ตอนที่แล้วTWO Chapter 240 กลายเป็นมีชื่อเสียง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปTWO Chapter 242 การกำราบด่านเจิ้นหนาน ตอนที่ 1

TWO Chapter 241 ความรุนแรง


TWO Chapter 241 ความรุนแรง

กว่าโอหยางโชวและกองกำลังของเขาจะมาถึงเมืองกู่ซาน เวลาก็ล่วงเลยมาถึง 15.00 น. แล้ว

ผู้นำเผ่าขนาดใหญ่ เล่ยฟ่าน ได้นำผู้นำเผ่าอื่นๆมาต้อนรับโอหยางโชว กลุ่มผู้นำเผ่าคนเถื่อนกลุ่มนี้ ได้เลือกเล่ยฟ่านเป็นผู้ดูแลเมืองกู่ซาน

หลังจากที่พูดคุยกันสั้นๆ มันทำให้โอหยางโชวรู้ว่า เล่ยฟ่านคนนี้เป็นคนพิเศษ

จากที่เขารู้ เล่ยฟ่านได้กลายมาเป็นผู้นำเผ่าเมื่อตอนอายุเพียง 24 ปี หลังจากนั้น 10 ปี ชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของเขาก็ทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดในเผ่า แต่ไม่เพียงแค่นั้น เพราะแม้แต่เผ่าอื่นๆทั้งหมดก็ยังให้ความเคารพนับถือเล่ยฟ่านเช่นกัน

เมื่อเทียบกับความเป็นอนุรักษ์นิยมของผู้นำเผ่าซวนเหนียว ซีซี่อ๋อง เล่ยฟ่านมีสติปัญญาและมองการไกลมากกว่า เผ่าของเขาได้อพยพลงมาจากภูเขา ซึ่งมันเป็นผลมาจากแผนการของเขา

เขาตระหนักว่า หากชนเผ่าคนเถื่อนภูเขาต้องการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทางเลือกที่ดีที่สุดของพวกเขาก็คือ การมาอยู่ร่วมกับคนบนที่ราบ

เมื่อเทียนเหวินจิงได้ไปเยี่ยมเยือนเผ่าของเขา ทั้ง 2 ก็กลายเป็นใกล้ชิดกันมากขึ้นทันที

หลังจากที่ทักทายกันง่ายๆ โอหยางโชวก็อัพเกรดเมืองกู่ซานเป็นเมืองขนาดกลาง จากนั้น เขาก็แต่งตั้งให้เล่ยฟ่านเป็นผู้ปกครองเมืองกู่ซาน และมอบอำนาจให้เขาแต่งตั้งคนของเขาเป็นข้าราชการได้ด้วยตัวเอง

ในช่วงค่ำ โอหยางโชวก็ได้มาพบกับเล่ยฟ่านเป็นการส่วนตัว พวกเขาทั้ง 2 ได้พูดคุยกันอย่างลึกซึ้ง

โอหยางโชสัญญาว่า เมืองหลักจะจัดหาธัญพืชสำหรับเมืองกู่ซาน หน้าที่หลักของเมืองกู่ซานก็คือ การสร้างกำแพงเมือง เพื่อเพิ่มการป้องกันให้กับเมือง และเตรียมพื้นที่เพาะปลูกไว้ให้พร้อมสำหรับฤดูเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ

เมืองกู่ซานมีประชากรทะลุ 30,000 คน และยังอีกเกือบ 1 ปี กว่าพวกเขาจะได้เก็บเกี่ยวข้าวในฤดูเก็บเกี่ยวแรกของปี พวกเขาจึงต้องการธัญพืชประมาณ 10 ล้านหน่วย

เห็นได้ชัดว่า เมืองหลักไม่สามารถจัดหาธัญพืชมากขนาดนั้นให้กับพวกเขาฟรีๆได้ โอหยางโชวชี้ให้เขาเห็นว่า พวกเขาสามารถยืมพวกมันมาจากกรมคลังวัสดุได้ และหลังจากที่พวกเขาได้เก็บเกี่ยวข้าวในฤดูเก็บเกี่ยวแรกของปีแล้ว พวกเขาก็ค่อยจ่ายคืนให้กับกรม

