TWO Chapter 236 ความต้องการผู้มีความสามารถพิเศษ
TWO Chapter 236 ความต้องการผู้มีความสามารถพิเศษ
โอหยางโชวได้ขยาย 5 กรมทหาร ซึ่งรวมทั้งหมด 18 กองพัน คิดเป็นทหารทั้งสิ้น 9,000 นาย ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากกองทหารสำรอง ที่เคยเป็นเชลยจากการกวาดล้างค่ายโจร
โอหยางโชวได้ประมาณคร่าวๆว่า เพียงแค่การเปลี่ยนขั้นทหาร ของการขยายกองทัพในครั้งนี้ ก็ต้องใช้เงินเกือบ 10,000 เหรียญทองแล้ว แม้ว่าเขาจะหาเงินได้เร็วกว่าลอร์ดคนอื่นๆ แต่เขาก็ใช้เงินเร็วกว่าลอร์ดคนอื่นๆด้วยเช่นกัน
ในตอนที่เริ่มเล่นเกมส์ เงิน 100 เหรียญทอง นับได้ว่าเป็นเงินจำนวนมาก แต่เพิ่งจะผ่านมาไม่ถึงปี เขากับใช้เงินนับพันๆเหรียญทองออกไปอย่างง่ายดาย
ในขณะที่กองทัพขยายตัวอย่างรวดเร็ว ความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยของทหารก็ลดลงเช่นกัน นอกจากนี้ การจัดหาอาวุธและอุปกรณ์ที่เหมาะสม ก็ยังคงไม่ทันกับอัตราการขยายตัวนี้
จากมาตรฐานของกองทัพซานไห่ การจัดหาธนูที่เหมาะสมให้ได้ 100% คงจะเป็นไปไม่ได้ นอกจากนี้ โรงผลิตอาวุธก็ไม่สามารถเพิ่มความเร็วในการสร้างอาวุธหลักให้กับทหารโล่กระบี่และทหารม้าได้
ม้าศึกฉิงฟู่ 3,000 ตัว ที่อยู่ในทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ทางตะวันตกของเมือง ได้ถูกนำไปใช้ทั้งหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม มันยังคงไม่เพียงพอสำหรับกรมทหารองครักษ์และกรมทหารที่ 4 สุดท้าย พวกเขาก็ยังขาดม้าศึกฉิงฟู่อยู่อีกถึง 1,500 ตัว สำหรับกรมทหารป้องกันเมืองทั้ง 3 การจะให้พวกเขาได้รับม้าศึกฉิงฟู่ทั้งหมด คงจะเป็นจินตนาการที่ไกลเกินเอื้อม
กองทัพขนาดใหญ่ได้กลายเป็นภาระทางการเงินของดินแดนอย่างมหาศาล
จากมาตรฐานเงินเดินของทหาร 1 กองพัน จะมีขั้นทหารเฉลี่ยที่ขั้น 4 ซึ่งจะต้องจ่ายเงินเดือนรวมถึง 275 เหรียญทอง, ทหาร 1 กรม จะต้องจ่ายเงินเดือนรวม 1,375 เหรียญทอง และทหาร 1 กองพล จะต้องจ่ายเงินเดือนรวม 8,250 เหรียญทอง นี่ยังไม่รวมเงินเดือนของนายพันและผู้การ รวมเงินเดือนของนายทหารเหล่านี้แล้ว ซึ่งคิดเป็น 35% ของเงินเดือนรวมของกองทัพ
ด้วยค่าใช้จ่ายทางทหารจำนวนมากเช่นนี้ โอหยางโชวจึงไม่ได้รับกำไรจากเหมืองแร่หลางซานและนาเกลือเขตเหนือ เขาส่งพวกมันให้กับกรมการเงินโดยตรง
