องจนในหูของหวีป๋ายดังหึ่งๆ
หวีป๋ายเส้นเลือดเขียวปั้ดผุดขึ้นข้างขมับ มันไม่ได้คาดคิดว่าเจ้าตัวประหลาดผู้นี้จะช่างพูดถึงเพียงนี้!
ไม่ทราบผู้ใดหัวร่อก่อน เส้นเสือดที่ขมับหวีป๋ายเริ่มเต้นระริกอีกครั้ง
เยือกเย็นไว้...
มันเค้นรอยยิ้มออกมา “ค่ายกลนี้ร้ายกาจยิ่ง ไม่ใช่ว่าจะแก้ได้ง่ายๆ...”
หนานเหมินหยางโพล่งขัดจังหวะหวีป๋ายอีกรอบ มองหวีป๋ายอย่างงงงวย ถลึงตาโปนโตอีกครั้ง “แก้อันใด? ค่ายกลมิใช่สตรี จะแก้อันใด? แค่สับมันโดยตรงเท่านั้น! แต่ร่างกายของคนในค่ายกลผู้นั้น จุ๊จุ๊ บอบบางนิ่มนวลกว่าคนรักของข้าเสียอีก อ้อ เจ้าก็เหมือนกัน หากเป็นข้า...”
หนานเหมินหยางยิ่งกล่าวยิ่งตื่นเต้นเมามัน มือซ้ายกระชากเสื้อออกจากร่าง มือขวากำเป็นหมัด ทุบอกหยาบหนาบึกบึนดุจโลหะของมันอย่างรุนแรง พ่นลมหายใจหนักหน่วงผ่านจมูกราวกับลิงยักษ์ตัวหนึ่ง
บอบบางนิ่มนวล...
ใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกของหวีป๋ายบิดเบี้ยวในบัดดล พลังปราณในร่างพลุ่งพล่านอย่างคลุ้มคลั่ง จนแทบจะหลุดจากการควบคุม ไม่ผิดอันใดกับพายุคลื่นยักษ์ พร้อมจะระเบิดได้ตลอดเวลา!
เยือกเย็นเข้าไว้...
หนานเหมินหยางไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้แม้แต่น้อย มันประดุจวัวคลั่ง ตาแดงก่ำจ้องมองขบวนค่ายกล กระตือรือร้นที่จะลองดูสักตั้ง ปากของมันยังพล่ามไม่หยุดแม้แต่แวบเดียว
“ดูกระบี่ที่พวกเจ้าใช้สิ บอบบางอย่างกับตะเกียบ นี่ใช้งานได้จริงๆ หรือไม่? บุรุษแท้สมควรใช้กระบี่เช่นนี้ต่างหาก!” แค่กล่าวยังไม่พอใจ มันยกกระบี่ขนาดเท่าบานประตูขึ้น แกว่งหนักๆ สองสามรอบ แล้วกล่าวต่ออย่างภาคภูมิใจ “เป็นไร? ไม่เข้าใจหรือ? ข้าจะแอบบอกเจ้าเป็นการส่วนตัว คนรักของข้าบอกข้า ต้องขนาดใหญ่! ต้องใหญ่! ต้องใหญ่ขึ้นอีก! ยอดบุรุษ! ต้องใช้กระบี่ใหญ่!”
กล่าวถึงตรงนี้มันพลักชะงักกึก ลังเลแวบหนึ่ง ก่อนจะลดเสียงลง ถามอย่างกังขา “เจ้าเป็นบุรุษจริงๆ หรือ?”
พริบตานั้น สายตาทุกคู่หันขวับไปทางหวีป๋าย
ต่อให้อดทนกว่านี้ หวีป๋ายสุดท้ายก็ไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป สีหน้ามันดูดำมืดประดุจหมึก ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยว เยือกเย็นเข้าไว้มารดาเจ้าเถอะ! กระบี่บินในมือชี้หน้าหนานเหมินหยาง ตวาดอย่างขุ่นแค้น “หุบปาก! มาฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งเถอะ!”
