บทที่ 137 คู่ต่อสู้ของแต่ละคน
ซู่จ้องมองบุรุษร่างผอมที่ขวางหน้านางอย่างเย็นชา นางจดจำมันได้
กุ่ยฟง คนผู้นี้ที่มาไม่แน่ชัด แตกฉานเพลงกระบี่ภูตพรายน้อย ทั้งยังฝึกปรือท่าร่างเงาผีหลบเร้นอันลี้ลับ เป็นหนึ่งในผู้เข้าประลองยอดนิยมในงานชุมนุมวิจารณ์กระบี่แห่งตงฝูครั้งนี้
กุ่งฟงสวมชุดดำมืด ซึ่งนางไม่ทราบว่าทำจากวัสดุชนิดใด สีดำสนิททื่อด้านปราศจากความมันวาว ร่างผอมสูง มือแห้งเกร็งเห็นเส้นเลือดปูดโปน ดวงตามืดดำ คนคล้ายอัดแน่นไปด้วยปราณหยินอันเข้มข้นชวนสะท้านใจ
ทั้งคู่ไม่ใช่บุคคลมากวาจา ทันทีที่สายตาประสานกัน พวกมันก็สืบเท้าเข้าหาอีกฝ่ายอย่างพร้อมเพรียง
หัตถ์นวลเนียนของซู่คลี่กางออก นิ้วขาวราวหิมะคีบเบาๆ ที่กลางอากาศ
กุ่ยฟ่งคล้ายเห็นฉากตรงหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย ฟ้าดินหมุนคว้าง รู้สึกวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง
กระบี่ขั้วแม่เหล็ก!
แม้ว่าในมือนางไม่มีกระบี่ แต่เจตจำนงกระบี่ขั้วแม่เหล็กของนางก็ยังเต็มไปด้วยพลัง
กุ่ยฟงแค่นเสียงอย่างเย็นชา ดวงตาดุจอินทรีดำมืดหรี่แคบลง มันคล้ายไม่ได้เคลื่อนไหวอันใด แต่กลับหายวับไปจากจุดที่เคยยืน
ซู่ประกบดรรชนีเป็นกระบี่ ปาดจี้ใส่กลางอากาศว่างเปล่าข้างกายนาง!
กระบี่กระดูกผีสีขาวพลันแทงออกมาจากช่องว่าง หนึ่งกระบี่หนึ่งดรรชนี คล้ายนัดหมายกันกลางอากาศ แทงใส่กันอย่างแม่นยำ
ซู่แค่นเสียงหนักๆ คราหนึ่ง กุ่ยฟงบีบอัดเจตจำนงกระบี่ของมันไว้ที่ปลายกระบี่ ทันทีที่กระบี่กับดรรชนีปะทะกัน นางก็เพลี่ยงพล้ำ เจตจำนงกระบี่เย็นเยือกมืดมนแล่นเข้ามาทางปลายนิ้ว ผ่านเข้าไปในร่างกายนาง จนรู้สึกแข็งทื่อไปทั้งร่าง
กระบี่กระดูกผีขาวมีสีขาวราวหิมะ ไม่ทราบหลอมสร้างจากกระดูกแปลกประหลาดชนิดใด โกร่งกระบี่เป็นกะโหลกศีรษะที่สมบูรณ์หัวหนึ่ง เปิดปากกัดใบกระบี่เอาไว้ เขี้ยวโค้งคมสี่เขี้ยวตัดไขว้เป็นกากบาท ในเบ้าตากลวงเปล่ามีแสงไฟภูตผีขนาดเมล็ดถั่วลุกไหม้เบาๆ ด้ามจับสร้างจากเหรียญทองแดงเจ็ดเหรียญเรียงเป็นแถว ถักทอห่อหุ้มด้วยเชือกฟาง
นามของกระบี่กระดูกผีสีขาวเล่มนี้ไม่มีผู้ใดรู้จัก แต่เพียงมองแวบเดียวก็สามารถบอกได้ว่าไม่ธรรมดา
เบื้องหลังผ้าคลุมหน้าสีดำ ซู่มีสีหน้าขุ่นเคืองอยู่บ้าง เพียงปะทะซึ่งหน้ากระบวนท่าแรกก็เพลี่ยงพล้ำ สำหรับนางแล้ว นับเป็นประสบการณ์ที่หายากมาก
