บทที่ 144 แปลกประหลาด
จงหมิงเอี้ยนขมวดคิ้วทันที
วงแหวนแสงเหล่านั้นดูเหมือนอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง เพียงสัมผัสก็ระเบิดเบาๆ ดุจดั่งฟองอากาศ แต่พวกมันมีจำนวนมากมายเกินไปจริงๆ!
โดยที่มันไม่ทันรู้สึกตัว เจตจำนงกระบี่ของมันสูญเสียพลังสภาวะไปมากมาย ความรุนแรงสึกกร่อนลงไปเกือบครึ่ง แต่วงแหวนแสงบนท้องฟ้ากลับไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยลงเลย
ยิ่งไปกว่านั้น...มันยังคงไม่พบพานจั่วม่อแม้แต่เงา!
จงหมิงเอี้ยนกวาดตามองไปรอบๆ ไม่เห็นแม้แต่เงาของจั่วม่อจริงๆ มันทราบว่าในค่ายกล ดวงตาไม่สามารถเชื่อถือได้ ดังนั้นกวาดจิตสำนึกของมันสำรวจไปทั่ว แต่มักพบการรบกวนที่แปลกประหลาด ทำให้มันไม่อาจตรวจพบจั่วม่อได้
ทั้งหมดนี้ล้วนบ่งบอกได้ว่า ค่ายกลที่จั่วม่อสร้างขึ้น ไม่ธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด
จงหมิงเอี้ยนไม่ได้ตื่นตระหนก ทุกผู้คนอาจเข้าใจว่ามันเต็มไปด้วยรังสีสังหาร และคิดว่ามันต้องการเสาะหาและเอาชนะจั่วม่อในทันที แต่อันที่จริง หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ จงหมิงเอี้ยนสนุกกับการต่อสู้ ชื่นชอบความหฤหรรษ์ในการถูกท้าทาย จั่วม่อยิ่งเก่งกาจ ความกระหายในการต่อสู้ของมันก็ยิ่งลุกโชน
มันตั้งใจจะทำลายค่ายกลทั้งหมดของจั่วม่อ!
จะมีสิ่งใดน่าสำราญใจไปกว่าทำลายล้างการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของผู้อื่นจากรากฐาน? ความคิดนี้ทำให้จงหมิงเอี้ยนโลหิตในกายเดือดพล่าน!
ค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์เมื่อเปิดใช้งาน เปี่ยมล้นด้วยพลังสภาวะน่าสะพรึงกลัวเกินไปจริงๆ อย่าว่าเหล่าผู้ชมในตงฝู แต่กระทั่งซิวเจ่อผู้เข้าร่วมการต่อสู้ในหอคลื่นสน ยังตื่นตะลึงกับแสงเจิดจรัสที่จู่ๆ ก็สว่างวาบขึ้นมา!
ผู้เข้าประลองหลายคนสนอกสนใจไม่น้อย แต่พวกมันยังไม่กล้าไปไหนมาไหนตามใจชอบ ล้วนพากันรั้งรออยู่ที่เดิม ทว่าเหล่ายอดฝีมือกลับไม่มีข้อกริ่งเกรงถึงเพียงนั้น พวกมันมุ่งหน้าตรงเข้าหาแหล่งกำเนิดแสงโดยไม่ลังเล
ซู่เร่งความเร็วของนางขึ้นไปจนถึงขีดสุด และเพื่อป้องกันการซุ่มโจมตีระหว่างทาง นางแผ่พุ่งพลังปราณทั้งหมดออกมาโดยไม่มีออมรั้งยั้งมือ กระบี่รัศมีดำที่ใต้ฝ่าเท้าปลดปล่อยสนามแม่เหล็กอันรุนแรงอย่างเต็มกำลัง แตกต่างจากการบินพุ่งตรงดิ่งอันสะเทือนเลื่อนลั่นของกระบี่บินอื่นๆ กระบี่รัศมีดำบินคล้ายเหินร่อนมากกว่า แต่เนื่องด้วยความเร็วอันน่าสะพรึงกลัวเกินไป เสียงแหวกฝ่าอากาศก็สะท้านฟ้าสะเทือนดินไม่ต่างกัน นางไม่ได้ปิดซ่อนตัวเองแม้แต่น้อย เอาแต่เร่งรุดไปยังต้นกำเนิดแสงโดยไม่ใส่ใจสิ่งใด
เจ้าคนขลาดเขลาที่กินข้าวต้ม*นั่น ที่แท้ไม่ได้ส่งนกกระเรียนกระดาษออกมาจริงๆ!
