บทที่ 83 ระดมทุน (อ่านฟรี)
<基里连科 จีหลี่เหลียนเคอ คนรัสเซีย เปลี่ยนเป็นชื่อ คิริเลนโก>
เส้นทางสู่ความร่ำรวยหรอ? ชาวไร่อย่างพวกเราจะไปทำอะไรได้? นอกจากพืชผลของเราแล้ว เราก็ไม่มีอะไรเลย เราเก่งแค่เรื่องทำไร่ทำนาเท่านั้นและไม่มีทักษะอย่างอื่นเลย” เฝิงซิ่งไท่ส่ายหัว สิ่งที่เฝิงหยูพูดมันเป็นจริงไปไม่ได้
“พ่อไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดหรอ? พ่อพูดว่าที่นี่พวกเรามีแต่พืชผล ถ้างั้นเราก็ลองแปรรูปอาหารดูสิ อย่างพวกน้ำมันถั่วเหลือง แป้งสาลี แป้งข้าวโพด หัวบีท (พืชชนิดหนึ่งคล้ายแครอท มักถูกนำมาใช้ผลิตน้ำตาลในทางตอนเหนือ) ก็นำมาแปรรูปได้ง่าย ฉันหาเครื่องจักรมาแปรรูปพืชผลพวกนี้ได้นะ ถ้าหาคนมาใช้เครื่องจักรพวกนี้ได้ ถ้าคนเหล่านั้นไม่โง่จนเกินไป ฝึกสักสองสามวันก็เป็นงานแล้ว”
อุตสาหกรรมเกษตรของของสหภาพโซเวียตถดถอยลงในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา และโรงงานแปรรูปอาหารก็อยู่ในสภาวะกึ่งปิดกิจการ ถ้าคิริเลนโกสามารถจัดการโรงงานผลิตเครื่องจักรทางการเกษตรได้ เขาก็คงไม่มีปัญหากับพวกเครื่องจักรแปรรูปอาหาร
แล้วก็คงไม่ใช่ปัญหาที่จะมีโรงงานแปรรูปในไร่นา แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถหาเงินได้มากนักในตอนแรก แต่ในอนาคตจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะสำหรับยอดขายสินค้านั้น เฝิงหยูสามารถคิดหาทางสร้างความนิยมให้กับสินค้าได้อย่างรวดเร็ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเฝิงหยูก็คือเขาสามารถแก้ปัญหาของคนที่มายืมเงินทุกวันและช่วยเหลือทุกคนในไร่ให้รวยได้
“นี่พูดจริงหรอ? โรงงานผลิตพวกนั้นไม่ใช่ราคาถูกๆ นะ แถมพวกคลังเมล็ดข้าวและกรมการเกษตรก็ผลิตสินค้าพวกนี้เหมือนกัน แน่ใจนะว่าเราจะสามารถขายสินค้าพวกนี้ได้?”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องช่องทางการขายเลย ผมรับรองได้ว่าเมื่อการผลิตอาหารแปรรูปแล้ว มันจะต้องขายออกได้ในราคาที่สูงแน่ๆ เงินสำหรับเครื่องจักรแปรรูปก็ไม่ใช่ปัญหาเช่นกัน เราจะไม่ใช่คนเดียวที่ออกเงินทุน เพราะพวกเราจะระดมทุนกัน”
“ระดมทุนงั้นหรอ?”
“ใช่แล้ว ระดมทุน พรุ่งนี้เราจะใช้ระบบ PA เพื่อแจ้งให้ทุกคนรับรู้ว่าเรากำลังจะก่อตั้งโรงงานแปรรูปอาหาร คนที่สนใจต้องจ่ายเงินเพื่อร่วมลงทุนและรับส่วนแบ่งผลประโยชน์ในโรงงาน สัดส่วนหุ้นจะขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่จ่าย พอสิ้นปี จะมีการจ่ายเงินปันผลตามจำนวนหุ้นที่ถือ มูลค่าหุ้นหนึ่งหุ้นเท่ากับ 100 หยวน และ 1,000 หยวนสำหรับการเข้าร่วมถือหุ้นในโรงงาน ทุกคนในไร่มีสิทธิ์เข้าร่วมทั้งหมด”
“ขั้นต่ำคือ 1,000 หยวนหรอ? มันไม่มากเกินไปหน่อยหรอ จริงอยู่อาจจะมีหลายคนที่สามารถหาเงินจำนวนเท่านี้ได้ แต่ก็คงจะมีไม่เยอะที่ยอมจ่ายจำนวนเท่านั้น” เฝิงซิ่งไท่คิดว่าความคิดนี้ไม่น่าจะเวิร์ค เพราะบางครอบครัวชาวไร่หาเงินได้น้อยกว่า 1,000 หยวน ซึ่งหลังจากหักค่าใช้จ่ายรายวันแล้ว ปีหนึ่งมีเงินเหลือเพียงแค่ 100 หยวนเอง
แม้ว่าบางครอบครัวจะพอมีเงินบ้าง แต่ใครจะเอาเงินมาลงทุนในโรงงานแปรรูปอาหาร? ลูกชายคนนี้เป็นคนเก่งในหลายๆ เรื่อง แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาต้องเรียนรู้ในวงการเกษตร
“พ่อไม่เชื่อผมจริงๆ หรอ? ผมสามารถนำเอาเครื่องจักรแปรรูปอาหารรุ่นใหม่ล่าสุดมาจากสหภาพโซเวียตได้ ปริมาณน้ำมันถั่วเหลืองที่เราผลิตได้จะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าคลังเมล็ดข้าว คุณภาพของแป้งจะดีขึ้น และเรายังสามารถผลิตน้ำตาลได้มากขึ้นจากหัวบีท แบบนี้แล้วพ่อยังคิดว่าเราจะขาดทุนอีกหรอ?”
เฝิงหยูมองดูสีหน้าของพ่อเขาและรู้ว่าพ่อไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด ดังนั้นเขาจึงพูดถึงเครื่องจักรจากสหภาพโซเวียตเพื่อโน้มน้าวพ่อของเขา
“เครื่องจักรจากสหภาพโซเวียตหรอ?” เฝิงซิ่งไท่รู้สึกเชื่อในสิ่งที่เฝิงหยูพูดเมื่อเขาได้ยินคำนี้ เขามีความประทับใจในเครื่องจักรที่ผลิตโดยสหภาพโซเวียตว่ามีความล้ำหน้าและดีกว่าเครื่องจักรภายในประเทศอย่างมาก
“ใช่แล้วครับพ่อ พ่อรอเป็นเถ้าแก่เจ้าของโรงงานได้เลย หลังจากมื้อเย็น เราจะไปที่บ้านของเหวินตงจุนกัน โรงงานนี้ยังคงต้องการการสนับสนุนและช่วยเหลือจากผู้ใหญ่บ้าน”
ตอนสองทุ่ม เฝิงหยูใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงในการพูดโน้มน้าวชักชวนเหวินเต๋อกวาง จนในที่สุด เหวินเต๋อกวาง ก็มั่นใจว่าโรงงานนี้จะได้ผลและจะช่วยให้หมู่บ้านร่ำรวยได้
