ตอนที่แล้วบทที่ 139 รูปแบบค่ายกลเต่าอมตะ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 141 คู่ต่อสู้ของจั่วม่อ  

บทที่ 140 หว่อหลี  


 

ฉางเหิงกับคนหน้าเหลืองปะทะกันอย่างดุเดือด

พลังฝีมือของมันเมื่อเทียบกับตอนที่ประมือกับจั่วม่อ ไม่ทราบว่าแข็งแกร่งขึ้นกี่เท่าต่อกี่เท่า แหวนทองแดงรูปทรงประหลาดอันมีนามว่ากระบี่แมงมุมโลหิต หมุนคว้างเป็นกังหัน ทุกครั้งที่แกว่งเป็นคลื่น จะสาดแสงสีเลือดเหนียวข้น และกลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งลอยออกมา

ชายหน้าเหลืองกลับรับมืออย่างไม่ลำบากกินแรง ขวานสัมฤทธิ์สองคมบินร่อนอยู่รอบกาย ขวานสัมฤทธิ์สองคมเปล่งประกายเขียวอมฟ้าจางๆ เมื่อบินผ่านไปทางใด จะก่อเกิดม่านสีเขียวอมฟ้าชั้นหนึ่ง แสงสีเลือดของแมงมุมโลหิตไม่อาจเจาะทะลุม่านแสงสีเขียวอมฟ้าที่ดูเปราะบางนี้ได้

“เคล็ดวิชากลั่นกรองโลหิต วิธีฝึกปรือคลุมเครือไม่น้อย” ชายหน้าเหลืองกล่าว “น่าเสียดายที่เจ้าไม่ได้ฝึกฝนตามเคล็ดวิชาที่ถูกต้อง มีเพียงรูปร่างภายนอกเท่านั้นเอง”

“มีเพียงรูปร่างภายนอก?” ฉางเหิงม่านตาหดแคบลง

มันกระดิกนิ้วเบาๆ กระบี่แมงมุมโลหิตหลุดออกจากนิ้ว บินร่อนขึ้นไปบนฟ้า ทันทีที่กระบี่หลุดออกจากปลายนิ้ว ก็เปลี่ยนเป็นเงาร่างมหึมา

ตูม!

หกขาหยาบหนากระแทกพื้นอย่างหนักหน่วง ฝุ่นผงฟุ้งตลบ พื้นดินสะเทือนเบาๆ แมงมุมโลหิตจ้องมองชายหน้าเหลืองอย่างดุร้าย เมื่อเทียบกับตอนที่เผชิญกับจั่วม่อ ร่างกายมันใหญ่โตกว่าเดิมเป็นเท่าเดิม ขาแมงมุมทั้งหกทั้งยาวทั้งแกร่ง เต็มไปด้วยหนามตะขอแหลมคม ข้อต่อดูแข็งแรงมากขึ้น หยาบหนาทรงพลัง ลวดลายสีเข้มบนพื้นผิวของแมงมุมเลือดเห็นชัดเจนกว่ากาลก่อน มีความมันวาวคล้ายโลหะอยู่บ้าง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแข็งปานใด

สิ่งที่น่าสยดสยองที่สุดคือใบหน้าของแมงมุมโลหิต ใบหน้าแบนๆ นั้น คล้ายมีเส้นสายบางอย่างที่ชวนให้นึกถึงใบหน้ามนุษย์ ใบหน้าคล้ายมนุษย์นี้ดูดุร้ายอำมหิตยิ่ง แผ่ซ่านบรรยากาศอันโหดเหี้ยมออกมา

“อ้อ ไม่เลว สามารถฝึกปรือจนเกือบถึงขั้นใบหน้ามนุษย์ เจ้ามีพรสวรรค์อยู่บ้างจริงๆ” คนหน้าเหลืองชมเชย จากนั้นกล่าว “อย่างไรก็ตาม บางส่วนในเคล็ดวิชาของเจ้าไม่ถูกต้อง หากเจ้าไม่เปลี่ยนให้ถูก จะมีปัญหาตามมาไม่สิ้นสุด”

