บทที่ 46: ครั้งแรกกับเสลี่ยง
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ก่อนใครได้ที่แฟนเพจ
====================
บทที่ 46: ครั้งแรกกับเสลี่ยง
“เสลี่ยง?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาจึงแทบไม่รู้ว่าควรตอบสนองเช่นไรดี “ศิษย์พี่ เพียงระยะทางสั้น ๆ เราสามารถบินไปด้วยดาบเพียงไม่กี่อึดใจ หากใช้เสลี่ยงเราคงใช้เวลาครึ่งค่อนวันอีกทั้งยังยากลำบากเกินไป”
“อา เจ้าไม่อาจกล่าวเช่นนั้น!” หวังฉีหวู่เผยยิ้ม “ศิษย์น้องซ่ง นี่คือดินแดนของมนุษย์ไม่ใช่ดินแดนผู้ฝึกตน เจ้าไม่สามารถบินไปมาอย่างอิสระได้ เหล่าคนโง่เขลาเหล่านี้จะเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าคือเทพเซียน อย่าบอกข้านะว่าเจ้าต้องการที่จะให้เหล่าคนพวกนั้นนับล้านมากราบไหว้สักการะบูชาเจ้า?”
“โอ้ เรื่องนั้น...” เจ้าอ้วนเข้าใจทันทีพร้อมกับหัวเราะอย่างขื่นขม “ข้าลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย งั้นรบกวนท่านเตรียมเสลี่ยงด้วยเถิด!”
“อา ให้เป็นหน้าที่ข้า!” หวังฉีหวู่ยิ้มพร้อมตอบกลับ จากนั้นจึงให้เด็กรับใช้นำทางเจ้าอ้วนไป ในขณะเดียวกันก็สั่งให้เขาจัดเตรียมพื้นที่อยู่อาศัยให้กับเจ้าอ้วนยามที่กลับมาจากกิจธุระ
เจ้าอ้วนยกมือขึ้นคำนับพร้อมกับขอบคุณ จากนั้นจึงเดินตามผู้นำลัทธิเต๋าไปยังลาน ในที่แห่งนี้มีบุรุษวัยกลางคนจิตวิญญาณสูงส่งยืนอยู่กลางลาน ชายผู้นี้เป็นหัวหน้าคนรับใช้กำลังรอคอยเพื่อต้อนรับเซียนอาวุโสจากวัดเสวียนเทียน
เมื่อหัวหน้าพ่อบ้านได้ยินที่นักบวชเต๋าแนะนำ ย่อมเป็นเจ้าอ้วนนี่เองที่เขากำลังรอต้อนรับจากวัดเสวียนเทียน ในครั้งแรกเขาตกใจ จากนั้นเขาเริ่มประเมิณความสามารถของเจ้าอ้วนและรู้สึกไม่พอใจทันที เห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้ดูถูกเครื่องแต่งกายของเจ้าอ้วน ทั้งยังแสดงกริยาที่หยาบคายออกมาและดูถูกว่าเขาคงมิใช่ผู้เชี่ยวชาญในลัทธิเต๋า
แม้ว่าหัวหน้าพ่อบ้านจะไม่ชอบใจในตัวเจ้าอ้วน ทว่าเขาก็ทราบดีว่านักบวชเต๋าของวัดเสวียนเทียนย่อมไม่ใช่ผู้ที่อาจข้องแวะด้วยได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้แสดงอาการออกมาทางใบหน้า เขายังคงยิ้มแย้มและเริ่มพูดคุยกับเหล่านักบวช เขากระทั่งถามไถ่ว่าพื้นเพของเจ้าอ้วนในวัดเสวียนเทียนเป็นเช่นไรโดยละเอียด เมื่อได้รับฟังว่าเจ้้าอ้วนเป็นเซียนอาวุโสที่เพิ่งมาในวันนี้ ท่าทีของเขาจึงได้กลับกลายเป็นพลิกกลับ เขาเผยท่าทีว่าเจ้านายของตนนั้นเป็นถึงผู้สอนหนังสือในราชวงศ์ ด้วยทั้งศักดิ์และสิทธิ์ที่มี เขาจึงคาดหวังว่าจะได้เชิญตัวเซียนอาวุโสเพื่อไปปราบปรามภูติผี
เจ้าอ้วนที่ยืนรออยู่ด้านข้างรู้สึกหงุดหงิดอยู่นานแล้ว เมื่อเขาได้เห็นเช่นนั้นรู้สึกโกรธทันที แม้ว่ามันไม่ควรที่จะโกรธมนุษย์ธรรมดา แต่เขาก็ไม่คิดยอมปล่อยวาง เจ้าอ้วนแสร้งทำเสียงเหอะพร้อมกับปล่อยปราณจิตวิญญาณออกไปพร้อมกัน
เมื่อเสียงนี้ไปกระทบกับหูของผู้อื่นที่เป็นปุถุชนธรรมดา มันจะเสียงดังราวกับเสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวพร้อมกับรู้สึกวิงเวียนจนอาจเป็นลมได้ อีกฝ่ายล้มลงกับพื้นขณะเริ่มหอบทันที ใบหน้าเปียกโชกไปด้วยเหงื่อไหลออกมาราวกับน้ำตก
เหตุการณ์ในตอนนี้ จึงทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าไม่ควรไปกระตุ้นเหล่าผู้ฝึกตน
เมื่อเข้าใจทุกสิ่งแล้ว เขาไม่รีรอพร้อมกับลุกขึ้นมา เขาโค้งคำนับให้เจ้าอ้วนพร้อมกล่าวขออภัยโดยทันที “เซียนอาวุโส ผู้น้อยคนนี้มิรู้จักความยิ่งใหญ่ของท่าน ได้โปรดยกโทษที่ข้าหยาบคายเมื่อครู่ด้วย!”