(*ผู้ชายที่กินข้าวต้ม หมายถึงผู้ชายที่ไม่ทำการทำงาน เอาแต่พึ่งพาภรรยาหาเลี้ยงครอบครัว)
ขณะที่เร่งรุดไป ซู่อดขมวดคิ้วนิ่วหน้าไม่ได้
นางไม่พึงใจพฤติกรรมของจั่วม่อยิ่ง มันสมควรทราบกระจ่างแก่ใจว่าพลังของมันไม่เพียงพอ แต่ยังคงแสร้งทำเป็นห้าวหาญ กระทำการไปตามอำเภอใจ นับเป็นสหายที่น่ารำคาญเป็นที่สุด แม้นางไม่ได้คิดว่าจั่วม่อเป็นสหายของนาง แต่นางยังต้องพึ่งพามันหลอมสร้างกระบี่บินให้แก่นาง นั่นหมายความว่านางไม่อาจละเลยความปลอดภัยของมันได้
หากจั่วม่อไม่สามารถเข้าสู่สิบลำดับแรก เช่นนั้นไม่ว่านางจะเป็นอันดับที่เท่าใดก็ไร้ประโยชน์
นางชิงชังคนที่เพิ่มความยากลำบากให้แก่สิ่งที่นางต้องทำเป็นอย่างยิ่ง!
นางจะทนแค่ครั้งเดียวเท่านั้น!
หลังเสร็จธุระเรื่องนี้แล้ว นางไม่ต้องการจะพบเห็นคนที่น่าชิงชังผู้นี้อีก!
ทันใดนั้นซู่หวนนึกถึงสิ่งที่ศิษย์พี่หลินเชียนกล่าวกับนาง ในใจยิ่งขุ่นเคืองมากกว่าเดิม
ฉางเหิงยังคงเดินหาเหยื่ออย่างไม่อินังขังขอบเช่นเดิม แต่แล้วค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์พลันเปล่งแสงเจิดจรัสออกมา สว่างไสวไร้ที่เปรียบ เกินกว่าที่แสงปราณกระบี่ใดจะกล้าประชันขันแข่ง
“ช่างเป็นคนที่น่าสนใจยิ่งนัก” มันรำพึงเบาๆ กับตัวเอง จากนั้นทะยานขึ้นกลางอากาศ แสงสีเลือดกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น ฉางเหิงหายวับไปจากจุดนั้น
บนเนินเขาแห่งหนึ่ง เงาร่างหนึ่งทันใดนั้นก็หายวับไป แล้วพลันปรากฏขึ้นไม่ห่างออกไปนัก ก่อนจะหายวับไปอีกครั้ง จากนั้นปรากฏขึ้นห่างออกไปอีก เนื่องจากความเร็วของท่าร่างรวดเร็วเกินไป ก่อนที่ภาพติดตาเบื้องหลังจะเลือนหาย มันก็ปรากฏกายขึ้นในตำแหน่งถัดไปแล้ว
ไม่ว่ามันจะไปถึงที่ใด ก็ทิ้งเงาร่างเรียงรายไว้เบื้องหลังอย่างต่อเนื่อง แปลกประหลาดจนบอกไม่ถูก
กุ่ยฟงใช้ท่าร่างเงาผีหลบเร้นมุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วกระพริบตา มันก็จากไปไกลลิบ ความเร็วของมันไม่ได้ด้อยกว่ากระบี่บินแต่อย่างใด
แต่ทิศทางนั้น...