นางที่เพลี่ยงพล้ำไม่มีเหตุผลอื่นใด แต่เป็นเพราะไม่ยอมใช้กระบี่บินของนาง แม้ว่าไม่ยินดีอยู่บ้าง แต่ซู่ก็ยังต้องนำกระบี่บินสีดำออกมา ทีแรกนางตั้งใจไว้ว่าก่อนที่กระบี่บินเล่มใหม่จะหลอมสร้างสำเร็จ นางไม่คิดใช้กระบี่บินอีก
กระบี่ในมือนางนามกระบี่รัศมีดำ แม้เป็นกระบี่ชั้นสูง แต่ไม่เหมาะกับเคล็ดวิชากระบี่ของนาง
สำหรับสตรีที่มุ่งมั่นเพื่อความสมบูรณ์แบบ นางไม่เต็มใจจะใช้กระบี่บินที่ไม่เหมาะมือ
สิ่งที่นางเดือดดาลจริงๆ ไม่ใช่การเพลี่ยงพล้ำซึ่งๆ หน้า แต่เป็นการที่กุ่ยฟงบีบบังคับให้นางใช้กระบี่บินที่นางไม่ต้องการใช้
กุ่ยฟงเมื่อช่วงชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบ แน่นอนว่าที่ตามติดมาย่อมเป็นการโหมจู่โจมอย่างต่อเนื่อง ไม่ปล่อยให้นางได้มีโอกาสพักหายใจ หากเป็นยามปกติ นางย่อมสามารถค่อยๆ คิดหาหนทางรับมือ แต่วันนี้นางยังต้องไปตามหาจั่วม่ออีก! เดิมทีนางไม่ค่อยสนอกสนใจงานชุมนุมวิจารณ์กระบี่สักเท่าใด แต่การที่ส่งจั่วม่อเข้าสู่สิบลำดับแรกได้หรือไม่ มีผลกระทบต่อการหลอมสร้างกระบี่บินเล่มใหม่ของนาง
นางต้องการจบการต่อสู้โดยเร็วที่สุด!
ซู่ค่อยๆ พลิกด้ามกระบี่รัศมีดำ ปลายกระบี่ชี้ตั้งขึ้น ขวางอยู่เบื้องหน้านาง ทันใดนั้นพื้นที่รอบกายนางบิดเบี้ยวอย่างกะทันหัน มีเพียงซู่ที่อยู่ตรงกึ่งกลางที่ไม่ได้รับผลกระทบใด
ในเวลานี้เอง กระบี่กระดูกขาวแหลมคมพลันพุ่งเจาะจากความว่างเปล่าด้านหน้านาง!
ซู่ไม่ขยับ
เห็นอีกฝ่ายไม่คิดหลบหลีก กุ่ยฟงประหลาดใจอยู่บ้าง แต่กระบี่กระดูกขาวไม่มีรีรอลังเล กะโหลกศีรษะเปล่งเสียงโหยหวน ราวกับวิญญาณแค้นนับไม่ถ้วนร่ำร้องทวงชีวิต สั่นขวัญสะท้านวิญญาณผู้คน หากกระบี่นี้แทงใส่ร่าง อย่าหมายมีโอกาสรอดชีวิตได้
กระบี่บินรวดเร็วถึงที่สุด พริบตาเดียวก็แทงใส่ผ้าคลุมหน้าสีดำของซู่ กุ่ยฟงในใจบังเกิดความยินดี แต่ยังเต็มไปด้วยความกังขา ซู่ไม่สมควรอ่อนแอจนพ่ายแพ้ในกระบี่เดียวกระมัง?
ในการประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ครั้งนี้ ล้วนชุมนุมยอดฝีมือมากมาย ในหมู่ยอดฝีมือที่เป็นที่ชื่นชอบ สองคนที่ลึกลับที่สุดคือกุ่ยฟงกับซู่ ทั้งคู่ต่างมีต้นกำเนิดที่ไม่ทราบชัด ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าสองผู้เข้าประลองที่ลึกลับที่สุด จะโคจรมาพบกันตั้งแต่แรก
กุ่ยฟงแทงถูกเป้าหมาย!