นอกเหนือจากนี้ งานที่สำคัญที่สุดของเล่ยฟ่านก็คือ ส่งเสริมแผนการของเมืองซานไห่ต่อชนเผ่าคนเถื่อนภูเขาอย่างต่อเนื่อง เขาจำเป็นต้องติดต่อกันเผ่าอื่นๆ และพาพวกเขาอพยพลงมาอยู่ที่เมืองกู่ซาน

พวกเขาต้องรวบรวมเอาชนเผ่าคนเถื่อนภูเขาที่อยู่ในเทือกเขาทางใต้ทั้งหมด

เพื่อติดต่อกับคนเถื่อนภูเขาเผ่าอื่นๆ พวกเขาต้องเข้าไปในป่าลึก หรือมุ่งหน้าไปทางเหนือ เล่ยฟ่านมีช่องทางติดต่อมากกว่าเผ่าซวนเหนียว ในฐานะผู้นำของเผ่าขนาดใหญ่ เขายังคงติดต่อกับเผ่าอื่นๆอีกมาก ดั้งนั้น เขาจึงเป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมที่สุด

ในความเป็นจริง ในขณะที่เผ่าอื่นๆเริ่มไปสร้างและจัดระเบียบเมืองกู่ซาน ฐานะและความสำคัญของเผ่าซวนเหนียวก็เริ่มลดลง พวกเขาสามารถช่วยได้เพียงดูแลพื้นที่รอบๆเหมืองแร่หลางซานเท่านั้น

สำหรับการติดต่อกับเผ่าคนเถื่อนภูเขาอื่นๆ เผ่าซวนเหนียวเป็นเพียงเผ่าขนาดกลางเท่านั้น พวกเขาจึงมีอำนาจจำกัด และไม่สามารถช่วยเทียนเหวินจิงได้มากนัก

สำหรับเผ่าขนาดเล็กและขนาดกลางอื่นๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับการอพยพลงมาจากภูเขา โอหยางโชวตัดสินใจที่จะไม่สนใจพวกเขา และปล่อยให้พวกเขาทำลายตัวเอง

วันรุ่งขึ้น โอหยางโชวนำกองกำลังของเขา มุ่งหน้ากลับไปยังเมืองซานไห่ และพวกเขาได้กลับไปถึงในช่วงค่ำ โอหยางโชวรีบกลับไปให้ทันเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเขาไม่ต้องการจะพลาดมัน

…………………………………………………………………………….

ณ มหาวิทยาลัยสีหนาน, เกาะดาวดับ

มีเพียงดาวเพียงไม่กี่ดวงที่เปล่งประกายบนท้องฟ้าในคืนนี้ มันดูเงียบเหงามาก เจียงซางนั่งอยู่คนเดียวบนหิน และมองไปที่ประจันทร์ ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดเรื่องต่างๆ

ความคิดของเขาและพระจันทร์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

“คฤหาสน์ของลอร์ดได้ส่งเครื่องไหว่พระจันทร์เหล่านี้มาให้ขอรับ” คนรับใช้ถือกล่องขนมไหว้พระจันทร์ ขณะที่เขายืนอยู่ข้างๆเจียงซาง

“อื้อ” การแสดงออกของเจียงซางเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ไม่นาน เขาก็กลายเป็นไร้ความรู้สึกและสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหวเช่นเดิม

คนรับใช่หนุ่มไม่ต้องการจะรบกวนเขา เขาวางขนมไหว้พระจันทร์ไว้ที่ด้านข้าง และปล่อยเขาไว้ตามลำพัง

หลังจากที่คนรับใช้ออกไปแล้ว เจียบซางก็หยิบขนมไหว้พระจันทร์ขึ้นมา และพึมพำว่า “ท่านยังคงไม่ยอมแพ้อีกหรือ?”