เหล่าซิวเจ่อในระหว่างทางล้วนอ้าปากค้าง พากันยืดคอมองไปในทิศทางที่กุ่ยฟงหายลับไป
...มันเป็นสถานที่ที่แสงสว่างกระพริบประกายเรืองรองแห่งนั้น!
หลัวหลีเดิมทีอยากเป็นนักล่าที่ซุ่มรอเหยื่ออยู่กับที่ แต่แสงที่จู่ๆ ก็สว่างไสวไปถึงขอบฟ้า ทำให้มันประหลาดใจอยู่บ้าง
นี่มัน...
นี่แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากปราณกระบี่หรืออะไรทำนองนั้น ในความเป็นจริง ผู้ที่สามารถสร้างเคล็ดกระบี่หว่อหลีขึ้นมา ย่อมไม่ต้องสงสัยในสติปัญญาของมัน มันล่วงรู้ในทันทีว่าสิ่งนั้นคือเรื่องราวใด
ค่ายกล! มีเพียงค่ายกลเท่านั้น!
มันรู้สึกพูดไม่ออกทันที ในบรรดาซิวเจ่อผู้เข้าร่วมประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่รอบสุดท้ายทั้งหมด มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะยอมเสียหน้าของเซียนกระบี่เพื่อก่อตั้งค่ายกล คนผู้นั้นย่อมเป็นจั่วม่อ
“เจ้าคนที่ไม่รักตัวเองไม่รักพวกพ้องเอ๋ย” หลัวหลีพึมพำอย่างอับจนปัญญา มันลุกขึ้นยืน คว้ากระบี่บิน มันอาศัยอยู่กับท่านเจ้าสำนักและผู้อาวุโสยาวนานกว่าผู้ใด ย่อมล่วงรู้ความคิดของพวกมันได้ชัดเจนกว่าผู้ใดเช่นกัน
บางทีมันสมควรไปเตะเจ้าผู้นั้นออกจากการประลองด้วยตัวเอง... เพื่อช่วยไม่ให้อับอายขายหน้าไปมากกว่านี้...
มันไม่แน่ใจในความคิดของท่านเจ้าสำนัก แต่เชื่อว่าเหล่าอาจารย์ลุงอาจารย์อาท่านอื่น จะไม่คัดค้านอย่างแน่นอน
อันที่จริง ในใจมันอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างยิ่ง
การต่อสู้กับจั่วม่อในคราวนั้น เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในชีวิตมัน แรกเริ่มเดิมทีมันเคียดแค้นชิงชังอยู่บ้าง แต่ค่อยๆ สะท้อนความรู้สึกของตัวเอง เห็นตัวเองชัดเจนกว่าเดิม ความชิงชังที่มีต่อจั่วม่อก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย หากไม่ใช่เพราะจั่วม่อ เกรงว่ามันจะยังคงมีชีวิตอย่างเลอะเลือนงมงายเหมือนที่มันเคยเป็น
นั่นย่ำแย่มาก...