มันกลับไม่ได้ยินดี แต่ตื่นตะลึง แม้ว่าดวงตาจะเห็นกระบี่แทงถูกเป้าหมายอย่างชัดเจน แต่กระบี่กระดูกในมือมันไม่ได้รู้สึกว่าแทงถูกสิ่งที่มีตัวตนแต่อย่างใด
แย่แล้ว!
ภายใต้อาการแตกตื่น กุ่ยฟงดีดกายถอยหลังอย่างรวดเร็ว
ไม่ทราบเพราะเหตุใด กระบี่กระดูกขาวกลับแทงใส่อากาศธาตุ ห่างจากผ้าคลุมหน้าของซู่ไปสามชุ่น พลังอันมืดมนเย็นเยียบทำให้นางอึดอัดขัดข้อง แต่นางไม่แม้แต่กระพริบตา
กระบี่รัศมีดำในมือนางพลิกหมุน กลายเป็นขวางกลางอก มือซ้ายยกขึ้นผนึกมุทรา เปล่งเสียงสามพยางค์ออกจากปาก
นางเริ่มตีโต้!
จั่วม่อปาดเหงื่อบนหน้าผาก ทอดตามองค่ายกลตรงหน้ามันอย่างพึงพอใจ
มันปิดกั้นบ่อน้ำขนาดครึ่งหมู่ จนกลายเป็นศูนย์กลางของค่ายกลอย่างสมบูรณ์ เมื่อเทียบกับทะเลสาบ บ่อน้ำอาจมีปราณวารีน้อยกว่าบ้าง แต่นับว่ามากเพียงพอแล้วสำหรับมัน เมื่อปิดกั้นบ่อน้ำอย่างสมบูรณ์ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องผู้อื่นจะลอบเข้ามาทำลายค่ายกล
ธงสีเขียวขนาดเท่าฝ่ามือเจ็ดผืน ปักเรียงรายอยู่รอบบ่อน้ำ ส่งเสียงสะท้อนหาซึ่งกันและกัน
ธงเล็กๆ ทั้งเจ็ดผืนนี้ ส่วนเสาทำจากไม้เขียวระดับสาม ผืนธงทอด้วยไหมฟ้าระดับสาม ด้วยอานุภาพค่ายกลที่จารึกไว้บนธง ธงไม้เขียวทั้งเจ็ดราวกับรากไม้ใหญ่เจ็ดราก ดูดซับปราณวารีจากในบ่อน้ำมาเปลี่ยนเป็นปราณธาตุไม้
วางรอบธงไม้เขียวแต่ละต้น เป็นกระถางหลอมกลั่นโอสถเศียรราชสีห์ทองแดงขนาดเล็ก ระดับสอง ชุดละเจ็ดใบ เรียงรายเป็นรูปเจ็ดดาวเหนือ หนุนเสริมธงไม้เขียว ก่อตั้งเป็นค่ายกลไฟหลีระดับสองขึ้นมา
ด้านข้างกระถางหลอมกลั่นโอสถทั้งเจ็ดใบ ยังมีป้ายหยกสิบสองป้ายวางกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ป้ายหยกสิบสองแผ่นเชื่อมโยงกันด้วยเส้นด้ายทองคำสีแดงที่บางมาก ตาข่ายละเอียดยิบถักทอจากเส้นด้ายทองคำสีแดง พันไว้รอบกระถางหลอมกลั่นโอสถทองแดงทั้งเจ็ด ใช้ก่อตั้งค่ายกลเพลิงสามหวนอันสมบูรณ์แบบ เสริมพลังให้ค่ายกลไฟหลีอีกขั้น
เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า ค่ายกลไฟหลีขนาดเล็กแต่ละค่าย ก่อตั้งด้วยกระถางหลอมกลั่นโอสถใบเล็กเจ็ดใบ เจ็ดค่ายกลเรียงราย สี่สิบเก้ากระถางหลอมกลั่นโอสถใบเล็กกระพริบด้วยแสงจางๆ สะท้อนประสานซึ่งกันและกันดังหึ่งๆ รวมตัวกันเป็นค่ายกลไฟหลีขนาดยักษ์ชุดหนึ่ง
ยืมพลังปราณวารีเพิ่มปราณธาตุไม้ จากนั้นเปลี่ยนไม้ให้กลายเป็นไฟ!