พระจันทร์ไม่ได้ทำให้เกิดเสียงใดๆและคนผู้นั้นก็ไม่ได้ทำให้สายลมพัดในค่ำคืนนี้

ณ คฤหาสน์ของลอร์ด, สวนส่วนหลังของคฤหาสน์

หลังจากจบงานเลี้ยง โอหยางโชวก็เรียกทุกคนมาที่สวนนี้ เพื่อชมพระจันทร์ด้วยกัน

สายลมฤดูใบไม้ร่วงเย็นๆ ได้พัดผ่านมาพร้อมกับกลิ่นหอมของดอกไม้ ปิงเอ๋อจับดอกมะลิหมื่นลี้ไว้ในมือ แล้ววิ่งไปหาฉีสือ ก่อนจะกล่าวว่า “พี่สาวฉีสือ ข้าอยากกินเค้กมะลิหอมหมื่นปี!”

ฉีสือพยักหน้าและหัวเราะ “ได้ค่ะ พรุ่งนี้ข้าจะบอกให้ท่านป้าหวังทำมันให้กับท่าน”

โอหยางโชวมองไปที่พวกเขาที่กำลังสนุกสนานกันอยู่ในสวน เป็นเวลานานแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเช่นนี้

เมื่อเร็วๆนี้ งานของดินแดนทำให้เขายุ่งมาก เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างทั้งภายในและภายนอก

การลอบโจมตีของซ่าโพจุ่นจบลงด้วยความล้มเหลว และโอหยางโชวใช้กำลังบังคับให้เขากลับไป เมื่อเขากลับไปแล้ว ก็ไม่มีข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับเขาอีก ราวกับเขาเป็นหินที่จมลงไปในมหาสมุทร

หลังจากการยั่วยุครั้งนั้น ตี่เฉินและคนอื่นๆก็ระมัดระวังตัวมากขึ้น ถ้ามีใครบอกว่า คนเหล่านี้ยอมแพ้เรื่องแผนการจัดการเมืองซานไห่ โอหยางโชวจะไม่เชื่อคนคนนั้นแน่นอน พายุในอนาคตจะมีความซับซ้อนและน่ารังเกียจมากยิ่งขึ้น

สำหรับเรื่องของดินแดน โอหยางโชวค่อยๆรู้สึกว่า เขาทำงานหนักเกินไป เขาวางแผนทุกอย่างสำหรับเมืองซานไห่ และยังคงต้องให้ความสนใจกับพันธมิตรและศัตรู ซึ่งมันทำให้เขาเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก

เมื่อดินแดนของเขาขยายออกไปมากขึ้น โอหยางโชวต้องการผู้มีความสามามรถพิเศษที่ช่วยเขาคุมภาพรวมได้ เจียงซางที่อยู่บนเกาะดาวดับเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม แต่เขาไม่โชคดีนักสำหรับเรื่องนี้…

“พี่ชาย ทานขนมไหว้พระจันทร์กัน” ปิงเอ๋อหยิบขนมไหว้พระจันทร์ขึ้นมา แล้วส่งมันให้กับโอหยางโชว

“ปิงเอ๋อน่ารักจริงๆ!” โอหยางโชวรับมันไว้ และยิ้ม ทุกความคิดและปัญหาทั้งหลาย บินหายไปจากจิตใจของเขาในทันที

“คนโง่ ไม่กี่วันมานี้ ข้าได้รับจดหมายจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนเก่าของข้า” ซ่งเจี๋ยกล่าวอย่างกระทันหัน

“เพื่อนร่วมชั้นเรียนเก่า? พวกเขารู้ชื่อไอดีของเจ้าได้อย่างไร?”

“ส่วนใหญ่ที่ติดต่อมาเป็นเพื่อนสมัยมัธยม ข้าคิดว่า หยวนผิงคงจะเปิดเผยเรื่องนี้ก่อนที่การอพยพจะเริ่มขึ้น และเขาก็ได้ดึงเพื่อนหลายคนเข้าไปอยู่ในดินแดนของเขาด้วย”

โอหยางโชวพยักหน้า “พวกเขาต้องการจะเข้าร่วมกับนิกายกระบี่ตงหลี่หรือ?”