แต่แน่นอนว่าหลัวหลีไม่ได้คิดจะขอบคุณจั่วม่อเลย
มันเป็นคนอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติ เมื่อครั้งที่จั่วม่อต่อสู้กับมัน ความแตกต่างในพลังบำเพ็ญเพียรระหว่างพวกมันกว้างใหญ่ไม่น้อย แต่ท้ายที่สุดจั่วม่อยังคงได้ชัย ต่อมามันยังได้ชมดูการประลองรอบแรกในงานชุมนุมวิจารณ์กระบี่ของจั่วม่อ ความแตกต่างในพลังบำเพ็ญเพียรระหว่างจั่วม่อกับเฉาอันยังกว้างใหญ่กว่าเดิมอีก แต่จั่วม่อก็คว้าชัยไปได้อีกครั้ง บรรดาลูกไม้แพรวพราวที่จั่วม่อสำแดงออกมา ช่วยเปิดหูเปิดตาหลัวหลีอย่างใหญ่หลวง แต่จะอย่างไรมันก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้
หลัวหลีไม่เข้าใจจริงๆ ด้วยพรสวรรค์เชิงกระบี่อันเลิศล้ำของจั่วม่อ ไฉนมันไม่ยอมทุ่มเทฝึกปรือกระบี่ แต่กลับไปเสียเวลาเรียนรู้สิ่งของครึ่งๆ กลางๆ เหล่านั้นแทน
นับตั้งแต่ที่หลัวหลีคิดค้นเคล็ดกระบี่หว่อหลีของมันขึ้นมา ความรู้ความเข้าใจในเชิงกระบี่ของมันก็ลึกล้ำกว่าเดิมมาก สายตาก็ย่อมแหลมคมขึ้นด้วย เพียงมองปราดเดียว ก็ทราบว่าในแขนเสื้อของจั่วม่อซ่อนกลเม็ดเด็ดพรายไว้มากมาย อาจทำให้ผู้คนอ้าปากค้างอย่างตื่นตระหนก แต่ในทางตรงกันข้าม สิ่งเหล่านี้กลับเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ต่อการฝึกปรือกระบี่ของมันในอนาคต
ความสับสนปนเป เป็นข้อห้ามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเซียนกระบี่
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ หลัวหลียังคงอยากรู้อยากเห็นเป็นที่สุด! แม้มันจะกำลังส่ายศีรษะอ่อนอกอ่อนใจ แต่อีกใจหนึ่งยังคงกระหายใคร่รู้ ว่าจั่วม่อคิดทำอะไร คนผู้นี้กลอกกลิ้งลื่นไหล ในถุงที่ไม่มีขีดจำกัดของมันซ่อนทักษะอันสร้างสรรค์นานัปการ รวมกับความคิดนอกกรอบอันสุดโต่งของมัน หากมันสามารถซุ่มโจมตีใครบางคนได้สองครั้ง แน่นอนว่าจะไม่ทำแค่ครั้งเดียว
การประลองชุมชุมวิจารณ์กระบี่ครั้งนี้ชุมนุมเหล่ายอดฝีมืออย่างแท้จริง ความแตกต่างระหว่างจั่วม่อกับพวกมันยิ่งกว้างใหญ่ไพศาลเป็นที่สุด หลัวหลีอาจไม่เข้าใจในตัวจั่วม่อมากนัก แต่มันทราบดีว่าจั่วม่อไม่ใช่คนที่จะถอดใจยอมพ่ายแพ้อะไรง่ายๆ หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ คาดว่าจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้เป็นอันขาด
ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้โดยง่าย มีลูกไม้มากมายในแขนเสื้อ มีพลังอยู่บ้าง...
เจ้าตัวประหลาดนี้ ทำให้ผู้คนอดคาดหวังเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้จริงๆ!