เป็นครั้งแรกที่ใบหน้าของฉางเหิงเผยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นวาจาหรือท่าทาง ชายหน้าเหลืองก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ว่ามันคุ้นเคยกับเคล็ดวิชาของฉางเหิง ฉางเหิงอาจเป็นศิษย์พรรคอัจฉริยะปราณ แต่เคล็ดวิชาที่มันฝึกปรือไม่ใช่เคล็ดวิชาของพรรค มันได้รับกระบี่แมงมุมโลหิตและเคล็ดวิชานี้จากซิวเจ่อที่มันสังหาร

อย่างไรก็ตาม เคล็ดวิชาที่มันได้รับไม่สมบูรณ์ เห็นได้ชัดว่าเจ้าของเดิมไม่ได้ครอบครองเคล็ดวิชานี้ผ่านช่องทางที่ถูกต้องเหมาะสม แม้ว่าเคล็ดวิชากลั่นกรองโลหิตมีพลังอันยิ่งใหญ่ แต่ในเวลาเดียวกันก็อันตรายกว่าเคล็ดวิชาทั่วไปมาก เพียงประมาทสักเล็กน้อย แมงมุมโลหิตอาจย้อนกลับมาฆ่ามันเสียเอง อย่าได้เห็นว่าฉางเหิงปกติดุดันอำมหิต แต่เมื่อฝึกปรือเคล็ดวิชา มันจะระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง

วาจาของคนหน้าเหลืองแทงใจดำของฉางเหิงอย่างถนัดถนี่

ฉางเหิงจู่ๆ ก็รั้งแมงมุมโลหิตกลับมา ถามอย่างรวบรัดว่า “ต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยน?”

ชายหน้าเหลืองมีสีหน้าชื่นชม “มาหาข้าหลังจากจบสิ้นการประลอง”

กล่าวจบคำ ก็หายวับไปจากจุดที่ยืน

ฉางเหิงใจใจสั่นสะท้าน ไม่ว่าชายหน้าเหลืองจะหลอกลวงมันหรือไม่ แต่เพียงดูจากท่าร่างเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าคนหน้าเหลืองผู้นี้มีแต่จะเก่งกาจกว่ามัน โดยไม่มีทางด้อยกว่า

เมื่อเทียบกับการต่อสู้อันตระการตาของคู่อื่นๆ แล้ว ฉางเหิงกับคนหน้าเหลืองนับตั้งแต่ปะทะกันครั้งแรก จนกระทั่งแยกจากกันไป เป็นเวลากระชั้นสั้นเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น ไม่ได้กระตุ้นความสนใจของผู้ใด

 

เหมิงชิงราวกับชะมดตัวหนึ่ง ย่องกริบผ่านแนวป่าระหว่างภูเขาอย่างระมัดระวัง มันมีฝีมือที่สุดทางด้านทักษะปกปิดร่องรอยและลอบสังหาร เคยหลบหนีเอาชีวิตรอดจากการไล่ล่าของยอดฝีมือด่านจินตันมาแล้ว แต่คราวนี้มันระวังตัวมากยิ่งขึ้น ยอดเขาสิบห้ายอดแม้ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ แต่หากเกิดสงครามระหว่างซิวเจ่อด่านหนิงม่ายหนึ่งร้อยคน สนามรบนี้ก็ไม่ได้นับว่าใหญ่โตกระไร ตรงกันข้าม กลับเป็นสนามรบที่เล็กเกินไปเสียด้วยซ้ำ

ในเมื่อสนามประลองมีขนาดเล็ก การต่อสู้จะยิ่งสับสนวุ่นวายและรุนแรงมาก สิ่งที่ทำให้มันต้องระมัดระวังมากขึ้น คือยกเว้นตัวมันเอง คนที่เหลืออีกเก้าสิบเก้าคน ทั้งหมดล้วนเป็นศัตรูของมัน