ดังนั้น แม้ว่ามันจะเป็นเวลาที่กองทัพเมืองซานไห่จะแข็งแกร่งที่สุด มันก็ถูกนับว่าเป็นช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุดด้วยเช่นกัน
เรื่องเกี่ยวกับกิจการทหารเป็นเพียงเรื่องแรกที่อยู่ในวาระการประชุมการปกครองและการทหารครั้งนี้
โอหยางโชวมองไปรอบๆ แล้วกล่าวว่า “เราได้จัดระเบียบต่างๆในคฤหาสน์ของลอร์ดครั้งล่าสุด ตั้งแต่ดินแดนยังเป็นเมืองขนาดกลางระดับ 1 และมันก็ผ่านมา 4 เดือนแล้ว ในขณะที่พนักงานและข้าราชการเพิ่มมากขึ้น อาคารเหวินฮัวกลายเป็นคับแคบเกินไปแล้ว”
“ดังนั้น ข้าจึงได้ตัดสินใจ จากการจัดระเบียบของเมือง พื้นที่ทางตะวันตกของคฤหาสน์ของลอร์ด เป็นพื้นที่สำหรับข้าราชการ โดยตั้งเป็นมาตรฐานว่า ฝ่ายต่างๆจะมีอาคารเป็นของตัวเอง และจะรวมกลุ่มกันอยู่ตามกรมที่พวกเขาสังกัด รวมถึงกรมกิจการทหารด้วย ทั้งหมดจะต้องย้ายไปที่พื้นที่นั้น”
“สำหรับคฤหาสน์ของลอร์ด อาคารหลักของส่วนหน้านี้จะกลายเป็นพื้นที่สำหรับการประชุมทั้งหมด นอกเหนือจากห้องโถงประชุม ห้องที่อยู่ทั้ง 2 ข้างของห้องโถง จะกลายเป็นห้องโถงย่อย ห้องโถงใหญ่จะใช้สำหรับการประชุมการปกครองและการทหารประจำเดือน ในขณะที่ห้องโถงย่อยจะถูกนำไปใช้เป็นห้องประชุมประจำวัน ส่วนสำนักงานต่างๆในอาคารหลัก จะถูกย้ายไปยังอาคารเหวินฮัว”
การเปลี่ยนแปลงการจัดระเบียบคฤหาสน์ของลอร์ดครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายและเหมาะสม หลังจากพื้นที่สำหรับข้าราชการเสร็จสิ้น คฤหาสน์ของลอร์ดก็จะกลายเป็นพื้นที่หลักของอำนาจ ซึ่งหมายความว่า โอหยางโชวจะเริ่มวางมือจากความรับผิดชอบในหัวหน้าฝ่ายต่างๆหรือตำแหน่งที่ต่ำกว่านั้นลง โดยเขาจะควบคุมเพียงผู้ที่มีตำแหน่งสูงและดูเพียงสถานการณ์โดยรวมเท่านั้น
โอหยางโชวมีเรื่องภายนอกให้จัดการมากมาย เขาไม่มีพลังมากพอจะดูแลและตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดได้ ดังนั้น เขาจึงใช้อาคารเหวินฮัวเป็นตัวแทนของเขาในโครงสร้างของดินแดน
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เป็นการจัดตั้งฝ่ายหรือกรม แต่อิทธิพลของมันก็ไกลกว่านั้นมาก
การปฏิรูปแบบนี้เป็นสิ่งที่หลายๆคนไม่เข้าใจ พวกเขามีอาคารส่วนตัวและไม่ต้องทำงานภายใต้การจับตามองของลอร์ด แน่นอนว่าพวกเขาย่อมมีความสุขเกี่ยวกับเรื่องนี้ มองเข้าไปลึกๆ อาจจะมีเพียงสูซูต้าและสูเจิ้งชางเท่านั้นที่พอจะทำความเข้าใจได้
ฟ่านจงหยานและเทียนเหวินจิงมองหน้ากัน แววตาของพวกเขาแสดงออกถึงความไม่มั่นใจ
โอหยางโชวไม่ได้รำคาญกับความคิดของพวกเขา เขากล่าวว่า “ในขณะที่ดินแดนมีเรื่องให้ทำมากขึ้น เอกสารเข้ามามากขึ้น และจะยุ่งมากขึ้น เมื่อเราได้รับเอกสารอย่างเป็นทางการมากขึ้น เสมียนเพียงคนเดียวก็คงยากที่จะจัดการ ดังนั้น ข้าจึงตัดสินใจที่จะตั้งสำนักงานเสมียน โดยมุ่งเน้นไปที่การจัดการเอกสาร โดยผู้จัดการเสมียนจะมีฐานะเทียบเท่ากับหัวหน้าฝ่าย และไป๋หนานผูจะรับตำแหน่งนี้ โดยเขาสามารถจ้างเสมียนเพิ่มอีก 4-5 คน มาช่วยงานเขาได้”
“ขอบคุณขอรับท่านลอร์ด!” ไป๋หนานผูได้ทำหน้าที่ของเขาเป็นอย่างดี เขาจึงเหมาะสมที่จะรับตำแหน่งนี้
โอหยางโชวยังประกาศอีกว่า รองหัวหน้าฝ่ายก่อสร้างเฮาเจี้ยนเฉิง จะเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายก่อสร้างแทนเจ้าเต๋อหวัง
เดิมโอหยางโชววางแผนให้เสี่ยวเยว่เข้ามารับตำแหน่งนี้ แต่น่าเสียดาย เธอสนใจเพียงแค่เรื่องสถาปัตยกรรม และไม่ได้สนใจเรื่องการก่อสร้าง ดังนั้น โอหยางโชวจึงต้องตัดสินใจเช่นนี้
หลังจากปฏิรูปแล้ว โอหยางโชวก็เริ่มประกาศแผนการสำหรับดินแดนของเขา “การยึดครองดินแดนทั้ง 5 แห่ง พร้อมกัน เป็นสิ่งที่น่ายินดี ขั้นต่อไปก็คือ เราต้องคิดถึงการรวมดินแดนทั้ง 5 แห่งนี้ เข้ากับระบบของเมืองซานไห่ สำหรับพวกเขา เราจะต้องมีแผนและเป้าหมาย โดยเป้าหมายหลักคือการสร้างเมืองเทียนเฟิง เมืองนี้ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เพราะมันจะกลายเป็นเมืองศูยน์กลางของพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแอ่งเหลียนโจวในอนาคต”
“เพื่อสนับสนุนการสร้างเมืองเทียนเฟิง ข้าตัดสินใจจะส่งเชลยจากสันเขาเอ้อซีไปที่นั่น นอกเหนือจากที่คัดเลือกเป็นกองกำลังสำรองแล้ว เราควรจะทำเช่นไรต่อหรือ? เนื่องจากเราได้พลาดโอกาสที่จะเตรียมพื้นที่เพาะปลูกสำหรับฤดูการปลูกข้าวในช่วงที่ 2 ของปีแล้ว คำตอบก็คือ การสร้างกำแพงเมือง กำแพงในตอนนี้มีขนาดเล็กเกินไป และสามารถรับคนได้ในจำนวนจำกัด กำแพงชั้นนอกต้องเป็นไปตามมาตรฐานของเมืองขนาดกลาง โดยยาว 10 กิโลเมตร สูง 10 เมตร และกว้าง 30 เมตร”
โครงการหลักสำหรับเมืองเทียนเฟิงก็คือ กำแพงชั้นนอกและถนนเทียนไห่ ทั้ง 2 โครงการเป็นโครงการขนาดใหญ่ โอหยางโชวจึงส่งเจ้าเต๋อหวังไปเป็นผู้ปกครองเมืองเทียนเฟิง
ความคิดของโอหยางโชวนั้นเรียบง่าย ก่อนที่พวกเขาจะสร้างถนนเทียนไห่เสร็จ เมืองเทียนเฟิงยังคงจะถูกตัดขาดและอยู่ห่างไกล ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะขยายตัว
นอกเหนือจากกำแพงเมืองแล้ว โอหยางโชวอาจรวมไปถึงสิ่งก่อสร้างอื่นๆของเมืองด้วยเช่นกัน
“นอกเหนือจากเมืองเทียนเฟิงแล้ว ลำดับต่อไปก็คือเมืองกู่ซาน มันตั้งอยู่ใกล้กับภาคกลางของชนเผ่าคนเถื่อนภูเขา และอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่ดี ข้าจึงตัดสินใจที่จะย้ายชาวเมืองกู่ซานทั้งหมดไปยังเมืองยี่ซุ่ย แล้วดึงดูดคนเถื่อนภูเขามาอยู่ที่เมืองกู่ซานแทน ให้พวกเขายอมลงมาเมืองกู่ซานด้วยตัวเอง” ขณะที่โอหยางโชวกล่าว เขามองไปที่เทียนเหวินจิง “เจ้ากรมเทียน ท่านรับผิดชอบโครงการนี้”
“ขอรับท่านลอร์ด!” เทียนเหวินจิงตอบรับ
เมื่อเทียบกับเมืองฉิวซุ่ย เมืองกู่ซานมีข้อได้เปรียบในการติดต่อกับชนเผ่าคนเถื่อนภูเขามากกว่า และยังไม่จำเป็นต้องสร้างใหม่ด้วย เพราะมันได้ติดต่อกับเผ่าคนเถื่อน 10-20 เผ่าไว้แล้ว
เมืองกู่ซานยังคงติดต่อกันชนเผ่าคนเถื่อนภูเขาอย่างต่อเนื่อง มันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะดึงดูดพวกเขา
ความเสียใจอย่างเดียวก็คือ พวกเขาพลาดฤดูปลูกข้าวช่วงที่ 2 ของปี เมื่อชาวเผ่าคนเถื่อนภูเขาลงมาจากภูเขา เมืองซานไห่จะต้องจัดหาธัญพืชให้พวกเขาสำหรับครึ่งปี
หากไม่ลงทุนสำหรับเหยื่อ พวกเขาก็คงไม่สามารถจับปลาตัวใหญ่ได้ โอหยางโชวเข้าใจเหตุผลนี้ดี
หลังจากที่ชาวเมืองกู่ซานถูกย้ายไปเมืองยี่ซุ่ยแล้ว มันยังสามารถช่วยเสริมสร้างการเติบโตของเมืองยี่ซุ่ยได้ และจะช่วยให้เมืองยี่ซุ่ยเตรียมความพร้อม ก่อนที่พวกเขาจะไปโจมตีเมืองดาบหักด้วย เมืองยี่ซุ่ยจะเป็นปราการตะวันออกให้กับเมืองซานไห่ มันจึงเป็นเมืองที่สำคัญทางยุทธศาสตร์เช่นกัน
ดังนั้น หลังจากที่เขาเริ่มสร้างถนนในเมืองซานไห่ โอหยางโชวก็จำเป็นต้องสร้างถนนเชื่อมระหว่างเมืองฉิวซุ่ยและเมืองยี่ซุ่ย รวมทั้งเมืองกู่ซานด้วย
เนื่องจากคนเถื่อนภูเขาไม่สามารถทำงานเพราะปลูกได้ การใช้พวกเขาสร้างถนนและเส้นทางต่างๆจึงเป็นความคิดที่ดีที่สุด มันยังจะไม่ทำให้เขาใช้งานคนงานของเขามากเกินไปด้วย
สำหรับการกวาดล้างค่ายโจรตามโครงการต่างๆ เขาจะส่งมอบภารกิจนี้ให้กับค่ายทิศตะวันออก
โอหยางโชวตัดสินแผนการต่างๆของเมืองสาขาแห่งใหม่ทั้ง 5 ด้วยการกล่าวเพียงไม่กี่คำ นอกจากนี้ เขายังให้แนวทางการทำงานกับกรมและฝ่ายต่างๆอีกด้วย
ขณะที่ดินแดนขยายตัวออกไป ปัญหาใหม่ของเมืองซานไห่ก็เริ่มเปิดเผยให้เห็นอย่างชัดเจน นั่นก็คือ การขาดแคลนผู้มีความสามารถพิเศษ เมืองสาขาใหม่ทั้ง 5 แห่ง ยิ่งแย่กว่าเมืองซานไห่ พวกเขาขาดแคลนผู้มีความสามารถพิเศษอย่างมาก เมืองซานไห่ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากส่งข้าราชการระดับสูงและพนักงานของรัฐบางส่วนไปดูแลที่นั่น
ซึ่งมันก็ยิ่งส่งผลให้การขาดแคลนผู้มีความสามารถพิเศษของเมืองหลักทวีความรุนแรงขึ้น
หากเป็นเพียงการขาดแคลนพนักงานของรัฐ โอหยางโชวจะไม่กังวลเลย เพราะเขามีมหาวิทยาลัยสีหนาน หลังจากผ่านการฝึกอบรมเพียงเล็กน้อย พวกเขาก็สามารถทำหน้าที่ได้แล้ว
ปัญหาที่ยุ่งยากที่สุดก็คือ ข้าราชการในระบบรัฐบาล พวกเขาขาดผู้มีความสามารถพิเศษเป็นอย่างมากจริงๆ นอกเหนือจากฟ่านจงหยานและเทียนเหวินจิงแล้ว คนอื่นๆยังคงไม่มีระดับที่สูงเพียงพอนัก
เรื่องนี้ทำให้เขากังวล เมืองสาขาแห่งใหม่ทั้ง 5 ต้องดิ้นรนในพื้นที่ของตัวเอง พวกเขาไม่สามารถค้นหาและพัฒนาผู้มีความสามารถพิเศษได้เลย หากเขาต้องส่งคนไปมากเกินไป มันก็อาจจะส่งผลต่อเมืองซานไห่จนยากจะรับไหว
การขาดแคลนผู้มีความสามารถพิเศษจะทำให้การเจริญเติบโตและการพัฒนาของเมืองซานไห่มีขีดจำกัด
มหาวิทยาลัยสีหนานเป็นแผนระยะยาว คล้ายกับสำนักงานของเมืองซานไห่ในเมืองหลวงของระบบ พวกมันจะยังไม่ส่งผลในระยะสั้น
บุคคลทางประวัติศาสตร์นั้นยากที่จะได้รับ เนื่องจากราชวงศ์เซี่ย, ซาง และโจว เป็นราชวงศ์โบราณ ดังนั้น จึงแทบจะไม่มีบุคคลทางประวัติศาสตร์ที่เป็นข้าราชการพลเรือนที่มีชื่อเสียงเลย คนเดียวที่โอหยางโชวมองหาก็คือ ยี่หยุนแห่งราชวงศ์ซาง
น่าเสียดาย หลังจากที่สงครามมู่เย่จบลงได้ครึ่งเดือน ก็ยังไม่มีใครพบยี่หยุน
เมืองซานไห่มีข้อได้เปรียบในการดึงดูดบุคคลทางประวัติศาสตร์ที่มี่ชื่อเสียงแห่งราชวงศ์ซางผู้นี้ พวกเขาไม่เพียงแต่จะมีขุนพลเอ้อหลาย พวกเขายังมคของขวัญจากราชาแห่งราชวงศ์ซางอีกด้วย มันจึงเป็นการแสดงให้เห็นว่า พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับราชวงศ์ซาง
นอกจากนี้ วัดหม่าโจ้ว, อาคารรับสมัครงาน และวัดจักรพรรดิเหลือง ยังเพิ่มชื่อเสียงให้กับเมืองซานไห่ด้วย ดังนั้น พวกเขาจึงมีข้อได้เปรียบอย่างมหาศาลในการดึงดูดบุคคลทางประวัติศาสตร์
ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆ ซึ่งมันทำให้โอหยางโชวกังวล แต่ก็ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้
แฟนเพจ : TWOแปลไทย