ตอนที่แล้วบทที่ 135 หอคลื่นสน  
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 137 คู่ต่อสู้ของแต่ละคน  

บทที่ 136 เจตจำนงกระบี่หัวใจแปลง  


 

จั่วม่อรู้สึกในสายตาพร่าเลือนวูบหนึ่ง ภายในร่างคล้ายถูกกระชากอย่างรุนแรง ความรู้สึกหัวหมุนวิงเวียนทำให้มันรู้สึกไม่มั่นคงอยู่บ้าง

สายลมเย็นฉ่ำกระโชกใส่ใบหน้า มันรีบตั้งสติ แน่นอน มันได้แต่บ่นว่าอยู่ในใจ เวทวิชาเคลื่อนย้ายของเทียนซงจื่อ เมื่อเทียบกับค่ายกลยันต์เคลื่อนย้ายของผูเยานับว่าเลวร้ายกว่ามาก จากนั้นกวาดตามองไปทุกทิศทาง ทุกด้านล้อมรอบด้วยต้นไม้เก่าแก่เขียวชอุ่ม บางขณะเมื่อลมพัดผ่านมา มันจะได้กลิ่นน้ำอันชุ่มชื้น

มีแหล่งน้ำอยู่ใกล้ๆ!

จั่วม่อหัวใจเริ่มตื่นตัว เมื่ออยู่ใกล้แหล่งน้ำ พลังวารีของมันจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เป็นประโยชน์มากสำหรับมัน

จั่วม่อร่ายเวทวิชาหลบซ่อน ค่อยๆ เดินไปยังทิศทางของแหล่งน้ำอย่างระมัดระวัง เวทวิชาในม้วนหยกของผู้อาวุโสเว่ยหนานพิสูจน์ชัดว่ามีประโยชน์ใช้สอยตลอดมา ดังเช่นเวทวิชานี้ปิดซ่อนมันไว้ทั้งร่าง ประสิทธิภาพดีเยี่ยม หากซิวเจ่อด่านหนิงม่ายไม่ได้เพ่งความสนใจอย่างจริงจัง โดยทั่วไปยากที่จะตรวจพบมันได้

ในบรรดาเวทวิชาทั้งห้าธาตุ นับเคล็ดเมฆฝนหล่นรินของจั่วม่อบรรลุถึงขั้นลึกล้ำที่สุด จึงมีความรู้สึกเฉียบไวต่อพลังวารีเป็นที่สุด เพียงเดินห่างออกไปประมาณห้าสิบก้าว มันก็ค้นพบแหล่งน้ำที่ว่า

บ่อน้ำแห่งนั้นมีพื้นที่ราวครึ่งหมู่ ล้อมรอบด้วยวัชพืชงอกงามรกเรื้อ ทั่วบริเวณริมขอบบ่อสามารถพบเห็นรอยเท้าและมูลสัตว์ปราณอยู่ทุกหนทุกแห่ง

จั่วม่อตรวจสอบภูมิประเทศอย่างรอบคอบ พึงพอใจยิ่ง ดูเหมือนว่าโชคของมันคราวนี้ไม่เลวเลย แต่มันยังคงกวาดจิตสำนึกตรวจตรารอบข้างอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง และยังไม่ได้ปล่อยนกกระเรียนกระดาษแจ้งตำแหน่งให้แก่ซู่ในทันที ในมือกลับปรากฏกระดาษยันต์สีทองแผ่นหนึ่งขึ้นมาแทน

“ยอดนักรบผู้เข้มแข็ง ปกป้องข้าผู้เป็นนาย!”

ทันทีที่ร่ายมนตราเสร็จสิ้น โครงร่างของยักษ์สีทองปรากฏอยู่เบื้องหลังจั่วม่อ เงาร่างสีทองค่อยๆ ชัดเจนและมั่นคงอย่างรวดเร็ว เห็นผู้พิทักษ์เกราะทองร่างมหึมา ยืนตระหง่านอย่างอหังการ

ถึงตอนนี้จั่วม่อค่อยระบายลมหายใจยาว

อาศัยยันต์ทหารใบนี้ คงสามารถรับประกันความปลอดภัยของมันได้บ้าง ปกติแล้วยันต์ทหารมักถูกใช้โดยชนชั้นหนิงม่าย มีเพียงซิวเจ่อที่มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์เช่นศิษย์พี่หวังแห่งพรรคอัจฉริยะปราณเท่านั้น ที่สามารถใช้ยันต์ทหารตั้งแต่ยังอยู่ในด่านจู้จี อันที่จริง ยันต์ทหารใบนี้ เป็นทางตระกูลของศิษย์พี่หวังมอบให้แก่มัน ใช้เพื่อรักษาชีวิตในยามคับขันอันตราย แต่มันกลับถูกจั่วม่อคุกคามจนลนลาน นำยันต์ทหารออกมาใช้โดยพละการ ซึ่งผลสุดท้ายไม่เพียงไม่ชนะ ยังถูกจั่วม่อฉกเอายันต์ทหารมาเป็นสินสงครามอีกด้วย

จั่วม่อดวงตาทอประกายเจิดจ้า จ้องมองยันต์ทหารที่องอาจสง่างาม ในใจเต็มไปด้วยความเศร้าเสียดาย เป็นที่น่าเสียดายว่าหลังจากใช้ออกมาคราวนี้ ยันต์ทหารใบนี้ก็จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ในตงฝู เมื่อเทียบกับนักหลอมกลั่นโอสถหรือนักหลอมสร้างยุทธภัณฑ์แล้ว ซิวเจ่อที่แตกฉานวิชายันต์มีน้อยยิ่งกว่าน้อย กล่าวได้ว่าไม่มีแม้แต่คนเดียว ที่เก่งกาจพอจะสร้างยันต์อันทรงพลังดังเช่นยันต์ทหารใบนี้ มันไม่ทราบว่าผู้อาวุโสในตระกูลของศิษย์พี่หวังซื้อยันต์ทหารใบนี้มาจากที่ใด

มียันต์ทหารคอยคุ้มครอง จั่วม่อมั่นใจยิ่งกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม มันยังคงไม่ปล่อยนกกระเรียนกระดาษตัวที่อยู่ในมือออกไป

นึกถึงแผนการที่มันทุ่มเทเรี่ยวแรงไปไม่น้อย บนใบหน้ากระด้างแข็งทื่อ เค้าความถือดีสาดประกายวาบขึ้นในดวงตา

การประลองรอบสุดท้ายเป็นศึกตะลุมบอน ไม่มีกฎกติกา ซิวเจ่อสิบคนสุดท้ายที่ยังยืนอยู่ได้ภายในหอคลื่นสนแห่งนี้ จะเป็นผู้ชนะขั้นสุดท้าย

กฎกติกาเรียบง่ายถึงเพียงนี้ จั่วม่อวางแผนใช้ประโยชน์จากกฎข้อนี้ให้ถึงที่สุด!

 

น่าเสียดายที่เวทวิชาหลบซ่อนของมันแม้ดี แต่ยังไม่ดีพอ มิเช่นนั้นมันสามารถเสาะหาสถานที่ซ่อนตัวไว้เงียบๆ จนจบการประลอง ด้วยวิธีนี้ความหวังได้ชัยของมันจะมากขึ้น แต่มันเมื่อสามารถนึกถึงแผนการนี้ได้ ผู้อื่นก็สามารถคิดได้เช่นเดียวกัน มันพลันนึกถึงเนตรเปลวเทียนที่ผูเยากล่าวถึงในวันนี้ หากมีใครสักคนรู้วิชาเนตรเปลวเทียนจริงๆ ซ่อนตัวไปก็ไร้ประโยชน์

เฮะเฮะ รับรองพวกเจ้าคิดไม่ถึงแน่ว่าเกอจะมีแผน

จั่วม่อในใจคึกคักฮึกหาญเป็นอย่างยิ่ง!

 

บนท้องฟ้าเหนือตงฝู ภาพมายาขนาดยักษ์เผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างภายในหอคลื่นสน

เฝ้ามองเหล่าผู้เข้าประลองปรากฏขึ้นบนภาพมายา บรรดาผู้ชมเริ่มตื่นเต้นเร้าใจ นับถือเลื่อมใสความมหัศจรรย์ของค่ายกลภาพฝันเงามายานี้ยิ่ง!

พวกมันจับกลุ่มชมดู สองตาจ้องภาพมายาเขม็ง ปากก็พูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กับสหายด้านข้าง

“พวกเจ้าคาดว่าผู้ใดจะได้อันดับแรก?” เอี้ยนหมิงจื่อถาม

หูซานส่ายศีรษะ “ย่อมไม่ทราบ อาจเป็นกู่หรงผิง มันร้ายกาจยิ่ง!”

เถาซูเอ๋อร์พลันชี้ไปยังยอดเขาที่โดดเด่นที่สุดในบรรดายอดเขาทั้งหมด กึ่งอุทานกึ่งตะโกน “ดูนั่น!”

ในเวลาเดียวกัน หลายคนก็พบเห็นสองเงาร่างบนยอดเขาสูงสุดเช่นเดียวกัน เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่อึกทึกอื้ออึงก็ราวกับน้ำลด ค่อยๆ เงียบหายไปอย่างรวดเร็ว

สายตาทุกคู่มารวมกันยังยอดเขาสูงสุดยอดนั้นเป็นตาเดียว

ในหอคลื่นสนมียอดเขาสูงเสียดฟ้าทะลุเมฆารวมสิบห้าแห่ง ในหมู่พวกมัน นับยอดเขากึ่งกลางโดดเด่นที่สุด ยอดเขาลำดับหนึ่งนี้สูงชันทะยานฟ้า ประหนึ่งกระบี่มหึมาแทงทะลุเข้าไปในหมู่เมฆ

บนยอดเขาตระหง่านเงื้อมยอดนี้เอง เห็นสองบุรุษยืนเผชิญหน้ากัน

เป็นกู่หรงผิงกับเหวยเสิ้ง!

ตัวเก็งชนะเลิศอันดับหนึ่งในงานชุมนุมวิจารณ์กระบี่ครั้งนี้ กู่หรงผิง!

ยอดอัจฉริยะที่เคยก่อเกิดนิมิตแห่งฟ้าดินยามบรรลุด่านจู้จี เหวยเสิ้ง!

ไม่มีผู้ใดคาดคิด สองสุดยอดคู่นี้จะปรากฏตัวขึ้นในตำแหน่งใกล้เคียงกัน การประลองรอบสุดท้ายเพิ่งจะเปิดฉากขึ้น กลับไต่ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดในพริบตา เกินจากความคาดหวังของผู้คนทั้งหมด!

ในเวลาเดียวกัน ผู้เข้าร่วมประลองหลายคนก็สังเกตเห็นสองคนบนยอดเขาสูงสุด ทั้งคู่ราวกับกระบี่ไร้ฝักสองเล่ม ไม่ปิดบัง ไม่ซ่อนเร้น ยืนหยัดอย่างทระนงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน หลายคนอดสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บไม่ได้ สองบุรุษนี้ย่อมเป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่มีผู้ใดอยากเผชิญ

 

ผ่านตาข่ายคลุมหน้าสีดำ ซู่มองไปยังกู่หรงผิงบนยอดเขา คลายใจเล็กน้อย สิ่งที่นางห่วงกังวลมากที่สุดก็คือเกรงว่าศิษย์พี่จะพบพานจั่วม่อ แน่นอนว่าศิษย์พี่จะไม่ปล่อยให้จั่วม่อได้มีโอกาสร้องขอความเมตตา เนื่องเพราะนางมิได้ขอร้องมัน...

แต่เจ้าผู้นั้น ไฉนยังไม่ปล่อยนกกระเรียนกระดาษมาอีก?

