ตอนที่ 55 สะกดรอยตาม
น้ำเสียงหัวเราะที่ต่ำทุ้มลุ่มลึกประดุจเสียงบรรเลงของเครื่องดนตรีเชลโล่นั้นเปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์ตรึงใจที่เขย่าอารมณ์ผู้คนให้หวั่นไหว
เกอซีแอบก่นด่าชายผู้นั้นอยู่ลึก ๆ ในใจ คนผู้นี้ต้องเป็นพวกโรคจิตอย่างแน่ชัด หากเพียงหญิงสาวไม่ทันรับรู้เลยว่าชิงหลงผู้ยืนจับจ้องอยู่ด้านข้างนั้นกำลังอยู่ในอาการตกตะลึงจนลูกนัยน์ตาแทบหลุดกระเด็น
เขา......เขาไม่เคยเห็นพระองค์หัวเราะอย่างมีชีวิตชีวาไร้การวางตนเช่นนี้ รอยแย้มยิ้มที่ร่าเริงสนุกสนานกลับเข้ามาแทนที่รอยแย้มยิ้มที่เฉยชา ไม่ใส่ใจหรือกระทั่งการยิ้มเยาะที่เคยมีอยู่เป็นปกติวิสัย
หากยิ่งไม่อาจคาดคิดได้เลยว่าพระองค์จะมีความสุขด้วยเพราะหนุ่มน้อยหน้ามนผู้หนึ่ง อีกทั้งภาพที่น่าฉงนให้ความรู้สึกที่กำกวมเกินเอ่ยคือยามที่พระองค์ใช้ฝ่ามือยึดกุมเรียวคางของหนุ่มน้อยผู้นั้น
ภายในใจส่วนลึกของชิงหลงนั้นร่ำร้องด้วยความสับสน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เหตุที่นายท่านไม่เคยให้ความสนิทสนมใกล้ชิดกับสตรีนางใดนั้นไม่ใช่เพราะพระองค์เบื่อหน่ายพวกนาง หากแต่เพราะความผิดปกติทางเพศของพระองค์กระนั้นหรือ ?
เกอซีช้อนสายตามองบุรุษผู้กำลังหัวเราะร่า เมื่อได้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาทรงเสน่ห์ราวกับลำไผ่ลู่ลม ดูงดงามบริสุทธิ์สะอาด ใบหน้ายามเมื่อเขาปล่อยเสียงหัวเราะช่างเจิดจรัสโชติช่วงกระทั่งทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาไปจากบุรุษผู้นี้ได้เลย
ชายหนุ่มก้มลงประสานสายตากับเกอซีผู้กำลังจับจ้องเขม็งมาที่เขา สายตาของหญิงสาวตรงหน้าว่างเปล่าภายใต้ท่าทีที่สับสน ในประกายตานั้นสะท้อนคลื่นอารมณ์ที่สั่นกระเพื่อม
ริ้วรอยแห่งความสุขใจเกินเอ่ยอธิบายพาดผ่านเข้ามาในห้วงใจอย่างที่เขาไม่ทันได้สังเกตเห็นยามเมื่อวาจาถูกปล่อยออกมาอย่างเชื่องช้า “ข้าชื่อหนานกงยวี่”
เกอซีสะดุ้งด้วยไม่อาจเข้าใจว่าเหตุใดนัยน์ตาที่เปล่งประกายโชนแสงกับน้ำเสียงห้าวลึกนั้นสามารถทำให้จิตใจของนางปั่นป่วนขึ้นมาได้
หญิงสาวกระถดถอยไปข้างหลังก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเย็น “เจ้าจะชื่อใด เกี่ยวอะไรกับข้า ?”
หนานกงยวี่ไม่ต่อคำ หากแต่เขากลับทรุดกายลงนั่งริมหน้าต่างพลางชี้นิ้วไปยังตำแหน่งที่อยู่ตรงกันข้ามขณะที่เสียงหัวเราะยังคงก้องดัง “ซีเอ๋อไม่จำเป็นต้องทำตัวเย็นชาถึงเพียงนี้หรอก ความสัมพันธ์ของเราสองนั้นแนบแน่นถึงขนาดที่พวกเรายังเคยเอ่ยวาจาแก่กันและกันภายใต้แสงเทียนยามค่ำคืน”
ให้ตายเถอะ ! ผู้ใดเอ่ยคำใดกับเจ้าใต้แสงเทียนกัน ! แล้วเจ้าจะเรียกชื่อ “ซีเอ๋อ” ที่ฟังน่าขนลุกเช่นนี้ไปถึงเมื่อไรกัน ?
มุมปากของเกอซีกระตุกขึ้นหลายคราขณะที่หญิงสาวกัดฟันแน่น “เราหาได้สนิทสนมกันถึงเพียงนั้น โปรดเรียกชื่อยามนี้ของข้า – ซีเยว่ ขอบคุณ !”
หนานกงยวี่เลิกคิ้วขึ้นสูงพร้อมรอยยิ้มที่แฝงความหมาย “เช่นนี้เอง ที่แท้คือคุณชายซีเยว่นี่เอง เป็นเกียรติที่ได้พบคุณชายในที่สุด”
ยิ่งเกอซีได้รับรู้ถึงสายตาที่หยอกเย้าของชายผู้นั้น สีหน้าของนางกลับยิ่งน่ากลัว หากแต่กระนั้นหญิงสาวยังคงย่างฝีเท้าก้าวออกไปยังตำแหน่งเบื้องหน้าหนานกงยวี่ วางท่าอย่างองอาจก่อนจะลงนั่ง
ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยวาจา หนานกงยวี่กลับโน้มกายลงพร้อมเหยียดยื่นฝ่ามือชักปิ่นปักผมหยกที่ตรึงมวยผมนางไว้ออกมา
“เจ้าจะทำอะไร ?” เกอซีปล่อยคำถามขณะที่ร่างของตนกระโดดโหยงออกมาด้วยความตื่นตกใจ ยังดีที่แม่นมเฉินเกล้ามวยผมทรงบุรุษให้แก่นางอย่างแน่นเหนียว แม้ปิ่นปักผมจะถูกดึงออกไป ผ้าที่คาดผูกไว้นั้นยังคงช่วยรัดมวยผมของนางไม่ให้หลุดคลายออก
หนานกงยวี่ยกปิ่นปักผมขึ้นเพ่งมองในระดับสายตาก่อนรอยยิ้มที่ไม่เชิงยิ้มของเขาจะคลี่ออกมา “เด็กโง่ กระทั่งถูกสะกดรอยก็ยังไม่รู้ตัว”
ในใจของเกอซีสั่นผวาด้วยความหวั่นเกรงขึ้นมาทันที นางหาได้ใส่ใจที่เขาเรียกนางว่าเด็กโง่ “เจ้ากล่าวว่า ข้าถูกสะกดรอยงั้นรึ ? หมายถึงอะไร ?”
หนานกงยวี่ส่งสายตาข้ามบานหน้าต่างลงไปยังจุดต่าง ๆ เบื้องล่าง และเมื่อสายตาถูกส่งผ่านไปถึงมุมเปลี่ยวบนถนนฝั่งตรงกันข้ามดวงตาของเขาพลันลุกโชนสาดประกายร้อนแรง
เสี้ยวนาทีถัดมา มุมเปลี่ยวที่ว่างเปล่าไร้สิ้นแม้เพียงเงาของผู้ใดพลันปรากฏเสียงร้องโหยหวน ตามมาด้วยบุรุษผู้สวมชุดดำเนื้อผ้าเรียบโซซัดโซเซออกมาจากมุมอับพร้อมเสียงดัง “ตุ้บ”แล้วร่วงลงไปกองกับพื้น
เกอซีผู้จ้องมองอยู่จากห้องในชั้นสองสามารถเห็นเลือดที่พุ่งกระจายออกมาจากปากของชายผู้นั้นได้อย่างชัดเจน แววตาของเขาตื่นตระหนกอย่างสุดขั้วก่อนที่มันจะเลือนพร่ามัว เพียงชั่วพริบตา ลมหายใจของคนผู้นั้นก็หยุดลง
สายตาของเกอซีค่อย ๆ ขยับกลับมาที่หนานกงยวี่ด้วยความตื่นตระหนกอย่างที่สุด มีเพียงรอยยิ้มอ่อนบางที่ยังคงแขวนประดับอยู่บนใบหน้าสง่างามเกินพรรณนาส่งให้เขาแลดูเป็นบุรุษแสนดีที่ไร้พิษสง
ทว่าผู้ใดจะคาดคิดได้ว่าชายผู้นี้สามารถสังหารผู้คนให้แดดิ้นได้แม้จากระยะไกลในช่วงเวลาที่เขายังคงเอ่ยคำและต่อบทสนทนาอย่างเป็นปกติ ที่สุดแล้วราชันมัจจุราชผู้อยู่เบื้องหน้าครรลองสายตาของนางนี้ทรงพลังอย่างน่าเกรงขามสักเพียงไร ?
เกอซีสงบระงับอารมณ์ของตนเองกระทั่งสิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงความหวาดหวั่นเล็กน้อยภายในใจ หากมิใช่ด้วยหนานกงยวี่ช่วยนางไว้ นางย่อมไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าตนถูกสะกดรอยมาตลอดทาง
***จบตอน สะกดรอยตาม***