หนานเหมินหยางชะงักไปวูบหนึ่ง จากนั้นสั่นศีรษะอันใหญ่โตแรงๆ “ข้าสู้กับบุรุษเท่านั้น!” มันไม่แยแสสนใจหวีป๋ายโดยสิ้นเชิง ชูกระบี่ของยอดบุรุษ ชี้ตรงไปยังค่ายกล ขู่คำรามอย่างฮึกเหิม “ข้าจะไปสับค่ายกล! ข้าไม่เคยสับสิ่งของเช่นนี้มาก่อน! ฮ่าฮ่า อย่าได้ละสายตาจากข้า ข้า! ยอดบุรุษ! จะสับค่ายกลบัดซบนี้ให้พวกเจ้าชมดู!”
กล่าวจบคำ ชูกระบี่เล่มยักษ์สูงขึ้นฟ้า ด้วยก้าวย่างใหญ่โตมหึมา มันพุ่งทะลวงเข้าสู่ค่ายกลดุจโคเถื่อนตัวหนึ่ง!
หวีป๋ายเดือดดาลทะยานฟ้า สูญเสียสติสัมปชัญญะไปทั้งหมด กรีดร้องลั่น “หยุดเดี๋ยวนี้! เจ้าเป็นของข้า!”
คนเปลี่ยนเป็นประกายแสงสีขาว ติดตามไล่ล่าหนานเหมินหยางเข้าไปในค่ายกลขบวนมหึมา
ซู่เดิมทีฟังวาจาหยาบคายของหนานเหมินหยาง กำลังลอบหัวร่ออยู่ในใจ แต่การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ ทำให้นางตื่นตระหนกสุดระงับ ไม่มีเวลาเพียงพอที่จะหยุดยั้งพวกมัน!
บัดซบ!
เวลานี้ในค่ายกลมีคนอยู่ถึงสามคน จั่วม่อแน่นอนว่าไม่อาจรับมือได้ คิดถึงเรื่องนี้นางก็แตกตื่นลนลาน กระทืบเท้า พุ่งเข้าสู่ค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์พร้อมกระบี่รัศมีดำ
กุ่ยฟงเห็นซู่บุกเข้าไปในค่ายกล แสงเย็นสาดประกายวาบในดวงตา จากนั้นมันก็หายวับไป
คนหน้าเหลืองก็หวั่นไหวใจเช่นกัน มันโถมเข้าไปในค่ายกลอย่างไม่ลังเล
ฉางเหิงมองทุกผู้คนเข้าสู่ค่ายกล พึมพำกับตัวเอง “น่าเล่นยิ่ง” จากนั้นมันตรงเข้าค่ายกลเช่นกัน เพียงแต่หากเทียบกับผู้อื่น มันกลับเดินเข้าไปอย่างใจเย็น
หลัวหลีลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นละอองที่ไม่ได้มีอยู่จริงบนเสื้อ กล่าวอย่างอับจนปัญญา “ไฉนข้าต้องอยู่สำนักเดียวกับเจ้าตัวประหลาดนี่ด้วย?”
บ่นไปพลาง ก็เดินตรงเข้าสู่ค่ายกลไปพลาง
ยอดฝีมืออื่นๆ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นมีผู้ที่พุ่งเข้าสู่ค่ายกลไม่ขาดสาย
ซิวเจ่อที่บุกเข้าสู่ค่ายกลล้วนตื่นเต้นฮึกหาญ อ๊า รสชาติของสงคราม! พวกมันทั้งหมดเป็นซิวเจ่อที่ไม่เคยหวาดกลัวการต่อสู้!