แตกต่างจากผู้เข้าประลองคนอื่นๆ เหมิงชิงมีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่มันนึกถึงเรื่องนี้ ต้องรู้สึกแปลกพิกลอยู่บ้าง เพียงแค่ซิวเจ่อด่านจู้จีผู้หนึ่ง ยังจะมีคนยอมเสียจิงสือจ้างมันมาลอบสังหารด้วย? ในใจมันดูถูกเหยียดหยาม แค่ซิวเจ่อด่านจู้จี ไม่ทราบผ่านเข้ามายังการประลองรอบสุดท้ายได้อย่างไร?

อย่างไรก็ตาม มันเมื่อรับจิงสือของผู้อื่น ก็ตั้งใจจะทำงานให้ลุล่วงหมดจด ในธุรกิจการค้าของมัน ชื่อเสียงที่ดีงามเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง พลังฝีมือของมันมีจำกัด ไม่สามารถรับงานที่ยากลำบากได้มากนัก ปกติมีชีวิตอยู่อย่างขัดสนยิ่ง คราวนี้มาเข้าร่วมประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ ก็เพียงเพราะหมายตาของรางวัล ลองเสี่ยงดวงดูว่ามันจะพอมีโชคบ้างหรือไม่ ไม่ได้คาดหวังว่าโชคจะมาถึงจริงๆ บางคนมาเสาะหามันเอง เพื่อการค้ารายเดียว

ค่าตอบแทนน่าสนใจไม่น้อย ที่สำคัญที่สุด เป้าหมายยังเป็นเพียงซิวเจ่อด่านจู้จีในงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ หากเป็นคนอื่นมันอาจไม่มั่นใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเป็นจั่วม่อ มันก็รับทำการค้าครั้งนี้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เหมิงชิงได้ดูการต่อสู้ของเฉาอันกับจั่วม่อ กล่าวตามความสัตย์ อ่อนแอเอาชนะแข็งแกร่ง มันค่อนข้างชื่นชมจั่วม่อไม่น้อย ในใจมันถึงกับสงสัยว่าผู้ว่าจ้างน่าจะเป็นเฉาอันนั่นเอง เฉาอันไหนเลยจะทานทนกับผลลัพธ์เช่นนี้ได้ หากจะลอบลงมือจากเงามืดเช่นนี้ก็นับว่าสมเหตุสมผลยิ่ง

อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้เกี่ยวข้องอันใดกับมันเล่า? มันย่อมจะไม่ขัดแย้งกับจิงสืออย่างแน่นอน!

ทุกวันนี้ การหาเลี้ยงชีพช่างลำบากยากเย็น นอกจากมีฝีมือทางด้านปกปิดร่องรอยแล้ว พลังฝีมือของเหมิงชิงก็พื้นเพธรรมดา ปกติมีการค้าไม่มากนักที่มันสามารถทำได้ แต่คราวนี้มันเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น มันแยกแยะว่าการที่จั่วม่อสามารถพิชิตเฉาอันในคราวนั้น เหตุผลหลักเป็นเพราะเฉาอันประมาทคู่ต่อสู้ มิหนำซ้ำจั่วม่อยังเตรียมการพรักพร้อม หากเปลี่ยนเป็นมัน จะไม่ยอมปล่อยให้จั่วม่อมีโอกาสมากมายถึงเพียงนั้น ตั้งแต่เริ่มแรกเหมิงชิงก็ไม่คิดจะต่อสู้อย่างเปิดเผยอยู่แล้ว ไม่ว่าจั่วม่อจะอ่อนแอสักเพียงใด มันก็ยังยืนกรานจะลอบสังหาร จะอย่างไรมันก็สนใจแต่เพียงจิงสือเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เพื่อดำเนินการค้ารายนี้ให้เสร็จสิ้น ก่อนอื่นมันต้องหาจั่วม่อให้พบ นี่เป็นจุดที่มันรู้สึกลำบากที่สุดในการค้ารายนี้

เอาเถอะ จิงสือไม่ได้ร่วงหล่นลงมาจากฟ้าเสียหน่อย หากไม่มีความยากลำบาก ผู้อื่นจะต้องมาเสียจิงสือมากมายจ้างมันหาอันใด

เหมิงชิงควบคุมร่างกายอย่างระมัดระวัง เป็นดั่งเงาพร่าเลือน ค่อยๆ เล็ดลอดผ่านแนวป่า สีสันบนร่างมันกลืนเข้ากับสภาพแวดล้อม กลิ่นอายของมันถูกเก็บกักไว้ภายในร่างกาย ราวกับว่ามันไม่มีตัวตน ยากมากที่จะตรวจพบลมหายใจของมัน อาศัยพลังของความสามารถเฉพาะตัวนี้ ระหว่างทางไม่มีผู้ใดพบมัน วันนี้เหมิงชิงยิ่งระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ รอบด้านเต็มไปด้วยซิวเจ่อด่านหนิงม่าย หลายต่อหลายคนยังเป็นยอดฝีมือ หากมันบังเอิญพบเข้า ย่อมไม่มีโอกาสชนะแม้แต่น้อย

หืมม์ ด้านหน้ามีหุบเขา

เหมิงชิงตกลงใจลองไปชมดู จั่วม่อพลังบำเพ็ญเพียรต่ำต้อยกว่าผู้อื่น ย่อมไม่กล้าเดินส่ายอาดๆ ไปรอบๆ หลังจากรับงานนี้ มันก็ขบคิดใคร่ครวญตลอดมา ได้ข้อสรุปว่า มีโอกาสสูงที่จั่วม่อจะหลบเข้ามุมใดมุมหนึ่ง และใช้วิธีก่อตั้งค่ายกลเพื่อป้องกันตัวเอง ดังนั้นตลอดทางที่ค้นหา มันจึงใส่ใจกับที่หลบซ่อนตัวเช่นหุบเขาหรือที่ซ่อนอื่นๆ เป็นพิเศษ

ปากทางเข้าหุบเขาแห่งนี้คับแคบจนน่าหวั่นใจ เหมิงชิงไม่กล้าทะเล่อทะล่าเข้าไป แต่อาศัยภูมิประเทศโดยรอบเพื่อคืบคลานเข้าไปภายใน

 

ภายในหุบเขา หลัวหลีนั่งไขว้ขาท่าดอกบัว ดวงตาปิดสนิท กระบี่บินของมันลอยนิ่งเงียบอยู่ด้านข้าง มันประหนึ่งภูเขาไฟเจียนระเบิด ฉากหน้าดูสงบงัน แต่เจตจำนงกระบี่เดือดพล่านอยู่ภายใน

วันนี้เป็นครั้งแรกที่มันใช้เคล็ดกระบี่หว่อหลีในการต่อสู้!

ความตื่นเต้นที่ไม่อาจอธิบายได้พลุ่งพล่านอยู่ในใจ ความตื่นเต้นที่ไร้นามเรียกขานนี้ เป็นเหมือนเปลวไฟอันไร้สุ้มเสียง แผดเผาไปทั่วทุกหนแห่งในร่างกายมัน

แต่หลัวหลีไม่ได้ขยับแม้แต่ปลายนิ้ว สงบนิ่งประดุจหลวงจีนชราที่จมอยู่ในฌานสมาธิ มันพยายามระงับยับยั้ง ...ระงับยับยั้งความตื่นเต้นและความปรารถนาที่จะต่อสู้!