“ใช่ ท่านคิดเช่นไร?” ซ่งเจี๋ยมักจะขอความคิดเห็นจากเขา ในเรื่องที่สำคัญเช่นนี้

“เรายินดีต้อนรับพวกเขา แต่จำไว้ว่า ให้ระมัดระวังตัวไว้” โอหยางโชวต้องการรักษาความปลอดภัยไว้ก่อน ดีกว่าต้องเสียใจในภายหลัง

“อื้อ” ซ่งเจี๋ยรู้ดีว่าต้องทำเช่นไร

หลังจากจบเทศกาลฤดูใบไม้ร่วง วิกฤตการขาดแคลนธัญพืชก็อุบัติขึ้น ราคาธัญพืชทะยานขึ้นเป็น 30 เหรียญทองแดง/หน่วย

ผู้เล่นลอร์ดต้องใช้เงินทั้งหมดของพวกเขาในการซื้อมัน และบังคับให้พวกเขาต้องยืนอยู่บนขอบเหว ขณะที่เหล่าพ่อค้าทำกำไรจากมันได้อย่างมหาศาล

ปลายเดือนที่ 10 จะเป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยวครั้งที่ 2 เห็นได้ชัดว่า ทุกคนรู้ดีว่าราคาธัญพืชจะตกลงหลังจากนั้น

เดือนที่ 10 เป็นเดือนที่ยากลำบากที่สุดสำหรับผู้เล่นโหมดลอร์ด

หลายดินแดนถูกบีบบังคับ พวกเขาต้องขายทรัพยากรทั้งหมดที่พวกเขาสามารถขายได้ พวกเขาไม่มีทางเลือก อย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาเริ่มที่จะขายอาวุธและอุปกรณ์ให้กับผู้เล่นโหมดนักผจญภัย เพื่อหาเงินซื้อธัญพืช

เมื่อเทียบกับผู้เล่นโหมดลอร์ด ผู้เล่นโหมดนักผจญภัยไม่ได้รับผลกระทบมากนัก พวกเขาไม่ได้เป็นลอร์ดที่จะต้องเลี้ยงดูประชาชนของตน พวกเขาเพียงแค่ต้องดูแลตัวเองเท่านั้น

ในขณะที่พวกเขาไม่มีทางเลือก เหล่าลอร์ดเริ่มที่จะขึ้นภาษี และไม่เพียงแค่นั้น พวกเขายังต้องขายธัญพืชที่พวกเขาซื้อมาในราคาสูงให้กับชาวเมือง

ในขณะเดียวกันที่เมืองซานไห่ ราคาของธัญพืชยังคงอยู่ที่หน่วยละ 11 เหรียญทองแดงเช่นเดิม

ราคาธัญพืชที่สูงเช่นนี้ ส่งผลต่อผู้เล่นลอร์ดโดยตรง เพราะยังไง พวกเขาก็ต้องลดราคาธัญพืชในดินแดนของเขา เพราะถ้าพวกเขาขายในราคาที่สูงเช่นเดียวกับราคาตลาดในปัจจุบัน มันจะส่งผลต่อประชาชนของพวกเขา และมันอาจจะก่อให้เกิดการจราจลได้ง่ายๆ

ดังนั้น เหล่าลอร์ดจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากใช้เงินของตัวเอง เพื่อชดเชยส่วนต่างของราคา

สมาชิกของพันธมิตรซานไห่เองก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน

ในสิ้นเดือนที่ 9 โอหยางโชวต้องลงทุนเพิ่มในสาขาต่างๆของธนาคาร 4 สมุทร เพื่อช่วยเหลือเหล่าพันธมิตรของเขา

เมืองมู่หลานและเมืองสิงโตทมิฬ พวกเขาเพิ่งจะอัพเกรดเป็นเมืองขนาดกลางได้ไม่นาน พวกเขาเกือบจะไม่สามารถทนได้ สำหรับเมืองเทียนซวง พวกเขายังเป็นเมืองขนาดเล็กระดับ 3 พวกเขาจึงยังมีเงินทุนเพียงพอในสาขาของธนาคาร 4 สมุทรที่เพิ่งจะจัดตั้งขึ้น