เช้าตรู่วันถัดมา ทุกคนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงประกาศจากระบบ PA ของหมู่บ้าน หลายครอบครัวเพิ่งเก็บเกี่ยวไร่นาของตัวเองเสร็จและกำลังตากแห้งพืชผลอยู่กลางแจ้ง พวกเขาได้พักเพียงแค่ไม่กี่วันก็ต้องถูกปลุกให้ตื่นด้วยระบบ PA ตั้งแต่เช้าตรู่
“ทุกคนโปรดทราบ ข่าวดี ข่าวดี เฝิงซิ่งไท่จากหมู่บ้านของเราตัดสินใจที่จะสร้างโรงงานแปรรูปอาหารและกำลังระดมทุนจากทุกคน คนใดที่สนใจกรุณามาติดต่อได้ที่สำนักงานของหมู่บ้าน”
ประกาศนี้ดังขึ้นซ้ำหลายรอบตลอดช่วงเช้า ทุกคนในไร่นาได้ยินกันหมด มีหลายคนที่ฟังยังไม่ค่อยไม่เข้าใจก็ตรงไปที่สำนักงานของหมู่บ้านเพื่อสอบถามเพิ่มเติม
“พี่เฝิง ตอนนี้พี่ก็ร่ำรวยแล้ว พี่กำลังจะสร้างโรงงานของตัวเอง แล้วพี่จะมาบอกว่าพี่ไม่มีเงินให้พวกเรายืมงั้นหรอ? ช่วยเราหน่อยไม่ได้หรือ ไหนๆ ก็เป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน ฉันขอยืมแค่ 3,000 หยวนเอง แล้วฉันจะรีบคืนให้พี่ภายในสองสามปีนี้แน่นอน”
“ใช่ พี่เฝิง ฉันก็อยากขอยืมเงินสัก 3,000 หยวนเหมือนกัน เรารู้จักกันมาหลายปีแล้ว และพี่ก็น่าจะรู้จักนิสัยฉันดี”
เฝิงซิ่งไท่ได้แต่นิ่งเงียบ เขารู้จักนิสัยของคนพวกนี้เป็นอย่างดี และนี่ก็คือเหตุผลที่เขาไม่ให้คนพวกนี้ยืมเงิน คนพวกนี้ไร้ยางอายและชอบพูดจาประชดประชัน ถ้าพวกเขาไม่ใช่คนในหมู่บ้านเดียวกัน ป่านนี้เฝิงซิ่งไท่ไล่พวกเขาไปแล้ว!
“ลุงซ่ง ลุงเจิ้ง ทำไมถึงต้องยืมเงินหรอครับ จะเอาเงินไปทำอะไร? เฝิงหยูถามขึ้นมา
“ก็.... แกจะถามอะไรมากมาย? แกมันก็แค่เด็ก ไม่ควรขัดจังหวะเวลาผู้ใหญ่เขากำลังคุยกัน!”
“ก็คงวางแผนเอาไปเล่นพนันละสิ! แกสองคนนี่ไม่รู้จักจำเลยนะ ครั้งที่แล้วก็เพิ่งถูกจับไป ไปให้พ้นเลย ไม่งั้นพวกแกอดได้ผลประโยชน์สวัสดิการของปีนี้แน่!” เหวินเต๋อกวางตะโกนอย่างโมโห ผู้ใหญ่สองคนนี้ตะคอกใส่เด็กในที่สาธารณะ ทำให้ภาพลักษณ์ของหมู่บ้านดูแย่ลง
เหวินเต๋อกวางคือผู้ใหญ่บ้านและมีอำนาจในหมู่บ้านแห่งนี้ หลังจากที่เขาตะคอกด่าสองคนนั้น พวกเขาก็เงียบทันที แต่ทั้งสองก็ยังไม่ออกไปจากสำนักงานและยังนั่งอยู่ที่นั่นเพื่อรอดูสถานการณ์ เฝิงซิ่งไท่กำลังจะสร้างโรงงาน พวกเราจะคอยขัดขวางไม่ให้ทำสำเร็จเอง!