“น่าสนุกแทบตายแล้ว” หลัวหลีรำพึงกับตัวเอง ก้าวเท้าขึ้นบนกระบี่บิน พุ่งออกจากหุบเขา
ฉางเหิงเป็นบุคคลแรกที่ปรากฏขึ้นที่รอบนอกของขบวนค่ายกล ชั่วแวบเดียวหลังจากนั้น ซู่กับกุ่ยฟงก็ปรากฏกายขึ้นแทบจะพร้อมกัน
ยอดฝีมือสามคนจู่ๆ ก็โผล่ออกมาโดยพร้อมเพรียง ทำให้ซิวเจ่อที่หลบซ่อนอยู่ในเงามืดหัวใจแทบจะกระดอนออกมาจากอก ทั้งสามคนนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สมควรตอแย ทันใดนั้น หลัวหลีก็ปรากฏขึ้นไม่ไกล เผชิญหน้ากับยอดฝีมือทั้งสาม มันสงบเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง ไม่กล่าวคำใด ทรุดนั่งไขว้ขาท่าดอกบัว กระบี่บินของมันลอยนิ่งอยู่ตรงหน้า
“ฮะ” ฉางเหิงหันไปมองหลัวหลีอย่างแปลกใจอยู่บ้าง
ซู่กับกุ่ยฟงก็หันหน้ามามองหลัวหลีในเวลาเดียวกัน
ในการรับรู้ของพวกมัน หลัวหลีที่นั่งอยู่บนพื้นค่อยๆ เลือนหายไปทีละน้อย แต่พวกมันก็เห็นว่ามันนั่งอยู่ตรงนั้นชัดๆ ไม่ได้ขยับเลยแม้แต่น้อย
ยอดฝีมือทั้งสามประหลาดใจอยู่บ้าง ศิษย์ของสำนักกระบี่สุญตาแต่ละคน ดูเหมือนจะมีฝีมือบางอย่างจริงๆ
“ข้าไม่สู้แล้ว!” หนานเหมินหยางตะโกน พลางก้าวถอยหลัง ถอยห่างจากหวีป๋าย ไม่ว่าผู้ใด เมื่อตระหนักว่ามีคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอยู่ใกล้ๆ มิหนำซ้ำยังมีหลายคน ย่อมไม่ต้องการใช้พลังของตนจนหมดสิ้นไปเสียก่อน
หวีป๋ายก็ไม่กล่าวคำใด แต่รั้งกระบี่ ก้าวถอยหลังไปในเวลาเดียวกัน
มันก็ไม่ต้องการต่อสู้สืบต่อ มียอดฝีมือมากมายถึงเพียงนี้อยู่ด้านข้าง แค่หนึ่งในพวกมันคิดลอบโจมตี มันก็ไม่มีปัญญารับมือแล้ว
อย่างไรก็ตาม คนกลุ่มนี้ไม่ได้แยแสสนใจมันกับหนานเหมินหยางแม้แต่น้อย ความสนใจของพวกมันมุ่งไปยังขบวนค่ายกล
หวีป๋ายกับหนานเหมินหยางสบตากันวูบ หันไปมองค่ายกลพร้อมกัน พลางแยกย้ายยึดตำแหน่งคนละที่ ตัดสินใจรอชมดูความสนุกสนาน
ไม่นานหลังจากนั้น ก็ปรากฏผู้เข้าร่วมชมดูอีกคน เป็นชายหน้าเหลืองที่เคยประมือกับฉางเหิงก่อนหน้านี้ ต่อจากนั้น บางครั้งก็จะปรากฏผู้เข้าประลองคนอื่นขึ้นรอบๆ ค่ายกล บรรดาผู้ที่กล้าเข้ามาร่วมสนุกในเวลานี้ ย่อมเป็นเหล่ายอดฝีมือที่เชื่อมั่นในพลังของตนเอง
จนกระทั่งถึงตอนนี้ นอกจากเหวยเสิ้งกับกู่หรงผิงที่ปะทะเดือดอยู่บนยอดเขาสูงสุด ยอดฝีมือที่เหลือทั้งหมด ล้วนมาชุมนุมกันที่นี่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
ภาพเหตุการณ์อันแปลกประหลาดเช่นนี้ อย่าว่าแต่บรรดาผู้เข้าประลอง กระทั่งฝูงชนซิวเจ่อที่ชมดูภาพมายาอยู่ในตงฝู ยังพากันอ้าปากค้าง
นี่...นี่มันเรื่องอันใด?