ที่ลำบากมากที่สุดก็คือเมืองหงส์สาบสูญและเมืองซุ่นหลง พวกเขาต้องจ่ายดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้ยืมให้กับธนาคารในทุกๆเดือน และตอนนี้ พวกเขายังต้องสู้กับราคาธัญพืชอีก

เมืองหินของหวู่ฟู่ยังคงทนได้ แม้ว่าจะไม่มีสาขาของธนาคาร 4 สมุทรอยู่ที่นั่นก็ตาม มันเป็นเรื่องที่น่าทึ่งอย่างมาก ที่พวกเขาทนได้นานขนาดนี้

แต่หลังจากที่เทศการกลางฤดูใบไม้ร่วงสิ้นสุดลง หวู่ฟู่ก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาได้มาขอให้โอหยางโชวช่วยเขา

โอหยางโชวไม่ลังเล เขาขายธัญพืชที่สะสมไว้ 60 ล้านหน่วย หลังจากหักภาษีแล้ว เขาจะได้เงินประมาณ 161,000 เหรียญทอง

เมื่อรวมกับเงินทุนเดิมที่เขามีอยู่ ตอนนี้ เขามีเงินทุนในถุงเก็บของของเขามากถึง 177,000 เหรียญทอง

โอหยางโชวเพิ่มเงินทุนในธนาคาร 4 สมุทรสาขาหลัก 40,000 เหรียญทอง และสาขาย่อยอีกสาขาละ 2,000 เหรียญทอง โดยรวมแล้วเขาเพิ่มเงินลงทุนไปทั้งสิ้นถึง 50,000 เหรียญทอง

การลงทุนครั้งเดียวด้วยเงิน 40,000 เหรียญทอง ทำให้สาขาหลักของธนาคาร 4 สมุทร เริ่มแสดงความยิ่งใหญ่ของความเป็นธนาคารกลาง

ในขณะที่ธนาคารยังคงดำเนินต่อไป มุมมองของผู้คนก็ค่อยๆเปลี่ยนไป พวกเขาเริ่มเรียนรู้ที่จะเก็บออม

จากข้อมูลของขุ่ยหยิงหยู ในเดือนที่ 9 ธนาคาร 4 สมุทร มีเงินออมมากถึง 9,000 เหรียญทอง

จากแผนของโอหยางโชว นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ต่อจากนี้ โอหยางโชวจะไม่กังวลเรื่องธนาคาร 4 สมุทรอีก เขาจะปล่อยให้สมาชิกและพนักงานทำงานของพวกเขา

นอกจากนี้ ธนาคาร 4 สมุทรสาขาเมืองหินยังได้เปิดทำการแล้ว โอหยางโชวได้ให้เงินทุนเริ่มต้น 5,000 เหรียญทอง

หลังจากการใช้จ่ายดังกล่าว โอหยางโชวยังคงเหลือเงินอยู่กับตัวอีก 122,000 เหรียญทอง

จากแผนของเขา เขาจะไม่แตะต้องเงินจำนวน 100,000 เหรียญทอง เขาวางแผนที่จะใช้มันในงานประมูลสิ้นปีในอีก 3 เดือนข้างหน้า

เมื่อเทียบกับงานประมูลของระบบในครั้งแรก งานประมูลสิ้นปีครั้งนี้ จะใหญ่ขึ้นและมีรายการที่หายากมากขึ้น แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมพลาดมัน

เขาต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อซื้อสิ่งที่เขาต้องการในงานประมูล ถ้าไม้ได้เกิดวิกฤตการขาดแคลนธัญพืชในดินแดนของสมาชิกในพันธมิตร โอหยางโชวก็คงจะเตรียมเงินทุนสำหรับความไม่แน่นอนในอนาคตได้มากกว่านี้

แฟนเพจ : TWOแปลไทย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด