บทที่ 81 การเก็บเกี่ยว (อ่านฟรี)
หนึ่งวันก่อนถึงวันชาติ โรงเรียนจะจัดกิจกรรมหนึ่งซึ่งทำกันเป็นประเพนีทุกๆปี โดยเรียกนักเรียนทุกคนได้ไปที่ไร่นาเพื่อทำการเก็บเกี่ยว เพื่อให้นักเรียนประสบกับความยากลำบากของชาวนา และไม่กินทิ้งกินขว้าง
ทุกๆห้องเรียนจะมีบทกวีสองสองบทติดไว้ที่ผนังในห้องเรียน ล้วนเป็นกวีเกี่ยวกับความยากลำบากในการทำไร่ทำนา
"ภายใต้ดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้า ทำนาเหงื่อไหลย้อยหยดลงในดิน ข้าวทุกเม็ดที่กลืนกิน เหนื่อยใจแทบสิ้นใครจักรู้ได้ "
"ฤดูใบไม้ผลิหว่านเพียงหนึ่งเมล็ด ฤดูใบไม้ร่วงกลับเก็บเกี่ยว10,000เมล็ด ผืนแผ่นดินปลูกข้าวทั่วสารทิศ แต่มีชาวนาหิวโหยอดตาย "
นี่เป็นบทกวีของหลี่เซินผู้เป็นนักกวีที่มีชื่อเสียงในราชวงศ์ถัง แต่เฝิงหยู่ผู้ที่ไม่ชื่นชอบประวัติศาสตร์ก็ยังรู้ว่า หลี่เซินเขียนบทกวีนี้เป็นเพียงการเอาใจจักรพรรดิ เพื่อใช้เป็นบันไดในการเลื่อนตำแหน่ง และหลังจากที่หลี่เซินได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เขาก็มีความสุขกับชีวิตของเขาและไม่เคยสนใจเรื่องความยากลำบากของเกษตรกรเลย
แม้ว่าเฝิงหยู่ไม่ชอบหลี่เซิน แต่บทกวีสองบทนี้ก็เขียนได้ซึ้งจับใจจริงๆ
นักเรียนนั่งรถเมล์ที่ทางโรงเรียนจัดไว้ ใช้เวลา 2 ชั่วโมงและในที่สุดก็ถึงไร่นาทางตอนเหนือของเมืองปิง ไร่นานี้อยู่ห่างจากไร่นาครอบครัวของเฝิงหยู่โดยใช้เวลานั่งรถประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น
ที่นี่มีทุ่งข้าวโพดผืนหนึ่ง เฝิงหยู่และเพื่อนนักเรียนรับหน้าที่ตัดข้าวโพด เมื่อตัดข้าวโพดเสร็จก็กองซ้อนกันเพื่อรอให้รถแทรกเตอร์ขนพวกมันออกไป
ปัจจุบัน พืชที่ปลูกส่วนใหญ่ในมณฑลหลงเจียงคือข้าวสาลี ตามด้วยถั่วเหลือง และมีส่วนน้อยที่ปลูกข้าวโพด นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาต้องเดินทางไกล เพราะที่นี่คือไร่ข้าวโพดที่ใกล้ที่สุดที่โรงเรียนสามารถติดต่อได้
ทั้งสามชั้นเรียนมีนักเรียนประมาณ 500 คน แบ่งกลุ่มตามชั้นเรียน แล้วทางโรงเรียนก็จัดสรรพื้นที่ให้แต่ละชั้นเรียน
หนึ่งห้องมีนักเรียนประมาณ 40 คน ต้องดูแลพื้นที่ขนาดเล็ก หากอยู่ในไร่จริงๆ คนงานเพียง 5 คนก็สามารถเก็บเกี่ยวเสร็จภายในหนึ่งวัน ในสายตาของเฝิงหยู่ ดูเหมือนนักเรียนทุกคนกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ชีวิตของชาวนา
แต่ยังมีนักเรียนบางคนที่บ่นโอดครวญ เดิมที ครอบครัวของพวกเขาทำเกษตรกรรม ทั้งที่พวกเขาอยู่บ้านโดยไม่ต้องทำงานอะไร แต่ต้องมาเก็บเกี่ยวข้าวโพดที่โรงเรียน
เฝิงหยู่ เหวินตงจุนและนักเรียนคนอื่นๆที่มาจากครอบครัวเกษตรกรรม ต่างก็คุ้นเคยกับการทำไร่มากกว่านักเรียนที่อาศัยอยู่ในเมือง พวกเขาได้รับมอบหมายให้ตัดข้าวโพด ส่วนนักเรียนที่เหลือจะตามหลังเก็บข้าวโพดเอาไปกองรวมกัน
เหวินตงจุนเหมือนวัวถึก ตัด ตัด ตัดต้นข้าวโพดด้วยความเร็วที่น่าตกใจ จนนำหน้าคนอื่นไปไกล
"ดูซะ ฉันตัดเร็วมากไหมละ ไม่เหมือนพวกนาย ช้าอย่างกับหอยทาก " เหวินตงจุนวางเคียวบนไหล่ แล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
เฝิงหยู่ได้แต่ส่ายหัวและคิดว่า: "งี่เง่าเสียจริง"
"ตงจุน นายเห็นไหมว่าในบรรดานักเรียนทั้งหมดนายตัดข้าวโพดได้ไวที่สุด? เร็วกว่านักเรียนปีที่ 3 นายรู้ไหมว่าเพราะอะไร? "
เหวินตบจุนเกาหัวของเขาและถามว่า: "ทำไม?"
