TWO Chapter 260 ปราศจากการนองเลือด
TWO Chapter 260 ปราศจากการนองเลือด
การที่เผ่าเทียนฉีจะยอมจำนนโดยที่ไม่มีการนองเลือด เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด
ขณะที่กองทัพเดินทางเข้าไปถึงพื้นที่ของเผ่าเทียนเฟิง พวกเขาก็ได้พบกับไห่รี่กู ผู้ที่รีบออกมาต้อบรับและขอยอมจำนน
หลังจากที่เข้าใจความตั้งใจของเขาแล้ว โอหยางไม่รู้ว่าเขาควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่า การกระทำของเขา จะให้ผลเช่นนี้ มันสามารถช่วยให้เขาโน้มน้าวพวกเขาได้ โดยที่เขาไม่ต้องเสียทหารแม่แต่นายเดียว
อย่างไรก็ตาม โอหยางโชวยังไม่ได้ส่งทหารองครักษ์เข้าไป เขาสั่งให้กองกำลังอื่นๆเข้าไปก่อน
กองทัพขนาดใหญ่เป็นดั่งพายุอันเกรี้ยวกราด ในขณะที่พวกเขากำลังเดินทัพเข้าไปในเผ่าเทียนเฟิง ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล สามารถมองเห็นทหารม้าเบาที่เป็นหน่วยสอดแนมจากเผ่าต่างๆได้
โอหยางโชวไม่ได้หยุดหน่วยสอดแนมเหล่านั้น แต่เขากลับแสดงพลังอำนาจของกองทัพเมืองซานไห่ให้พวกเขาเห็นอย่างเต็มที่ ชนเผ่าเร่ร่อนนั้น มักจะหวาดกลัวต่อผู้ที่แข็งแกร่ง และมักจะรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าพวกเขา
ภายใต้ท้องฟ้าและเมฆขาว ทหารมากกว่า 10,000 นาย ได้ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเป็นระเบียบ ถ้าใครได้เห็นฉากนี้ คนๆนั้นจะต้องหวาดกลัวอย่างแน่นอน เพราะขนาดเผ่าขนาดใหญ่ที่สุดในทุ่งหญ้าอย่างเผ่าเทียนฉี ก็ยังมีทหารเพียง 10,000 นายเท่านั้น
หลังจากเดินทัพเข้าไปในค่ายของเผ่าเทียนเฟิงแล้ว ชาวเผ่าเทียนเฟิงก็เดินออกมาดูอย่างอยากรู้อยากเห็น เมื่อพวกเขาได้เห็นกองทัพขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า พวกเขาก็รู้สึกโชคดีที่พวกเขาไม่ได้เลือกที่จะทำสงคราม ถ้าไม่เช่นนั้น พวกเขาทั้งหมดก็อาจจะถูกสังหารตายในสนามรบ
โอหยางโชวสั่งให้กรมทหารป้องกันเมืองมิตรภาพ เข้าไปในค่าย และทำหน้าที่ประจำการแทนนักรบเผ่าเทียนเฟิง หลังจากนั้น พวกเขาทั้งหมดก็ยึดอาวุธและอุปกรณ์ทั้งหมดของกองทัพเผ่าเทียนเฟิงทั้ง 3,000 นาย
แม้ว่าจะเป็นการยอมจำนนโดยปราศจากการต่อสู้ แต่ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือคนทั่วไป พวกเขาทั้งหมดยังคงไม่น่าไว้วางใจ และยังคงมีทิฐิ จึงเป็นธรรมดาที่โอหยางโชวจะระมัดระวัง ไม่ให้พวกเขามีโอกาสหันมาแว้งกัดเขา
หลังจากจัดการทุกอย่างที่เขากังวลเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็เริ่มเข้าไปพบกัลคนสำคัญของเผ่า
ณ เต็นท์ผู้นำเผ่าเทียนเฟิง
โอหยางโชวถูกเชิญให้นั่งด้วยความเคารพ ต้าเรี่ยชิพากลุ่มคนชั้นสูงทั้งหมดของเผ่า มาคำนับโอหยางโชว ซึ่งได้กลายเป็นลอร์ดของพวกเขาแล้ว
“คำนับท่านลอร์ด!”
โอหยางโชวสังเกตเห็นว่า ดวงตาของต้าเรี่ยชิแสดงถึงความขมขื่นออกมาเล็กน้อย และในขณะที่เขาคุกเข่าลง มันดูเหมือนว่าเขาจะไม่เต็มใจนัก
ความคิดต่างๆวิ่งเข้ามาในหัวใจของโอหยางโชว เขายังไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรกับพวกเขาดี เขากล่าวว่า “ท่านทั้งหลายมีความจริงใจในการยอมจำนน มันทำให้ข้ารู้สึกมีความสุขมาก มันคงจะดีมากๆ หากพวกท่านย้ายไปอยู่เมืองซานไห่ และเพลิดเพลินกับความมั่งคั่งของเรา พวกท่านคิดเช่นไร?”