ยอดฝีมือแทบทั้งหมดในงานชุมนุมวิจารณ์กระบี่คราวนี้ ล้วนอยู่ภายในค่ายกล นี่เป็นโอกาสหายากที่จะสามารถต่อสู้กับยอดฝีมือเหล่านี้ การชุมนุมยอดฝีมือที่ยิ่งใหญ่ถึงปานนี้ หากพวกมันพลาดเข้าร่วมสนุก ไยมิใช่ต้องเศร้าเสียดายไปทั้งชีวิต
วู้ม วู้ม วู้ม!
คนแล้วคนเล่าพุ่งเข้าสู่ค่ายกลไม่ขาดสาย
ค่ายกลที่เต็มไปด้วยหมอกสีเขียวอมฟ้า ภายใต้จันทร์เสี้ยว ราวกับน้ำวนขนาดยักษ์ ดูดกลืนซิวเจ่อที่อยู่รอบๆ เข้าไปไม่หยุดยั้ง
ทุกผู้คนที่เฝ้าชมการประลองอยู่ในตงฝู ล้วนเหม่อมองอย่างโง่งม!
แม้ว่าพวกมันสามารถชมดูได้ชัดเจนผ่านภาพมายา แต่เสียงไม่ได้ผ่านออกมาด้วย ผู้คนด้านนอกไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตานี้ ไปไกลเกินกว่าจินตนาการของทุกคน
ด้วยประสบการณ์ความรอบรู้ของเทียนซงจื่อ ยังอ้าปากค้าง “ป๋ายเอ๋อร์ไฉนตื่นเต้นถึงเพียงนั้น? ที่แท้เกิดเรื่องอันใดกันแน่?”
มันไม่เคยเห็นหวีป๋ายเสียกิริยาเช่นนี้มาก่อน เท่าที่มันจำได้ ศิษย์รักของมันผู้นี้ อบอุ่นสง่างามอยู่เสมอ ทั้งสุภาพเรียบร้อย ทั้งเกรงอกเกรงใจ นี่...นี่มันอะไรกัน?
ไม่มีผู้ใดสามารถบอกมันได้
บรรดาผู้ที่พุ่งเข้าสู่ค่ายกลล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นแนวหน้า เป็นศิษย์ที่เด่นล้ำที่สุดและยอดเยี่ยมที่สุดของแต่ละสำนักในอาณาจักรนภาจันทร์ เป็นชนชั้นยอดในหมู่ศิษย์รุ่นหลังทั้งหมด ล้วนมีศักยภาพยิ่งใหญ่ แบกรับความคาดหวังของแต่ละสำนัก สิ่งที่พวกมันอบรมบ่มเพาะเป็นคำสอนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในอาณาจักรนภาจันทร์ มิหนำซ้ำพวกมันยังใช้ยุทธภัณฑ์เวทที่ดีที่สุด กระบี่บินที่ยอดเยี่ยมที่สุด...
พวกมัน...
ชั่วขณะนี้พวกมันคล้ายเสียสติกันไปทั้งหมด ความปรารถนาต่อสู้เต้นเร่าอย่างบ้าคลั่งอยู่บนใบหน้าของแต่ละคน ดวงตาของพวกมันที่มองไปยังค่ายกล เต็มไปด้วยความโหยหากระหาย!
ค่ายกลผีสางนั่น แฝงไว้ด้วยมนตราล่อลวงอันใดกัน...
ไม่ว่าจะลอยอยู่บนฟ้า หรืออยู่บนพื้นดิน เวลาคล้ายหยุดนิ่งลงที่ตรงนี้ เหล่าซิวเจ่อทั้งมวล ไม่คำนึงถึงพลังบำเพ็ญเพียรสูงต่ำ ล้วนอ้าปากค้างอย่างพร้อมเพรียง สีหน้าโง่งม ร่างกายไม่ขยับ ไม่มีเสียงพูดจา ราวกับว่าพวกมันทั้งหมดล้วนกลายเป็นรูปปั้นหินไปแล้ว
ในชั่วขณะจิตนี้ ตงฝูเงียบสนิท จนหากเข็มสักเล่มตกลงบนพื้นยังได้ยิน!