"เพราะทุ่งนามีเพียงแค่นี้ ถ้านายตัดต้นข้าวโพดเสร็จตอนนี้ แล้วนายจะทำอะไรในตอนบ่าย? หรือนายจะนั่งดูนักเรียนคนเก็บเก็บข้าวโพดไปกองรวมกัน? ซึ่งหมายความว่ายิ่งเร็วเท่าไหร่นายก็ยิ่งต้องทำงานมากเท่านั้น! คิดว่าครูจะชื่นชมนาย หรือนักเรียนคนอื่น ๆ จะยกยอหรือไง? "
เหวินตงจุนพูดอะไรไม่ออก เขาตระหนักได้ว่าไม่ใช่นักเรียนคนอื่นๆทำงานได้ช้ากว่าตัวเอง แต่พวกเขากำลังจงใจแอบอู้ พอเขามองไปรอบๆก็เห็นว่านักเรียนทุกคนต่างพูดคุยกันในขณะที่ทำงาน ท้ายที่สุดเขาเหมือนคนโง่ที่ทำงานอย่างหนักเพียงคนเดียว!
"เฮ่อ เอาอย่างพวกเราสิ ทำงานสักนิด ยืนพักผ่อนสักหน่อย หรือนั่งพักบ้าง ถ้านายยังทำงานอย่างนี้ต่อไป มันจะกลายเป็นว่าพวกเราขี้เกียจ นายคิดว่ามันดีเหรอ? " เฝิงหยู่อดทนสอนเหวินตงจุน เจ้าหนูเหวินตงจุนไม่มีความคิดความอ่านเลยหรือไง?
เหวินตงจุนไม่พูดอะไรสักคำ เขานั่งลงบนก้านข้าวโพดและพักผ่อน แต่หลังจากนั้นสักพักเขาก็นั่งไม่ติด เขาไม่มีอะไรจะทำ ทั้งยังไม่มีใครคุยกับเขา นั่งอยู่เฉยๆน่าเบื่อจะตายไป
เหวินตงจุนมองก้านข้าวโพดแล้วจุดประกายความคิด
เฝิงหยู่ก็มองก้านข้าวโพดสองอันที่ยังคงเป็นสีเขียวอยู่ เขาใช้เคียวตัดมันจนขาด จากนั้นเขาก็หั่นชั้นนอกของก้านเพื่อเผยให้เห็นส่วนที่นุ่มฉ่ำ กัดลงไปหนึ่งครั้ง ลิ้มรสน้ำหวานเต็มปากเต็มคำ
ในภาคใต้มีอ้อย ส่วนภาคเหนือมีจำพวกข้าวโพดและข้าวฟ่าง เรียกว่าข้าวโพดหวาน มีขนาดเท่านิ้วชี้ รสชาติคล้ายอ้อย ถ้ามีฝนตกบ่อย ดวงอาทิตย์ไม่จ้า ก้านข้าวโพดเติบโตช้า จะมีบางท่อนที่มีรสหวานละมุน
เฝิงหยู่ใช้เคียวตัดส่วนที่เขากัดทิ้ง จากนั้นก็ปอกชั้นนอกอีกท่อนของก้านข้าวโพดออก เขาถือก้อนข้าวโพดเดินตรงไปหาหลี่น่า
"หิวน้ำไหม กินก้านข้าวโพดหวานสิ "
เฝิวหยู่ยื่นก้านข้าวโพดที่เขาได้ลิ้มรสแล้วให้หลี่นา ส่วนอีกก้้านหนึ่งถูกแม่สาวอ้วนเพื่อนร่วมโต๊ะจองหลี่น่าแย่งไป ตอนนี้นักเรียนคนอื่นๆไม่กล้าเล่นกับหลี่นา ทั้งหมดนี้เป็นเพราะยัยอ้วนกระจายข่าวลือว่าครอบครัวของเฝิงหยู่เป็นกลุ่มมาเฟียอันตพาล หลี่น่าจึงพลอยติดร่างแหไปด้วย
หลี่นามีท่าทางลังเล แต่เธอที่มีความคิดของเด็กสาว จะไปสู้ "ภูมิปัญญา" กว่าสี่สิบปีของเฝิงหยู่ได้อย่างไร? เพียงคำพูดไม่กี่คำก็สามารถทำลายความลังเลของหลี่น่าได้ ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็กลับมาเหมือนเดิม
หลี่นากัดก้านข้าวโพดหนึ่งคำ และเคี้ยวอย่างช้าๆ เธอเผยรอยยิ้มที่งดงาม จนดวงตาของเธอหรี่เป็นเสี้ยวพระจันทร์
"หวานจริงๆด้วย."