ค่ายกลไฟหลีไม่ใช่ค่ายกลชั้นสูง โดยทั่วไปมักแกะสลักไว้บนกระถางหลอมกลั่นโอสถระดับต่ำ ค่ายกลไฟหลียักษ์เทียบกับค่ายกลไฟหลี นับเป็นค่ายกลระดับสูงกว่า โดยทั่วไปประกอบด้วยค่ายกลไฟหลีสองค่ายขึ้นไป
ค่ายกลไฟหลียักษ์ที่จั่วม่อก่อตั้งขึ้นนี้ ประกอบด้วยค่ายกลไฟหลีถึงเจ็ดค่าย! ค่ายกลไฟหลีแต่ละค่ายยังได้รับการหนุนเสริมจากปราณธาตุไม้อย่างเต็มที่ ทั้งยังพึ่งพาค่ายกลเพลิงสามหวนช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งของเจ็ดค่ายกลไฟหลีขึ้นมาอีกขั้น!
ไม่ทราบเปลวไฟที่สร้างออกมาจากค่ายกลอันซับซ้อนนี้ จะร้ายกาจรุนแรงสักเท่าใด?
จั่วม่อเต็มไปด้วยความคาดหวัง ถึงกับคันไม้คันมือ ต้องการเสาะหาคนมาทดลองวิชาสักคน
บ่อน้ำทั้งบ่อถูกจั่วม่อเปลี่ยนเป็นกระถางหลอมกลั่นขนาดมโหฬาร! เป็นที่คาดคำนวณได้ว่ากระถางหลอมกลั่นยักษ์ใบนี้ จะเป็นอาวุธอันยิ่งใหญ่ถึงเพียงไหน แม้แต่มันก็ไม่ทราบว่าจะร้ายกาจถึงขั้นใด การทดลองก่อนหน้านี้ มันเพียงใช้วัตถุดิบที่ใช้กันทั่วไปและมีราคาถูกที่สุด แต่พลังของค่ายกลก็ทำให้มันพึงพอใจยิ่ง
อาจกล่าวได้ว่า ค่ายกลไฟหลียักษ์นี้สร้างขึ้นมาจากกองจิงสือทั้งหมดของมัน วัตถุดิบส่วนมากเป็นสินค้าที่ซื้อมาจากหอลอยร้อยวิเศษ
จากนั้นจั่วม่อเดินคุ้ยเขี่ยตามเนินเขาวัตถุดิบที่มันกองไว้ ค้นหาเล็บเหล็กยาวสามฉื่อมัดใหญ่ออกมา แบกขึ้นบนบ่า มือขวาถือค้อนขนาดใหญ่โตมโหฬารด้ามหนึ่ง!
จั่วม่อดวงตาทอประกายเจิดจ้า ฮี่ฮี่ นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง...