“คนมาที่นี่กันเกือบครบแล้ว ซิ่งไท่ ลองเล่าแผนการให้ทุกคนฟังดูสิ”
เฝิงซิ่งไท่ยืนขึ้นพร้อมกับบอกเล่าในสิ่งที่เฝิงหยูพูดกับเขาเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่เขาไม่ได้พูดถึงเครื่องจักรจากสหภาพโซเวียตเลย เขาพูดแค่ว่าเขาอยากจะก่อตั้งโรงงานแปรรูปอาหาร และใครที่สนใจก็สามารถร่วมลงทุนเพื่อซื้อหุ้นในโรงงานได้ ซึ่งเราเรียกวิธีการนี้ว่าระบบการถือหุ้น ปัจจุบันมรโรงงานเอกชนจำนวนมากในประเทศจีนที่ดำเนินการด้วยวิธีนี้
“ทุกคน อย่าไปฟังเขา เขาอยากจะโกงเงินพวกเรา เงินที่พวกคุณจ่ายไปเพื่อซื้อหุ้นก็จะไปเข้ากระเป๋าของเขา และเขาก็จะเอาเงินไปฝากในธนาคารเพื่อให้ได้ดอกเบี้ย!” ซ่งเต๋อเหลียงตะโกนออกมา
“ใช่แล้ว เฝิงซิ่งไท่รวยมากขนาดนี้ ถ้าเขาอยากจะสร้างโรงงาน ทำไมจะต้องมาระดมเงินทุนจากพวกเราด้วยละ? พวกคุณไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์กันหรอ? มีหลายคนที่ถูกหลอกด้วยแผนการแบบนี้ เฝิงซิ่งไท่คือคนหลอกลวง!” เจิ้งกวางหมิงก็ร่วมตะโกนด้วย
“พวกนายสองคนหุบปาก การปล่อยข่าวลือถือเป็นความผิดตามกฎหมาย นายสองคนก็แค่คนขี้เกียจที่ไม่อยากทำงาน แล้วยังจะมีหน้ามาพูดถึงคนอื่นอีกหรอ? ขายหน้าแทนพ่อแม่จริงๆ คุณหลิวนักบัญชี ช่วยพาสองคนนี้ออกไปที” เหวินเต๋อกวางตะโกนอย่างโมโห เขาเรียกทุกคนมารวมตัวที่นี่ และชายสองคนนี้กลับมาเรียกเฝิงซิ่งไท่ว่าเป็นคนหลอกลวงและขี้โกง แบบนี้ก็เหมือนกับด่าเขาไปในตัวด้วย
เฝิงหยูกลับรู้สึกพอใจกับการกระทำของสองคนนี้ เพราะตั้งแต่นี้ต่อไป คงจะไม่มีกล้ามาที่บ้านเพื่อยืมเงินอีก ถ้ามีคนกล้ามายืมจริงๆ เฝิงซิ่งไท่คงจะขอให้พวกเขาลงทุนในโรงงานแทน ก็เหมือนกับการโปรโมทแอมเวย์ให้กับตัวแทนประกันภัย
เฝิงหยูรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสสำหรับคนในหมู่บ้าน และเรื่องนี้เป็นเรื่องของความสมัครใจ ไม่มีการบังคับใดๆ ทั้งสิ้น เขาสามารถรับประกันให้กับคนที่ลงทุนได้ว่าโรงงานนี้จะสร้างผลกำไรได้มากกว่าการทำไร่นา แล้วคนที่ไม่ได้ลงทุนจะต้องเสียภายหลัง!
แม้ว่าคนที่ก่อปัญหาทั้งสองคนนั้นจะถูกไล่ออกไปแล้ว แต่ก็มีหลายคนที่เดินออกไปเช่นกัน พวกเขาคิดว่าหมู่บ้านจะมีการแจกของ แต่กลับกลายเป็นว่าจะมาเอาเงินจากพวกเขา คงเป็นเรื่องมหัศจรรย์ถ้าหากโรงงานแปรรูปอาหารสามารถสร้างผลกำไรได้!
ในตอนท้าย สรุปเหลือชาวบ้านเพียงแค่เจ็ดคน พวกเขาต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งหนึ่งในนั้นมีพ่อของหลิวจี้ฉวนด้วย เฝิงหยูสาบานในใจว่าหากคนพวกนี้ลงทุน 1,000 หยวนในโรงงานแห่งนี้ พวกเขาจะต้องได้รับเงินคืน 10,000 หยวนภายในเวลา 3 ปี!