"โวะโวะโวะ ก้านข้าวโพดหวานอะไรกัน? อย่างกับท่อระบายน้ำ แถมยังมีรสฝาด! " ยัยอ้วนพ่นน้ำลายไปพลาง บ่นพึมพำไปพลาง
เฝิงหยู่อธิบายอย่างใจเย็น: "บางทีเธออาจโชคร้าย นั่นก็แค่ต้นข้าวโพด ไม่ใช่ข้าวโพดหวานสักหน่อย เป็นเรื่องปกติถ้ามันจะไม่หวาน "
หลี่นาเมียงมอง แล้งแบ่งก้านข้าวโพดของเธอเป็น 2 ท่อน ท่อนหนึ่งส่งให้ยัยอ้วน ยัยอ้วนกัดกินด้วยใจเบิกบาน รสชาติมันหวานจริงๆ!
"แบ่งชิ้นนี้เป็น 2 ท่อน และเราแบ่งกันคนละครึ่ง" หลี่น่าส่งก้านข้าวโพดอีกท่อนให้เฝิงหยู่ เพราะเธอเห็นริมฝีปากของเฝิงหยู่เริ่มแห้ง
"ฉันหักเป็นสองท่อนไม่ไหวหรอก เธอกินเถอะ ฉันตัดต้นข้าวโพดด้านหน้า น่าจะหาต้นไหม่ได้ "
หลี่น่ายังยืนกรานส่งก้านข้าวโพดให้เฝิงหยู่ อย่างน้อยที่สุดเฝิงหยู่ควรจะกัดสักคำ เฝิงหยู่เอนไปข้างหน้า และเตรียมพร้อมที่จะกัดส่วนที่หลี่น่ากัดไปแล้ว
“ใคร? ใครตีฉัน?” เฝิงหยู่หันมองไปรอบ ๆอย่างโมโห ตอนที่เขากำลังจะกัดก้านข้าวโพด เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างตีที่หลังศีรษะ
"ฮ่าฮ่ามัน เป็นไงบ้างล่ะ? คันธนูข้าวโพดที่ฉันตัดมาไม่เลวเลยใช่ไหม? อยู่ไกลขนาดนี้ ยังตีเข้ากลางกระหม่อมนายได้พอดีเป๊ะ " ห่างจากที่นั่นเพียงไม่กี่เมตร เหวินตงจุนได้ถือธนูก้านข้าวโพดและมองมาทางเฝิงหยู่อย่างภาคภูมิใจ สิ่งที่ตีหลังศีรษะของเฝิงหยู่คือชิ้นส่วนของก้านข้าวโพด
ไอ้นี่ เจ้าโง่นี่อีกแล้ว ขัดจังหวะฉันตลอด!
"คันธนูต้นข้าวโพด? ฉันก็อยากจะดูว่าคันธนูของนาย จะแม่นกว่าการขว้างของฉันหรือเปล่า! "
เฝิงหยู่หยิบเศษก้านข้าวโพดซึ่งยัยอ้วนได้โยนทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ ใช้มือทำให้มันหักออกเป็นสองส่วน และขว้างไปทางเหวินตงจุน เหวินตงจุนถอยหลังไปพลางพร้อมทั้งพยายามโจมตีกลับ เฝิงหยู่หักก้านข้าวโพดเป็นชิ้นๆโยนใส่เหวินตงจุนหลายต่อหลายครั้ง เขาต้องสอนเจ้าบ้านี่ให้หลาบจำ!
หลีนาเห็นเฝิงหยู่หักก้านข้าวโพดออกเป็นท่อนเป็นท่อน เธอจำได้ว่าเมื่อกี้เฝิงหยู่พูดว่าเขาไม่สามารถหักก้านข้าวโพดได้ ทั้งยังจะกัดก้านข้าวโพดที่เธอกัดไปแล้ว ใบหน้าของเธอจึงแดงฉ่า
บันทึกของผู้เขียน: หลี่เซินไม่ได้เป็นคนดี เขามีชื่อเสียงในการรับราชการที่ไม่ดีนะด มีคำกล่าวที่เขาชอบกินลิ้นไก่ ถึงกับกินลิ้นไก่ของไก่หลายสิยตัวได้!