ฉางเหิงเดินทอดน่องไปตามเส้นทางภูเขาราวกับกำลังท่องชมทิวทัศน์ สีหน้าเกียจคร้านเฉื่อยชา บางครั้งบางคราวมันจะหยุดเดิน มองไปยังการต่อสู้ระหว่างเหวยเสิ้งกับกู่หรงผิงอย่างเบิกบานใจ
มันประจันหน้าผู้เข้าประลองสองสามคน แต่คนเหล่านั้นทำท่าราวกับพบพานผีสาง หมุนตัวห้อแน่บจากไปแบบไม่เหลียวหลัง ฉางเหิงก็คร้านเกินกว่าที่จะไล่ติดตาม จึงเอาแต่เดินท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ อย่างไม่อินังขังขอบ ในการประลองสองรอบแรกที่ผ่านมา ผลลัพธ์ของคู่ต่อสู้ของมันทั้งสองคนล้วนคล้ายเหมือนยิ่ง บาดเจ็บสาหัสปางตาย! คนหนึ่งต้องนอนอยู่บนเตียงครึ่งปี ส่วนอีกคนปาเข้าไปแปดเดือน
หากสอบถามผู้เข้าประลองส่วนใหญ่ พวกมันยินดีต่อสู้กับกู่หรงผิงมากกว่าพบพานฉางเหิง นี่เป็นทางเลือกระหว่างพ่ายแพ้กับบาดเจ็บสาหัส คนส่วนใหญ่ย่อมยินดีรับความปราชัย แทนที่จะตกอยู่ในสภาพปางตายกว่าครึ่งปี
ผู้เข้าประลองอย่างฉางเหิงที่เดินส่ายอาดๆ ไปทั่วอย่างอิสระเสรี ย่อมมีความเชื่อมั่นในพลังของตนอย่างที่สุด ส่วนผู้เข้าร่วมประลองธรรมดามักเสาะหาที่ซ่อนตัวไว้ พวกมันยิ่งอยู่รอดได้นานเท่าใด อันดับก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น เรื่องนี้ทุกผู้คนล้วนทราบกระจ่าง และซิวเจ่อที่สามารถมาถึงระดับนี้ได้ ย่อมไม่มีผู้ใดในหมู่พวกมันขาดความอดทนอดกลั้น
แต่ในที่สุดฉางเหิงก็ได้พบคนที่ไม่วิ่งหนีเมื่อพบพานมัน
นั่นเป็นซิวเจ่อที่ธรรมดาสามัญถึงที่สุดผู้หนึ่ง ลองหวนนึกดูในรอบก่อนๆ ฉางเหิงนึกเท่าใดก็หาความประทับใจในคนผู้นี้ไม่พบ ใบหน้าเหลือง จมูกกระเทียม สวมใส่เสื้อคลุมสั้น ท่วงท่าสภาวะสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง ซ้ำยังจับตามองมายังมันอย่างสนอกสนใจ
ฉางเหิงจู่ๆ ก็ทำท่าสูดดมในอากาศ เอียงคอ พึมพำกับตัวเอง “กลิ่นอันคุ้นเคยนัก”
อีกฝ่ายชะงักงัน จากนั้นเผยสีหน้าปิติยินดี
ฉางเหิงไม่ทราบว่าอีกฝ่ายไฉนปิติยินดี เท่ากับที่ไม่ทราบว่าตัวมันไฉนรู้สึกว่าคนผู้นี้มีกลิ่นที่มันคุ้นเคย แต่คร้านจะถามไถ่ มือขวาดึงแหวนทองแดงที่กึ่งกลางระหว่างกระดูกไหปลาร้าออกมาตรงๆ
เสียงกรีดแหลมของกระบี่เสียดสีกระดูกดังขึ้น ภาพอันน่าขนพองสยองเกล้าเกิดขึ้นอีกครั้ง
กระบี่แมงมุมโลหิตสีแดงสดค่อยๆ เผยโฉมออกมาอย่างแช่มช้า
ฉางเหิงพบว่าคนตรงหน้าจ้องมองกระบี่แมงมุมโลหิตไม่คลาดสายตา ความปิติยินดีเลือนหายไป คล้ายมีความผิดหวังเข้ามาแทนที่
ผิดหวัง?