เหล่าคนชั้นสูงทุกคนมองหน้ากัน นี่เป็นวิธีหนึ่งที่เขาจะบอกพวกเขาว่า เขายังคงเฝ้าระวังพวกเขาทุกๆคน
เนื่องจากพวกเขาไม่มีทางเลือก พวกเขาทำได้เพียงเห็นด้วยเท่านั้น
ตั้งแต่ที่ศัตรูเป็นผู้ริเริ่มการยอมจำนน แน่นอนว่าโอหยางโชวจะไม่ฆ่าพวกเขาทุกคนและทำอะไรโง่ๆ แต่ถ้าจะปล่อยคนชั้นสูงเหล่านี้ไว้ในเผ่า แม้แต่โอหยางโชวก็ยังอดกังวลไม่ได้ ดังนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือ พาพวกเขาไปยังเมืองซานไห่ และให้พวกเขาใช้ชิวิตอยู่ที่นั่น
โอหยางโชวยังต้องการจะใช้พวกเขาเป็นตัวอย่างให้กับเผ่าอื่นๆได้เห็นว่า ถ้าพวกเขาไม่สามารถอยู่รอดและไม่มีทางออก การยอมจำนนต่อเมืองซานไห่ยังคงเป็นทางเลือกที่ดี
ในระยะยาว การกำราบเผ่าเทียนเฟิงของพวกเขาในครั้งนี้จะมีความหมายอย่างมาก มันเป็นดั่งการประกาศว่า เมืองซานไห่ได้เข้ามาในทุ่งหญ้าแล้ว และทำหน้าที่เป็นเบาะรองรับที่หน้าเชื่อถือสำหรับเผ่าอื่นๆในทุ้งหญ้าในอนาคต
สำหรับผลประโยชน์ในระยะสั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาได้รับม้าศึกฉิงฟู่จำนวนมาก พร้อมด้วยทหารม้าชั้นสูงอีก 3,000 นาย
จากการคำนวณของเขา นอกเหนือจากม้าศึกฉิงฟู่ที่พวกเขาเตรียมไว้สำหรับทหาร 3,000 นายของพวกเขาแล้ว เผ่าเทียนเฟิงยังคงมีม้าศึกฉิงฟู่อีก 3,500 ตัว
สำหรับทหารชั้นสูงทั้ง 3,000 นายนี้ โอหยางโชวจะส่งพวกเขาไปยังกรมทหารที่ 2, 4 และ5 ของกองพลทหารที่ 1 ส่วนทหารม้า 3,000 นาย ที่ถูกพวกเขาแทนที จะกลายเป็นกรมทหารอิสระของเมืองซานไห่ และจะประจำการอยู่ที่ค่ายทิศเหนือ
สำหรับนายทหาร หัวหน้าทหาร 10 นาย จะถูกแต่งตั้งเป็นหัวหมู่ และหัวหน้าทหาร 100 นาย จะถูกแต่งตั้งเป็นนายกอง สำหรับหัวหน้าทหาร 1,000 นาย พวกเขาแต่ละคนจะเผชิญชะตากรรมที่แตกต่างกัน
ไม่ต้องกล่าวถึงฮูฉีถูที่ถูกกักขังอยู่ เขาจะถูกส่งไปที่คุกเมืองซานไห่ และใช้เวลาของเขาอยู่ที่นั่น
ส่วนอีก 2 คน คนหนึ่งชื่อ โมริเกิ่นเหอ เขาอายุ 45 ปี และเป็นนายทหารที่มีประสบการณ์ แต่เนื่องจากเขามีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง โอหยางโชวจึงกำหนดให้เขาถูกปลดเกษียน และใช้เวลาของเขาในเมืองซานไห่
ส่วนอีกคน เป็นคนที่โอหยางโชวชื่นชมเป็นอย่างมาก เขาเป็นเพียงคนหนุ่มที่อายุเพียง 26 ปี และได้สร้างชื่อให้กับตัวเองในทุ่งหญ้า แต่เขาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเผ่าเทียนเฟิง จริงๆแล้วเขามาจากเผ่าขนาดเล็กเผ่าหนึ่งที่ถูกทำลายโดยเผ่าเทียนเฟิง ต้าเรี่ยชิเองก็ชื่นชมความสามารถของเขา ขนถึงกับทำลายกฎของเผ่า เพื่อแต่งตั้งเขาเป็นผู้นำทหาร 1,000 นาย
ชื่อ : เซ้าปู(ระดับทอง)
อัตลักษณ์ : ชาวเมืองซานไห่
อาชีพ : นายทหารขั้นกลาง
ความจงรักภักดี : 75
ความเป็นผู้นำ : 55
