ตอนที่ 49 กระบี่คมครามเลือกนาย !
นางเดินนำหงส์ไฟน้อยไปยังตำแหน่งที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของกระบี่คมคราม มันเป็นเนินเล็กๆที่เต็มไปด้วยศาสตราสารพันปักแน่นอยู่บนผืนดิน โดยมีกระบี่คมครามปักอยู่บนยอดสุด ตัวกระบี่นั้นปลดปล่อยรัศมีดาบอันคมกริบออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง เสียงครวญต่ำดังหึ่งๆก้องออกมาจากกระบี่ ทำให้เฟิ่งจิ่วนั้นตกตะลึง
“นั่นคือกระบี่คมครามงั้นหรือ?”
สายตาเร่าร้อนของนางจับจ้องไปที่กระบี่ที่เปล่งรัศมีเย็นยะเยือกออกมาจากบนยอดเนิน และพลันรู้สึกราวกับว่าเลือดในกายกำลังเดือดพล่าน ช่างน่าสนใจยิ่งนัก!
‘หวึ่ง!’
เสียงกระบี่ครวญดังก้อง แม้นางจะยืนอยู่ที่ตีนเนินก็ยังสามารถเห็นกระบี่คมครามสั่นไหวอยู่ที่ยอด เสียงนั้นดังออกมาจากตัวกระบี่เองราวกับว่ามันส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้น รัศมีดาบที่เปล่งออกมานั้นแข็งแกร่งและเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกระบี่คมครามนั้นดึงตัวเองขึ้นมาจากผืนดินดังฟุ่บ! และพุ่งตรงลงมาจากเนินมาหานางอย่างรวดเร็ว
หงส์ไฟน้อยค่อนข้างประหลาดใจเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่าเขาจะทราบว่าวิญญาณของกระบี่นั้นสามารถเลือกนายเองได้ ทว่าเหตุการณ์เช่นนี้ ที่เฟิ่งจิ่วไม่แม้แต่จะต้องเดินไปดึงมันออกมานั้นแทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เขามองเฟิ่งจิ่วด้วยสายตาแปลกๆอย่างพิจารณา แต่หงส์ไฟน้อยก็ยังคงไม่พบว่านางมีอะไรพิเศษนักหนา
‘ฟุ่บบ!’
กระบี่ยาวพุ่งลงสู่พื้น ปลายของมันเสียบแน่นลงบนผืนดินข้างๆมือขวาของเฟิ่งจิ่ว
นางยื่นมือออกไปจับกระบี่คมคราม เฟิ่งจิ่วสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนประกอบกับเสียงราวกับร่ำไห้ที่ดังออกมา มันตรงเข้าใส่กลางใจของนาง เฟิ่งจิ่วออกแรงเล็กน้อยและดึงกระบี่นั้นขึ้นมา มันส่งเสียงวูบแล้วตัวกระบี่ก็เริ่มเรืองรองไปด้วยแสงจางๆ แล้วกระบี่ที่ดูหมองเก่าก็พลันเปล่งประกายอย่างนุ่มนวล บัดนี้มันดูใหม่ราวกับว่าเพิ่งตีออกมาจากเตาหลอม
นางมองดูใบดาบที่เรืองแสงสีครามอ่อนๆ รวมถึงอักขระจีนสามตัวที่สลักอยู่บนนั้นซึ่งเปล่งประกายเย็นยะเยียบ นางอุทานอย่างอดไม่ได้ “กระบี่ดี ดียิ่งเลยด้วย!” นางกวัดแกว่งกระบี่ในมือเป็นกระบวนท่าอันงดงามและเห็นใบดาบอันคมกริบตัดผ่านอากาศ คมกระบี่นั้นเฉียบคมอย่างผิดธรรมดา
“ท่านอาจารย์ก็คงคาดไม่ถึงว่ากระบี่คมครามจะเลือกข้าเป็นนาย” นางพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ นางใส่กระบี่คมครามลงไปในแหวนมิติ และนึกขึ้นได้ว่าเวลาสามชั่วยามที่เป็นเวลาจำกัดในการอยู่ที่นี่ยังไม่หมด และพวกเขาก็ยังไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้
“เราคงออกจากที่นี่ไม่ได้ไปอีกซักพัก เพราะงั้นไปหาที่เหมาะๆนั่งพักกันไหม? ข้าจะได้ใช้เวลาอ่านดูตำราในแหวนมิตินี่ด้วยว่ามีอะไรอยู่บ้าง” นางพูดพลางจับมือเล็กๆของหงส์ไฟน้อยไว้ขณะที่เดินหาจุดที่รังสีดาบไม่เข้มข้นนักเพื่อนั่งพัก
นางเพิ่งจะดึงตำราเกี่ยวกับการซ่อนตัวตนออกมาเปิดอ่านก็พลันรู้สึกได้ถึงสายตาของสหายตัวน้อยที่จ้องมาที่ใบหน้านางเขม็ง นางจึงเงยหน้าขึ้นและหันไปหาเขาพร้อมถามยิ้มๆ “เกิดอะไรขึ้นรึ?”
หงส์ไฟน้อยที่ถูกจับได้ขณะกำลังแอบมองก็รีบเบนสายไปไปทางอื่น เขาดูกระอักกระอ่วนใจอยู่เล็กน้อย ด้วยสายตาของเขาที่หันมาทางนี้ทว่าไม่ยอมมองมาที่นาง
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถทำใจข่มความอยากรู้อยากเห็นลงไปได้ หลังจากลังเลอยู่ซักพัก เขาก็เอ่ยปากถาม “เหตุใดจึงมีบาดแผลมากมายอยู่บนหน้าเจ้า?”
เมื่อถูกถามเตือนความจำขึ้นมา นางก็นึกขึ้นได้ว่าหลังจากจมอยู่ในบ่อและถูกน้ำวนหมุนเหวี่ยงไปมา ใบหน้าของนางคงถูกชะเอาสมุนไพรที่พอกไว้ออกจนเกลี้ยง บัดนี้รอยแผลน่าเกลียดบนใบหน้าคงปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
นางยื่นมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้าตนก่อนจะกล่าวว่า “มีหญิงชั่วร้ายนางหนึ่งใช้มีดกรีดใส่ใบหน้าของข้ารอยแล้วรอยเล่า” เสียงของนางฟังดูเฉยชา ทว่าลึกลงไปในแววตาของนางนั้นปรากฏประกายเย็นยะเยียบแฝงอยู่
หงส์ไฟน้อยขมวดคิ้วน้อยๆเมื่อได้ยินเช่นนั้น และถามต่อ “เหตุใจเจ้าจึงไม่สู้มันกลับ?”
“ข้าอ่อนแอเกินกว่าจะต่อต้านนาง” นางพูดพร้อมหรี่ตาลง คิดในใจว่า [เวลานั้นนางไม่ใช่เจ้าของร่างนี้ หากนางอยู่ที่นั่นทุกอย่างก็คงไม่ต้องลงเอยด้วยสภาพน่าอดสูเยี่ยงนี้]
“แล้วตอนข้าบอกว่าเจ้าน่ะอ่อนแอเจ้าก็ไม่เชื่อข้า แต่บัดนี้ไม่เป็นไรแล้ว! ตราบเท่าที่ตัวข้าผู้สูงส่งและทรงพลังยังอยู่ เท่านี้ก็พอแล้ว ในอนาคตข้างหน้าตัวข้าผู้สูงส่งจะปกป้องเจ้าเอง!”
สหายตัวน้อยยืดหลังตรง ใบหน้าเล็กๆนั้นทำหน้าตาขึงขังและกล่าวต่อ “เจ้าแค่บอกข้ามาว่าใครที่มันเป็นคนทำร้ายใบหน้าของเจ้า แล้วตัวข้าผู้สูงส่งจะไปล้างแค้นให้เจ้าเอง!”