“เหอะ เจ้าไม่เพียงแต่บ่นว่าข้านั้นเยาว์เกินไป?” เจ้าอ้วนกล่าวต่อ “เหตุใดเจ้าที่เย่อหยิ่งจึงสุภาพได้ขนาดนี้? ใบหน้าของเจ้าทำด้วยสิ่งใด จึงปรับเปลี่ยนได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!”
“เรื่องนั้น มันคือความผิดพลาดของข้าเอง ท่านเป็นคนจิตใจดี โปรดอย่าได้ลดตัวลงมาถือสาหาความข้าน้อยเลย!” พ่อบ้านรีบกล่าวต่อ “เจ้านายของข้ายังคงรอท่านอยู่ด้านใน เหตุใดท่านจึงไม่ตามข้าเพื่อไปพบเขาในตอนนี้?”
“ใครจะพาข้าไป? ข้าเป็นคนที่ได้ยินเจ้าพูดว่าไม่ต้องการข้า แล้วเหตุใดเมื่อเจ้าร้องขอ ข้าต้องทำตาม? หัวหน้าพ่อบ้าน? มันใหญ่โตนักหรือ? ข้าไม่คิดอยากข้องแวะด้วย!” เมื่อเขากล่าวจบ พร้อมกับสะบัดเสื้อคลุมและหันหลังจะเดินออกไปทันที
เมื่อพ่อบ้านเห็นเช่นนั้น จึงตื่นตระหนกโดยทันที เขาส่งสัญญาณให้กับคนรับใช้ลัทธิเต๋าด้านข้างทันที “ท่านนักบวชได้โปรดช่วยกล่าวสิ่งใดออกมาเพื่อช่วยเหลือข้าบ้างได้หรือไม่?” พร้อมกันเขาหยิบหยกออกมาหนึ่งชิ้นยื่นให้กับคนรับใช้
คนรับใช้ที่นำทางเจ้าอ้วนมาเป็นศิษย์ของหวังฉีหวู่ที่มีอำนาจในที่แห่งนี้ เขารับหยกมาอย่างสงบพร้อมเดินไปหาเจ้าอ้วนและกล่าวว่า “อาจารย์ลุงอย่าเก็บมาเป็นอารมณ์ ในสายตาของมนุษย์เหล่านี้ล้วนช่างโง่เขลา และโดยธรรมชาติมักจะตัดสินผู้อื่นที่ภายนอก ท่านเป็นคนใจกว้าง ข้ามิเคยคิดว่าท่านจะกระทำตัวเช่นเขา แม้ว่าการมาที่นี่จะไม่คุ้มเสียเวลา แต่เนื่องจากท่านได้รับงานนี้จากอาจารย์ของข้า ท่านอาวุโสได้โปรดเห็นแก่หน้าตาของอาจารย์ ให้โอกาสเขาอีกครั้งได้หรือไม่?”