ทุกอย่างที่อยู่ในสายตา ไม่ว่ามองจากมุมใด ทั้งหมดเผยบรรยากาศอันแปลกพิสดาร
ขบวนค่ายกล จันทร์เสี้ยวบนฟากฟ้า กับกลุ่มยอดฝีมือที่อยู่ด้านนอก
พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นยอดฝีมือ... ตัวเก็งสิบลำดับแรกในปัจจุบันแทบจะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา นี่ราวกับงานชุมนุมยอดฝีมือ หากมิใช่ผู้มีพลังฝีมือเข้มแข็ง พวกมันก็อับอายเกินกว่าจะกล้าปรากฏตัว!
การต่อสู้ระหว่างเหวยเสิ้งกับกู่หรงผิงซึ่งได้รับความสนใจมากที่สุด ทันใดนั้นก็ถูกผู้คนละเลยอย่างรวดเร็ว ดวงตาทุกคู่ล้วนจับจ้องมายังตำแหน่งของจั่วม่อ
แปลกประหลาด!
แปลกประหลาดเกินไปแล้ว!
หากมิใช่ว่ายอดฝีมือเหล่านี้มีภูมิหลังที่แตกต่างหลากหลาย ทั้งมาจากคนละสำนัก ทั้งมาจากคนละสถานที่ บางคนยังมีภูมิหลังเหนือล้ำกว่าอารามตงฝู เหล่าผู้ชมคงสงสัยไปแล้วว่ามีบางคนลอบจัดฉากการประลองนี้จากเงามืด แต่เวลานี้ ทุกผู้คนล้วนกระทำสิ่งเดียวกัน ทั้งหมดพากันคอยืดคอยาว จ้องมองไปยังขบวนค่ายกลในภาพมายาอย่างหมดท่า
มันราวกับว่ามีโฉมสะคราญล่มเมืองผู้หนึ่งซ่อนตัวอยู่หลังขบวนค่ายกล และนางก็ไม่มีอาภรณ์ติดกายสักชิ้น!
กระทั่งเผยเหยียนหรานกับพวกยังปากอ้าตาค้าง ด้านหลังพวกมัน เหล่าศิษย์สำนักกระบี่สุญตายืนเหม่อมองอย่างโง่งม
“นี่...นี่พวกมันกำลังทำอะไร?” หยานเล่อตะกุกตะกักถาม
เผยเหยียนหรานริมฝีปากสั่น อึกอักอยู่ครึ่งค่อนวันยังไม่ทราบจะกล่าวกระไรออกมา มันเบิ่งตามองฉากนั้นอย่างพูดไม่ออก ซินหยานผู้ซึ่งปกติกระด้างเย็นชา เวลานี้ยังอ้าปากหวอ ดวงตาเบิกกว้าง ปูดโปนจนแทบหลุดออกมาจากเบ้า สือฟ่งหรงยกมือปิดปาก ตาโตเท่าไข่ห่าน ไม่ได้สังเกตว่าสีหน้าท่าทางของนางแปลกประหลาดเพียงใด
“พวกมัน...พวกมันต้องการชมดูความสนุกสนานหรือไม่?” หยานเล่อตะกุกตะกักอย่างลังเล “เพียงมาชมดู ... พวกมัน...พวกมันไม่ได้มาต่อสู้...”
เผยเหยียนหรานรู้สึกลำคอหวานวูบ สายตามืดทะมึน แทบสิ้นสติไปในบัดดล เมื่อมันเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ใบหน้ากลายเป็นสีแดงฉาน!
สวรรค์! เหล่าปรมาจารย์บรรพชน! โปรดอภัยให้ศิษย์ไม่เอาไหนผู้นี้ด้วย!
หากก่อนหน้านี้ มันเพียงสำนึกเสียใจในการกระทำของมัน ที่บีบบังคับให้จั่วม่อเข้าร่วมการประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่รอบสุดท้าย เวลานี้ มันอยากเอาหัวโขกกำแพงตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด!
คำพูดของหยานเล่อสะท้อนก้องอยู่ในใจมัน
แค่มาชมดู ... พวกมัน...พวกมันไม่ได้มาต่อสู้...!