กำลัง : 70
สติปัญญา : 42
การเมือง : 24
ลักษณะพิเศษ : การจู่โจม(ความเร็วในการเคลื่อนที่ของกองกำลัง เพิ่มขึ้น 10%), การยิง(พลังโจมตีด้วยธนู เพิ่มขึ้น 10%)
ฝึกฝน : เทคนิคการยิงหนูเจ้อปี้
อุปกรณ์ : ธนูเส่อเตียว
การประเมิน : ฝึกอบรมการยิงธนูมาตั้งแต่เด็ก มีความแม่นยำสูง เป็นคนตรงไปตรงมา และเอาใจใส่ผู้ใต้บังคับบัญชาของตน
หลังจากที่ดูสถานะของเขาแล้ว โอหยางโชวไม่ลังเลเลยที่จะแต่งตั้งเขาเป็นผู้การแห่งกรมทหารอิสระ กับคนที่คุ้นเคยกับทุ่งหญ้า โอหยางโชวเชื่อว่า เขาจะทำให้ค่ายทิศเหนือแข่งแกร่งยิ่งกว่าหิน
หลังจากปรับโครงสร้างทางทหรเสร็จเรียบร้อยแล้ว กรมทหารที่ 2, 4 และ 5 แห่งกองพลทหารที่ 1, กรมทหารอิสระ และกรมทหารองครักษ์ ทั้งหมดจะได้รับม้าศึกฉิงฟู่ ส่วนที่ยังเหลืออีก 2,000 ตัว จะถูกส่งไปยังคอกม้าที่หุบเขาจีเฟิง
สำหรับค่ายหลักของเผ่าเทียนเฟิง โอหยางโชวตัดสินใจเปลี่ยนมันเป็นค่ายทิศเหนือแห่งใหม่ โดยมีหลินยี่เป็นผู้บัญชาการค่าย และเซ้าปูเป็นรองผู้บัญชาการค่าย
นอกเหนือจากเหล่าคนชั้นสูงที่จะย้ายไปเมืองซานไห่แล้ว เกษตรกรและคนเลี้ยงสัตว์ทั่วไปจะถูกส่งไปยังเมืองมิตรภาพ เนื่องจากพวกเขาเป็นชาวเผ่าเร่ร่อน โอหยางโชวจึงเพียงอนุญาติให้พวกเขาตั้งถิ่นฐานอยู่นอกเมืองเท่านั้น
สำหรับตลาดการค้าที่ถูกทำลาย เมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไป มันได้สูญเสียการใช้ประโยชน์ไปแล้ว และคงไม่มีเผ่าใดเข้ามาทำการค้าอีก ดังนั้น โอหยางโชวจึงไม่ได้สร้างมันขึ้นมาใหม่
การเปลี่ยนแปลงของเผ่าเทียนเฟิงทำให้เผ่าอื่นๆในทุ่งหญ้าตกตะลึงและสั่นสะท้าน พวกเขารู้แล้วว่า ไกลออกไปทางใต้ เป็นดินแดนที่ถูกเรียกว่า เมืองซานไห่ ซึ่งกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่
ความรู้สึกถึงอันตรายได้กวาดผ่านพวกเขาทั้งหมดในทันที เผ่าเทียนเฟิงยอมจำนนโดยปราศจากการต่อสู้ มันเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุด ว่าพวกเขามีความแข็งแกร่งมากเพียงใด และไม่จำเป็นต้องกล่าวอีกว่า หลังจากการยอมจำนนครั้งนี้ ความแข็งแกร่งของเมืองซานไห่จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก
เมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เผ่าที่ขี้ขลาดเหล่านี้ก็ตัดสินใจที่จะรวมกลุ่ม เหล่าคนที่ทะเยอทะยานหันเหความสนใจไปที่เพื่อนบ้านของพวกเขา การตั้งหลักในทุ่งหญ้า ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือการรวมกลุ่มกัน เพื่อขยายความแข็งแกร่งของพวกเขา
เผ่าขนาดกลางเหล่านี้ยังคงไม่กล้าที่จะกำหนดเมืองซานไห่เป็นเป้าหมาย เพราะเผ่าเทียนเฟิงเป็นตัวอย่างที่ดี และพวกเขาก็ไม่อยากเสี้ยง เพาะไม่มีใครรู้ว่า เมืองซานไห่มีกำลังทหารมากเพียงใด
แฟนเพจ : TWOแปลไทย