อากาศรอบตัวมันเคลื่อนไหวโดยไม่มีลมผลักดัน ภายในหุบเขาเล็กๆ กระแสอากาศราวกับพายุหมุนเริ่มพัดไปทั่ว แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องอ้าปากค้างก็คือ ไม่ว่ากระแสลมภายในหุบเขาจะรุนแรงสักเท่าใด แต่จากปากทางเข้าหุบเขาไม่มีร่องรอยให้ทราบแม้แต่น้อย

ทันใดนั้น หลัวหลีก็ลืมตา สองตาทอประกายเจิดจ้า!

มีคนเข้ามา!

เคล็ดกระบี่หว่อหลีถูกสร้างขึ้นโดยมีเคล็ดกระบี่ไร้ลักษณ์กับเคล็ดกระบี่เวิ้งว้างเป็นเชือก และมีเคล็ดกระบี่เมฆา เคล็ดกระบี่เพลิงแดง และเคล็ดกระบี่มรกตเป็นดั่งลูกประคำร้อยเรียงอยู่บนเส้นเชือก มันใส่ความคิดลงไปมากมาย แม้ว่าจะถูกจำกัดด้วยพลังบำเพ็ญเพียรและวิชาความรู้ที่มี แต่ก็ยังคงมีสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากมาย กระทั่งอาจารย์ลุงซินหยานยังต้องชื่นชม

หลัวหลียังคงนั่งไขว้ขาอยู่กับที่ แต่จิตสำนึกของมันขยายออกไปในรัศมีสิบจั้ง โดยมีร่างของมันเป็นจุดศูนย์กลาง หินภูเขาและต้นไม้ใบหญ้าค่อยๆ พร่าเลือน ประดุจอันตรธานหายไปท่ามกลางช่องว่าง สุดท้ายเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่าผืนหนึ่ง

หลัวหลีนั่งอยู่ใจกลางห้วงสุญตา

เหล่าสัตว์เล็กสัตว์น้อย หากเข้ามายังห้วงสุญตาผืนนี้ จะกลายเป็นเห็นได้ชัดเจน หลัวหลีสามารถพบเห็นได้อย่างง่ายดาย

นี่ราวกับหยดหมึกสีดำปรากฏขึ้นบนกระดาษขาวดุจหิมะแผ่นหนึ่ง ไม่ว่าหยดหมึกดำจะเล็กละเอียดสักเท่าใด จะยังคงเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เห็นได้ชัดเจนอยู่ร่ำไป

เหมิงชิงร่างกายผสานกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม ยากจะพบเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ภายในห้วงสุญตาที่อยู่ในจิตสำนึกของหลัวหลี มันพบว่ามีคนอื่นเข้ามา!

ความตื่นเต้นที่ระงับไว้ในอกเป็นเวลานาน ในที่สุดพบช่องทางระบายออก

ตรงข้ามกับความตื่นเต้นอันร้อนระอุในดวงตา สีหน้าของมันกลับเคร่งขรึมจริงจัง มือขวาผายออกจากตัว ผนึกท่ามุทรา นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วก้อยจรดเข้าหากัน อีกสามนิ้วชี้ขึ้นฟ้า

กระบี่บินที่ลอยนิ่งประหนึ่งสัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้นจากความฝัน เปิดตาสีแดงเลือด เผยคมเขี้ยวขาววับคมกริบ

เสียงกระหึ่มสดใสดังขึ้นกลางอากาศ

บนตัวกระบี่ปรากฏริ้วแสงหนึ่งแดงหนึ่งเขียวพันพัว ประดุจคู่รักกอดรัดอย่างรุ่มร้อน หฤหรรษ์สุดขั้ว!

“แยก!”

เสียงถอนหายใจแผ่วเบา ไม่อาจสืบสาวค้นหาที่มา ราวกับดังแว่วจากที่ห่างไกล แต่ก็คล้ายรำพึงอยู่ริมหู

แสงสีเขียวสีแดงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแสงสีขาว ความหฤหรรษ์บนตัวกระบี่กลายเป็นเลือนรางอย่างรวดเร็ว ความอ้างว้างเดียวดายแผ่กระจายออกไปทั่ว ประดุจสายลมใบไม้ร่วงพัดผ่าน

กระบี่บินสีขาวดุจเมฆาไม่ได้รวดเร็ว กระบี่คลับคล้ายแท่งน้ำแข็ง ละลายหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว ด้วยระดับความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ในจังหวะที่หลัวหลีลงมือ เหมิงชิงก็ตระหนักว่าอีกฝ่ายพบเห็นมันแล้ว!

ไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย เหมิงชิงเผ่นโผนขึ้นจากพื้น ทุ่มเทท่าร่างวิ่งไปยังปากทางออกของหุบเขา

การเปลี่ยนแปลงอันน่าตระหนกของกระบี่บินเล่มนั้น ทำให้หนังศีรษะมันชาวาบ ขนหัวลุกชัน นี่มันเคล็ดวิชากระบี่ผีสางอันใด?

โดยเฉพาะเมื่อมันเห็นกระบี่บินของอีกฝ่าย จู่ๆ ก็เลือนหายไปในอากาศ สังหรณ์อันตรายในใจมันก็พุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด ในอาชีพของมัน สิ่งที่มันเชื่อถือที่สุดคือสัญชาตญาณ ทุกครั้งที่บังเกิดลางสังหรณ์เลวร้าย มันทราบว่าเป็นอันตราย!

แต่สังหรณ์อันตรายแรงกล้าถึงเพียงนี้ ชีวิตนี้มันเคยพบพานมาก่อนเพียงครั้งเดียว นั่นเป็นตอนที่มันถูกยอดฝีมือด่านจินตันไล่ล่าสังหาร

ท่านย่ามันเถอะ! ไม่ใช่บอกว่าทั้งหมดล้วนเป็นชนชั้นหนิงม่ายหรอกหรือไร? หรือมันพบพานกู่หรงผิงเข้าแล้ว? บัดซบ มันไม่ควรเคราะห์ร้ายถึงเพียงนี้กระมัง!

เหมิงชิงหน้าเผือดสี ในใจสลดหดหู่ยิ่ง สังหรณ์อันตรายนี้แม้ไม่อาจเทียบเท่ากับยอดฝีมือด่านจินตันในตอนนั้น แต่แน่ใจได้ว่าเป็นอันดับสอง หัวใจมันเต้นกระหน่ำแทบกระดอนออกจากอก ไม่กล้าออมรั้งไว้แม้แต่น้อย เร่งเร้าพลังปราณอย่างบ้าคลั่งไปยังด้านหลัง ขณะที่ตัวมันทะยานลิ่วออกจากหุบเขา!

ด้านหลังมัน เห็นโล่ปราณอันแข็งแกร่งปรากฏขึ้น ดูคล้ายกระดองเต่าอยู่เล็กน้อย

ทว่ามันก้าวไปได้เพียงก้าวเดียว สิ่งที่ไม่มีตัวตนชนิดหนึ่งพลันจู่โจมใส่โล่ปราณบนแผ่นหลังของมัน โล่ปราณอันเข้มแข็งแกร่งกร้าวแตกกระจายเป็นชิ้นๆ ในทันที

พิ้ง!

เหมิงชิงสะท้านขึ้นทั้งร่าง ดุจดั่งถูกสายฟ้าฟาดใส่ ม่านตาเบิกกว้าง กระอักเลือดเป็นฟูฝอยเต็มฟ้า ปลิวลิ่วดุจว่าวสายป่านขาด พอร่วงฟาดก็แน่นิ่งไปทันที

เงาร่างหนึ่งพุ่งลงมาจากฟากฟ้า เพ่งมองเหมิงชิงที่หมดสติเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “หมดสิทธิ์”

จากนั้นก็หนีบร่างเหมิงชิง หายวับไป

แต่ก่อนที่จะจากไป มันเหลือบมองหลัวหลีแวบหนึ่ง ในดวงตามีแววประหลาดใจที่ไม่อาจปิดซ่อนไว้

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด