บทที่ 71 เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม (อ่านฟรี)
"ทานอาหารด้วยกัน ต้องนั่งใกล้กันขนาดนี้?" เจ้าหน้าที่วินัยหลี่ตะโกน
"แค่นั่งใกล้ๆกันก็มีปัญหา ใครเป็นพูด? ผู้อำนวยการบอกมา หรือคุณพูดเออเอง? คุณไม่เคยยืนอยู่ใกล้กับผู้หญิงแปลกหน้า? หรือทุกๆครั้งคุณก็ต้องคบหากับคนๆนั้น?" เฝิงหยู่ตอบ
ฮ่า ~ ~ ~ ~
นักเรียนทุกคนต่างหัวเราะออกมา โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเห็นใบหน้าเดือดดาลของเจ้าหน้าที่วินัยหลี่
"นายกล้าพูดกับฉันแบบนี้ อาจารย์ที่ปรึกษาของนายเป็นใคร? จำไว้ นายเจอดีแน่!"
"เอาที่สบายใจเลยครับ หลี่น่า กินเสร็จหรือยัง พวกเราไปเถอะไปนั่งเล่นที่ห้องสมุดดีกว่า"
ท่าทางไม่แยแสของเฝิงหยู่ ยิ่งไปกระตุ้นต่อมโมโหของพี่วินัยหลี่เจ้าหน้าที่วินัยหลี่ เขาอยากจะคว้าตัวของเฝิงหยู่เอาไว้ แต่เขาจำพอนึกถึงความอับอายที่เฝิงหยู่ปัดมือของเขาก่อนหน้านี้ ดังนั้นเขาจึงคว้าแขนของหลี่นาแทน
“ว้าย!” หลี่นากรีดร้องออกมา
เพี๊ยะ!
เฝิงหยู่ตบมือของเจ้าหน้าที่วินัยหลี่
"จับแขนนักเรียนหญิงตามอำเภอใจ จากสิ่งที่คุณพูดเมื่อครู่ ผมสามารถตีความได้ว่าคุณมือถือสากปากถือศีล?" เฝิงหยู่ถาม
นักเรียนโดยรอบเพิ่มมากขึ้น ตอนแรกเริ่มก็คือบรรดาผู้ที่ทานอาหารเสร็จแล้ว แต่ตอนนี้ผู้ที่กำลังทานอยู่ก็หยุดชะงัก แล้วมาเข้าร่วมกลุ่มฝูงชนเพื่อชม"สงคราม"ระหว่างนักเรียนใหม่ผู้ทรงธรรมและเจ้าหน้าที่วินัยหลี่ผู้ชั่วช้า น่าตื่นเต้นจริงๆ!
ด้านหลังมีบางคนที่ส่งเสียงเชียร์เสียงดัง. เพราะคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าบังอยู่ เจ้าหน้าที่วินัยหลี่คงไม่เห็นกองเชียด้านหลังหรอก นักเรียนเหล่านี้ไม่ชอบขี้หน้าเจ้าหน้าที่วินัยหลี่และไม่พอใจสำนักงานวินัยที่เคร่งครัดกฎจนเกินไป แต่ไม่มีใครกล้าพูดกล้าต่อกร ในที่สุด ก็มีคนกล้าที่ลุกขึ้นมาต่อต้านเจ้าหน้าที่วินัยหลี่และสำนักวินัย แล้วพวกเขาจะไม่ส่งเสียเชียร์เฝิงหยู่ได้อย่างไร?
เฝิงหยู่จับมือของหลี่นาแล้วเดินไปทางฝูงชน. เขาขยิบตาให้เหวินตงจุน เพื่อสื่อให้เหวินตงจุนพานักเรียนคนอื่นๆมาปิดล้อมเจ้าหน้าที่วินัยหลี่
ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่!
"พวกเธอสองคนกำลังกัน?" ครูที่ปรึกษาถามอย่างตรงไปตรงมา นักเรียนทั้งสองคนคนเด็กที่รองผู้อำนวยการบอกให้เขาดูแลเป็นพิเศษ พวกเขาจะปะทะกับสำนักงานวินัยทำไม?
"ครับ!"
"เปล่าคะ!"
เฝิงหยู่และหลี่น่าตอบพร้อมเพรียงกัน แต่คำตอบแตกต่างกัน
หลี่นามองเฝิงหยู่อย่างตกตะลึง ความสัมพันธ์ของเธอกับเฝิงหยู่เป็นมากกว่าเพื่อนธรรมดาก็จริง แต่พวกเขาทั้งสองไม่ได้ข้ามความสัมพันธ์ของคำว่าเพื่อนเลย พวกเขาไม่เคยคิดจะทำลายความสัมพันธ์เช่นนี้ แต่ก็ไม่เคยเอ่ยปากยอมรับด้วยเช่นกัน
แต่ตอนนี้เฝิงหยู่กลับพูดออกมาแล้ว ทั้งยังพูดต่อหน้าของครูที่ปรึกษาของพวกเขา
"ไม่คะ คุณครู พวกเราไม่ได้คบกันจริงๆ" หลี่น่าปฏิเสธด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ พยายามอธิบาย
เฝิงหยู่ถอนหายใจ แม่สาวคนนี้ต้องโดนลงโทษเสียหน่อย
"ก็แล้วแต่ ครูครับ พวกเราไม่ได้คบกัน"
ครูที่ปรึกษามองเฝิงหยู่อย่างหมดคำพูด จากคำพูดและน้ำเสียงของเฝิงหยู่ จะเชื่อได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่ได้กำลังคบกัน?
นักเรียนสองคนนี้ทำไมช่างให้ให้คนอื่นเป็นห่วงขนาดนี้ พวกเขาสอบเข้าโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดในเมืองปิงได้ แถมยังเป็นโรงเรียนมัธยมปลายอันดับสามของประเทศ แต่พวกเขากลับไม่จดจ่ออยู่กับการศึกษาศึกษาเล่าเรียน แล้วสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดี. เช่นนี้จะต่างอะไรกับนักเรียนโรงเรียนธรรมดาหรือนักเรียนสายอาชีพ?
เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย พวกเขาจะได้งานที่ดี เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาจะมีครอบครัวดีดีได้ ทำไมพวกเขาถึงต้องมีความรักในวัยมัธยม?
"พวกเธอสองคนเขียนจดหมายความผิดตัวเอง ครูจะคุยกับเจ้าหน้าที่วินัยหลี่ให้ พวกเธอทั้งสองก็ไปขอโทษเขาซะ เรื่องนี้จะได้จบๆไป" ครูที่ปรึกษากล่าว
"เราจะเขียนจดหมายครับ แต่พวกเราจะไม่ขอโทษ!" เฝิงหยู่กล่าว. แค่นึกถึงตอนที่เจ้าหน้าที่วินัยหลี่ใช้แรงกำแขนของหลี่นาเขาก็ยังคงโกรธเกรี้ยว อย่าคิดว่าเขาจะขอโทษ!
ครูที่ปรึกษาพูดจาเกลี้ยกล่อมอยู่เสียนาน แต่เฝิงหยู่ยืนกรานว่าเขาจะไม่ขอโทษเป็นอันขาด ในที่สุดเขาก็ถูกพักการเรียน เมื่อไหร่ที่สำนึกผิด ก็กลับมาเรียนที่โรงเรียนได้
เฝิงหยู่ดีใจอย่างเริงร่า นั่นหมายความว่าถ้าเวลาหนึ่งเดือนเขายังไม่สำนึก เขาจะสามารถหยุดโรงเรียนได้หนึ่งเดือน?
อย่างไรเสีย เป้าหมายของเขาคือการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในคณะศิลปะศาสตร์ หรือการจัดการธุรกิจ ขาดเรียนสักเดือนหนึ่งคงไม่เป็นปัญหา
แต่หลังจากครูที่ปรึกษาออกจากห้อง หลี่น่าร้องไห้น้ำตาไหล ตั้งแต่เล็กจนถึงบัดนี้เธอยังไม่เคยถูกพักการเรียนมาก่อน เพื่อนร่วมชั้นของเธอคงจะหัวเราะเยาะเธอ และหากพ่อแม่ของเธอรู้เรื่องนี้พวกเขาคงผิดหวัง
"เอิ่ม เธอจะร้องไห้ทำไม พักการเรียนไม่กี่วันเอง หลักสูตรนี้ไม่ยากเย็นอะไร เราเรียนรู้ด้วยตัวเองก็ได้ โอเค ฉันคิดวิธีออกแล้ว พรุ่งนี้ทุกอย่างจะดีเอง " เฝิงหยู่กล่าว
หลี่น่ามองเฝิงหยู่ด้วยน้ำตาที่ไหลเอ่อ: "นายยังมีวิธีอะไรอีก ฉันรู้ว่านายคงไม่ขอโทษเจ้าหน้าที่วินัยหลี่แน่"
ตอนนี้เธออยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธออยากมาโรงเรียนและไม่อยากถูกลงโทษ แต่เธอก็ไม่อยากให้เฝิงหยู่ต้องก้มหัวขอโทษ
"พี่เขยของฉันเป็นสหายของรองผุ้อำนวยการซุน ฉันจะขอให้เขาพูดกับรองผุ้อำนวยการซุนให้"
"จริงเหรอ?"
"ฉันเคยโกหกเธอหรือ หยุดร้องไห้ได้แล้ว ยัยลูกแมวขี้แย" เฝิงหยู่หยิบผ้าเช็ดหน้าแลมาซับเช็ดน้ำตาของหลี่น่า
คิกคิก ......
หลี่น่าหัวเราะ: "นายสิ ลูกแมวน้อย"
......
เป็นอีกครั้งที่หลี่ซื่อเฉียงมาที่ห้องทำงานของรองผุ้อำนวยการซุน เขาได้รับการต้อนรับขับสู้อย่างอบอุ่นจากรองผุ้อำนวยการซุน
"หัวหน้าหลี่ ต้องขอขอบคุณสำหรับความทุ่มเทต่อโรงเรียนและนักเรียนของโรงเรียนเรา ไม่ทราบว่าวันนี้มาที่นี่ด้วยเหตุอันใด?" รองผุ้อำนวยการซุนรู้สึกประหลาดใจ การก่อสร้างสนามบาสเก็ตบอลเสร็จสมบูรณ์แล้วหรือ หรืออยากจะบริจาคอะไรให้กับโรงเรียนอีก? ถ้าเช่นนั้นมันคงเรื่องข่าวดีอย่างยิ่ง รองผุ้อำนวยการซุนยังไม่ทราบว่าเฝิงหยู่ถูกพักการเรียน
"รองผู้อำนวยการซุน น้องชายของผมถูกพักการเรียน ผมอยากทราบว่าเกิดอะไรขึ้น" หลี่ซื่อเฉียงกล่าว
"น้องชายของคุณถูกพักการเรียนแล้ว? ทำไมผมไม่รู้เรื่องนี้? อย่าเพิ่งร้อนใจ ผมจะโทรไปสอบถามเรื่องราวก่อน"
ครูที่ปรึกษาห้องของเฝิงหยู่มายังห้องทำงานรองผุ้อำนวยการซุนอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งรายงานเรื่องราวทั้งหมดฟัง เขาคิดว่าตัวเองจัดการลงโทษได้อย่างสมควร เพียงลงโทษโดยการพักการเรียนและเขียนจดหมายความผิดของตัวเอง รวมถึงการขอโทษเจ้าหน้าที่วินัยหลี่ การลงโทษเช่นนี้จะผิดได้อย่างไร?