น่าประหลาดเสียจริง รอยยิ้มลึกลับปรากฏขึ้นที่มุมปากของฉางเหิง เส้นผมแข็งชี้ราวกับป่ากระบี่ เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟันอันรุนแรง
หลัวหลีหลบซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาอย่างระมัดระวัง เมื่อเทียบกับความสงบเยือกเย็นของศิษย์พี่ใหญ่ หรือความไม่อินังขังขอบของฉางเหิง หลัวหลีระมัดระวังมากกว่า มันนั่งไขว้ขาท่าดอกบัวอยู่ใจกลางหุบเขา กระบี่บินของมันลอยแน่วนิ่งอยู่ข้างกาย ตั้งฉากกับพื้นดิน ดวงตาปิดสนิท สั่งสมเจตจำนงกระบี่ไว้ภายใน
มันราวกับนายพรานซุ่มรอเหยื่ออย่างเยือกเย็น ไม่ว่าผู้ใดปรากฏกายขึ้นที่ปากหุบเขา จะเผชิญกับการโจมตีสุดกำลังที่ตระเตรียมไว้เป็นเวลานาน
หวนคิดถึงความเย่อหยิ่งโอหังในอดีต มันราวกับผู้ชมดูอยู่ข้างกระดาน มองตัวเองที่ผ่านมาอย่างใจเย็น มันปรารถนาจะใช้เคล็ดกระบี่เวิ้งว้างกับเคล็ดกระบี่ไร้ลักษณ์ ชุบชีวิตเคล็ดกระบี่สุญตาให้กลับมาผงาดอีกครั้ง แต่บังเอิญเดินเข้าไปในมรรคาที่แตกต่างออกไปสายหนึ่ง มรรคาที่เป็นของมันเอง
พรสวรรค์ของมันแม้ไม่น่าสะพรึงกลัวเท่าเหวยเสิ้ง แต่ยังคงเหนือกว่าผู้อื่น ก่อนที่เหวยเสิ้งกับจั่วม่อจะปรากฏตัวขึ้น มันเป็นศิษย์ที่เด่นล้ำที่สุดของสำนักกระบี่สุญตาตลอดมา อาจเป็นเพราะได้รับการรักใคร่เอ็นดูตั้งแต่เล็กแต่น้อย เพาะสร้างนิสัยเย่อหยิ่งโอหังขึ้นมา คนกลายเป็นใจร้อนหุนหัน ท้ายที่สุด กระบี่นั้นของจั่วม่อดุจเสียงระฆังยามรุ่งสาง ปลุกมันตื่นขึ้นมาในกระบี่เดียว
หลัวหลีที่ตื่นขึ้นมาแล้ว กลายเป็นมานะบากบั่นอย่างผิดปกติ เริ่มแสดงความสามารถที่แท้จริงของมันออกมา
การเปิดหอคัมภีร์ของสำนัก ผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือหลัวหลี เหวยเสิ้งได้รับสิ่งใดมาจากในถ้ำกระบี่ ไม่มีผู้ใดทราบ แต่ศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้ไม่เคยสนใจในหอคัมภีร์ของสำนัก จั่วม่อสนใจแต่วิชาหลอมกลั่นโอสถ วิชาหลอมสร้างยุทธภัณฑ์และวิชาค่ายกล นอกจากพลิกดูเคล็ดกระบี่มังกรน้ำแข็งผ่านๆ รอบหนึ่ง มันก็ไม่เคยแตะต้องเคล็ดวิชากระบี่เล่มใดอีกเลย
แต่หลัวหลีไม่ใช่
เมื่อการฝึกปรือเคล็ดกระบี่เวิ้งว้างกับเคล็ดกระบี่ไร้ลักษณ์ของมันมาถึงทางตัน ในความสิ้นหวังมันได้แต่เสาะหาหนทางอื่น ราวกับว่าหิวโหยมาแรมปี จากเช้าจรดค่ำ ค่ำจรดเช้า มันได้อ่านเคล็ดวิชากระบี่เกือบทั้งหมดที่มีอยู่ในสำนัก หวังว่าอาจได้รับแรงบันดาลใจจากที่ใดสักแห่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าเคล็ดวิชากระบี่ระดับสี่ เช่นเคล็ดกระบี่เมฆา เคล็ดกระบี่เพลิงแดง และเคล็ดกระบี่มรกต มันอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย ไม่มีผู้ใดคาดคิด อาศัยเคล็ดวิชากระบี่สามเล่มนี้ มันสามารถหลอมรวมเคล็ดกระบี่เวิ้งว้างกับเคล็ดกระบี่ไร้ลักษณ์เข้าด้วยกันสำเร็จจริงๆ!
ทว่าเคล็ดวิชากระบี่ใหม่ที่มันหลอมรวมสำเร็จ แตกต่างจากเคล็ดกระบี่สุญตา
หลัวหลีขนานนามวิชากระบี่เฉพาะตัวของมันว่า ‘เคล็ดกระบี่หว่อหลี*’
(*หว่อแปลว่า ผม,ฉัน หลีเป็นคำเดียวกับชื่อของหลัวหลี แปลว่าแยกจาก หว่อหลีแปลว่าแยกตัวเอง ผู้แปลเห็นว่าทับศัพท์ดูจะเข้ากับชื่อหลัวหลีมากกว่า)