เมื่อมองเห็นศิษย์ของผู้มีอำนาจในวัดเสวียนเทียนอ่อนโยนกับเจ้าอ้วน หัวหน้าพ่อบ้านตระหนักได้ทันทีว่าเขาได้กระตุ้นอารมณ์เซียนอาวุโสโดยไม่ควรเสียแล้ว ใบหน้าของเขาเริ่มตึงเครียดมากยิ่งขึ้น
เมื่อได้ยินเด็กรับใช้กล่าวอ้างหวังฉีหวู่ เจ้าอ้วนจึงไม่มีทางเลือกอื่น ในขณะนี้เขาอยู่ในดินแดนอื่น คงไม่เกิดผลดีหากเขาแสดงสิ่งใดออกไป อีกทั้งพ่อบ้านผู้นั้นยังได้กล่าวขออภัยแล้ว เจ้าอ้วนจึงเลิกคิดให้มากความพร้อมกล่าวว่า “เหอะ! ในเมื่อเจ้ากล่าวถึงศิษย์พี่เช่นนั้นแล้ว ข้าก็จะไม่ยกเลิกภารกิจนี้ แต่ทว่าข้าจะจัดการให้เพียงครั้งเดียว คือครั้งนี้เท่านั้น!”
“ย่อมได้ ย่อมได้ หากเจ้าคนไร้บิดาเช่นนั้นกล้าที่จะไม่พอใจท่าน ท่านสามารถกลับได้ทันที ข้าเชื่อว่าอาจารย์จะต้องเข้าใจท่านอย่างแน่นอน!” เด็กรับใช้ยิ้มพร้อมกับส่งสัญญาณให้หัวหน้าพ่อบ้านกล่าวขออภัยอีกครั้งโดยทันที
หัวหน้าพ่อบ้านเข้าใจสถานการณ์อย่างรวดเร็วพร้อมกับขออภัยอีกครั้ง พร้อมกันนั้นจึงเชิญเจ้าอ้วนไปที่เสลี่ยง เจ้าอ้วนโบกมืออย่างไม่ยี่หระ และเดินตามเขาออกไป เขาพบว่ามีเสลี่ยงขนาดใหญ่และมีบุรุษลากอยู่สิบสองคน เสลี่ยงเต็มไปด้วยลวดลายของสัตว์ต่าง ๆ ที่ถูกสลักเอาไว้ บุรุษที่ลากเสลี่ยงในครานี้เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกเลือกมาอย่างดี ด้วยรูปร่างและความแข็งแรง
นับได้ว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่เจ้าอ้วนจะได้นั่งเจ้าของสิ่งนี้ เขาพบว่ามันดูใหม่มาก และภายใต้การช่วยเหลือของหัวหน้าพ่อบ้าน เขาได้นั่งบนเก้าอี้ที่สบายที่สุด
ม่านของเสลี่ยงถูกปิดลงพร้อมเสียงพ่อบ้านที่ตะโกนออก “ยกเสลี่ยง!”
“เฮ้!” บุรุษทั้งสิบสองคนส่งเสียงพร้อมกับยกเสลี่ยงขึ้น พวกเขาเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที ราวกับแขนที่แข็งแรงเหล่านั้นกำลังกลายเป็นวุ้น พวกเขาคิดว่านี่ไม่ใช่การแบกมนุษย์แต่กำลังแบกภูเขาทั้งลูกอยู่!
เหตุผลนั้นง่ายดายยิ่ง น้ำหนักของเจ้าอ้วนนั้นอยู่ในขั้นที่เลวร้ายที่สุด นับตั้งแต่เขาใช้เคล็ดวิชาฝึกตนปฐมบทแห่งความโกลาหล ร่างกายของเขามีความแข็งแกร่งมาก ในขณะเดียวกันน้ำหนักของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าสิ่งที่กำลังเติบโตของเขามิใช่เนื้อหนัง แต่กลับเป็นอิฐก้อน แม้ว่าเขาจะดูอวบอ้วนแต่น้ำหนักของเขาทั้งหมดนั้นมากถึงแปดร้อยจิน เขาอ้วนเสียยิ่งกว่าบุคคลที่ถูกเรียกว่าอ้วนเสียอีก! เหล่าบุรุษคิดในใจว่า ‘นี่คือชายนักบวชที่กลายร่างจากหมูมาใช่หรือไม่? เหตุใดจึงหนักเช่นนี้!”
น้ำหนักตัวแปดร้อยจินรวมกับน้ำหนักของเสลี่ยงมากกว่าหนึ่งร้อยจิน นั่นจึงทำให้น้ำหนักรวมแทบถึงหนึ่งพันจิน โดยเฉลี่ยแล้วผู้คนทั่วไปน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่แปดถึงเก้าสิบจิน การยกภูเขาลูกนี้เป็นระยะทางกว่าสิบลี้ เพียงแค่คิดร่างกายของพวกเขาก็สั่นเทิ้มอย่างหวาดหวั่น บางคนถึงกับโอดครวญว่าในขากลับพวกเขาอาจตายตกไปเพราะถูกทับตาย