หลี่ซื่อเฉีนั่งขาไขว่ห้าง กล่าวว่า "รองผุ้อำนวยการซุน ผมคิดว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขอโทษ แค่เพียงเขียนความผิดของตัวเองก็น่าจะพอ แต่ไม่ใช่เพราะการมีความรักก่อนวัยอันควรนะครับ เพราะน้องชายของผมไม่มีพฤติกรรมเช่นนั้น! จริงสิ สภาพอากาศร้อนอบอ้าวขนาดนี้ ผมตั้งใจจะบริจาคพัดลมเฟิงหยู่สัก 100 เครื่อง ! แต่เกรงว่าคงต้องล่าช้าอีกเป็นเดือน "
รองผู้อำนวยการซุนหัวเราะ พร้อมกล่าวว่า "คุณหลี่ ผมก็เห็นด้วยกับความคิดของคุณ แค่เขียนจดหมายความผิดก็พอแล้ว เจ้าหน้าที่วินัยที่ชื่อหลี่ก็มีส่วนผิดอยู่ เพื่อนนักเรียนหญิงชายนั่งกินข้าวด้วยกันใช่ว่าจะต้องคบกันเสียหน่อย อาจเป็นเพียงมิตรภาพที่แสนบริสุทธิ์ "
วันรุ่งขึ้น เฝิงหยู่และหลี่น่ามาเรียนตามปกติราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งสองคนเขียนความผิดของตัวเองน้อยกว่า100คำ และสาเหตุที่เขียนบนจดหมายคือการกินทิ้งกินขว้างในโรงอาหาร
เมื่อเจ้าหน้าที่วินัยหลี่อ่านจดหมายทั้งสองฉบับที่เฝิงหยู่มายื่นด้วยตัวเอง เขาฉีกมันเป็นชิ้นๆ แต่หัวหน้าฝ่ายวินัยได้บอกให้เขาปล่อยปละเรื่องนี้ไปเสีย
รองผู้อำนวยการซุนบอกว่าให้ประเมินที่การศึกษาดีกว่า ทั้งยังต้องอนุญาตให้นักเรียนชายหญิงเป็นเพื่อนกันตามปกติ.ไม่ควรเข้มงวดกวดขันจนเกินไป เจ้าหน้าวินัยหลี่ไม่พอใจ แต่เพราะหัวหน้าบอกมาเช่นนี้เขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้ จนเขาสังเกตเห็นวัฒนธรรมของโรงเรียนเปลี่ยนแปลงไป
เมื่อก่อน หลังจากเลิกเรียนแล้วนักเรียนชายและหญิงจะเล่นด้วยกันน้อยมาก ต่างก็แยกย้ายกันไป แต่ตอนนี้นักเรียนชายและหญิงต่างก็เข้าร่วมกิจกรรมด้วยกัน
ในช่วงเวลาอาหาร นักเรียนชายและหญิงนั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน ทั้งตอนเช้าและตอนเย็นจะมีนักเรียนชายและหญิงที่ออกไปวิ่งเล่นด้วยกันในทุ่งนา
ทุกครั้งที่เขาเข้าไปถามนักเรียนเหล่านี้ พวกเขาจะตอบกลับว่าเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น!
ในที่สุดเจ้าหน้าที่วินัยหลี่ก็ยอมแพ้ ทำงานหนักมากไปแต่ไม่มีผลตอบแทน แต่ต่อมาเขาก็เริ่มสังเกตเห็นทีละน้อย ว่าตั้งแต่ที่เขาเลิกจับพิรุธนักเรียนที่กำลังคบหาดูใจกัน ก็แทบจะไม่มีเรื่องรักๆใคร่ระหว่างนักเรียนเลย ส่วนคู่รักที่คบหากันต่างก็ให้กำลังใจและช่วยเหลือด้านการเรียนซึ่งกันและกัน เพื่อจะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัย
แน่นอน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของอนาคต
แต่เรื่องราววันนั้นที่เฝิงหยู่ยืนประจันหน้าต่อต่านเจ้าหน้าที่วินัยหลี่ ได้มีนักเรียนสถาปนาว่าเป็น"วันปลดแอก" ต่อไปภายภาคหน้า เรื่องราวนี้จะกลายเป็นเรื่องเล่าสืบไป