ทันใดนั้นนางก็ละสายตาจากกู่หรงผิง หมุนร่างกลับ หายลับไปอีกทาง

 

บนยอดเขาสูงสุด สายลมรุนแรงดุจคมมีด

“คาดไม่ถึงว่าจะได้พบพี่เหวยรวดเร็วถึงเพียงนี้ น่าแปลกใจจริงๆ” กู่หรงผิงกล่างปนหัวร่อ

เหวยเสิ้งสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง มันไม่คิดกล่าววาจา เจตนาต่อสู้ลุกโชนในดวงตา มิทราบตั้งแต่เมื่อใด กระบี่ผ่าสายรุ้งปรากฏขึ้นในมือ กระแสอากาศรอบกายมันคล้ายถูกมือล่องหนผลักดัน ค่อยๆ หมุนวนรอบตัวมัน สภาวะกดดันอันไร้ร่องรอยแผ่กระเพื่อมออกมาเป็นระลอก โดยมีร่างมันเป็นจุดศูนย์กลาง

รอยยิ้มบนใบหน้ากู่หรงผิงอันตรธานไปในทันที

สายตามันมองเห็นเหวยเสิ้งยืนอยู่ตรงหน้ามันชัดๆ แต่ในญาณสัมผัสของมัน จุดที่เหวยเสิ้งยืนอยู่ กลับไม่มีผู้คน!

นั่นเป็นอากาศธาตุอันว่างเปล่า มีเพียงเจตจำนงกระบี่!

 

เหล่าซิวเจ่อในตงฝูกระซิบกระซาบกันไม่หยุด ล้วนงุนงงสงสัย ทุกอย่างที่ตรงหน้าของพวกมันเกินความเข้าใจของพวกมัน แต่ในหมู่ผู้อาวุโสและเจ้าสำนักใหญ่จากต่างถิ่นเหล่านั้น นี่ไม่ต่างอันใดกับโยนระเบิดลงกลางวง

“ผู้ใดบอกข้าว่าสำนักกระบี่สุญตาเป็นสำนักเล็กๆ? เคล็ดวิชากระบี่ของเหวยเสิ้งนี้ไม่ต่ำกว่าระดับห้าชัดๆ!”

“เจตจำนงกระบี่หัวใจแปลง! แล้วขั้นต่อไปก็คือแปลงรูปลักษณ์! สวรรค์! เหวยเสิ้งนี้เป็นตัวประหลาดอันใด? มันอายุเท่าไรกัน?”

“สำนักกระบี่สุญตากำลังจะรุ่งโรจน์ อนาคตของเด็กผู้นี้ไม่มีขีดจำกัด!”

“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้! นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?...”

“ฟังว่าตอนที่เด็กผู้นี้เข้าสู่ด่านจู้จี นิมิตแห่งฟ้าดินปราณกระบี่ทะลวงฟ้าได้ปรากฏขึ้น ทีแรกข้าคิดว่าประโคมโอ่เกินจริง แต่มองจากเวลานี้ นั่นสมควรจริงแท้แน่นอน!”

 

เผยเหยียนหรานกับพวกใบหน้าเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มและภาคภูมิใจ นับตั้งแต่ที่พวกมันได้ประจักษ์กับพรสวรรค์ของเหวยเสิ้ง ทั้งสี่คนทุ่มเทความพยายามถึงที่สุด ทรัพยากรของสำนักเกือบทั้งหมดล้วนทุ่มให้แก่เหวยเสิ้ง ซินหยานอบรมสั่งสอนมันทีละขั้นๆ เป็นครั้งแรกที่เปิดถ้ำกระบี่ให้แก่ศิษย์ แม้แต่ตอนที่เหวยเสิ้งเข่นฆ่าผ่านเข้าไปในถ้ำกระบี่ กระยาหารปราณกับโอสถปราณที่ทยอยส่งเข้าไป ทั้งหมดล้วนล้ำค่ายิ่ง ปรุงกลั่นจากวัตถุดิบราคาแพงนับไม่ถ้วน มิเช่นนั้น ไม่ว่าพรสวรรค์ของเหวยเสิ้งจะเด่นล้ำถึงเพียงไหน ก็ไม่มีทางทะลวงด่านหนิงม่ายได้รวดเร็วปานนี้

เห็นเหวยเสิ้งสร้างความแตกตื่นตะลึงลานแก่ผู้คน ทั้งสี่แย้มยิ้มให้แก่กัน ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกของความสำเร็จ

สำนักกระบี่สุญตาก่อนหน้านี้ไม่มีลูกศิษย์ที่โดดเด่นเหนือคน นี่เป็นหนามยอกอกพวกมันทั้งสี่ตลอดมา จวบจนกระทั่งเหวยเสิ้งปรากฏตัวขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างค่อยเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ

หากผู้คนล่วงรู้ว่าเหวยเสิ้งใช้เวลาเท่าใดในการทะลวงจากด่านจู้จีไปยังด่านหนิงม่าย เกรงว่าคงแตกตื่นจนปัสสาวะราดแล้ว เค้าความสนุกสนานแตะแต้มมุมปากของเผยเหยียนหราน บางครั้งแม้แต่มันยังหวาดกลัวความเร็วในการรุดหน้าของเหวยเสิ้ง

เจตจำนงกระบี่หัวใจแปลง นี่เกิดจากความเข้าใจในเจตจำนงกระบี่อย่างลึกล้ำขึ้นไปอีกขั้น เมื่อบรรลุถึงขั้นนี้ ซิวเจ่อสามารถควบคุมบังคับเจตจำนงกระบี่ได้ดั่งใจปรารถนา

การควบคุมเพลงกระบี่กับการควบคุมเจตจำนงกระบี่ เป็นสองแนวคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

การฝึกปรือในอดีตจะส่งผลโดยตรงต่อพลังของเพลงกระบี่ ความรุนแรงในการโจมตีต้องพึ่งพาการควบคุมพลังปราณอย่างละเอียดอ่อน และผ่านการขัดเกลาจนเข้าใกล้ความสมบูรณ์มากขึ้น จึงจะสามารถปลดปล่อยพลังอันไพศาลของเพลงกระบี่ออกมาได้ แต่หลังจากคนผู้หนึ่งแตกฉานเพลงกระบี่นั้นจนสมบูรณ์แบบ คิดรุดหน้าต่อไป พวกมันจำเป็นต้องบรรลุเจตจำนงกระบี่หัวใจแปลง

เคล็ดวิชากระบี่แต่ละวิชา นับตั้งแต่เริ่มต้น ก็เป็น ‘กฏเกณฑ์’ ที่ผู้คิดค้นวิชาตั้งขึ้น สำหรับผู้ที่มาฝึกเคล็ดวิชากระบี่นี้ในภายหลัง ก็เท่ากับว่ามันกำลังฝึกปรือและปฏิบัติตาม‘กฏเกณฑ์'ของผู้อื่น ไม่ใช่‘กฏเกณฑ์’ของมันเอง การบรรลุเจตจำนงกระบี่หัวใจแปลงหมายความว่า เหวยเสิ้งได้เริ่มเข้าใจ‘กฏเกณฑ์’ถึงขั้นลึกล้ำ มีเพียงการทำความเข้าใจจนสามารถสร้าง‘กฏเกณฑ์’ของตนเองขึ้นมาเท่านั้น จึงจะสามารถทะลวงผ่านกรอบกฏเกณฑ์และขีดจำกัดในเคล็ดวิชากระบี่วิชาดั้งเดิมได้

เมื่อคนผู้หนึ่งบรรลุถึงขั้นเจตจำนงกระบี่แปลงรูปลักษณ์ นั่นคือการสร้าง‘กฏเกณฑ์’ของตนเอง เป็น‘กฏเกณฑ์’เฉพาะตัวของมันแต่เพียงผู้เดียว

นี่เป็นเหตุผลว่าไฉนเคล็ดวิชากระบี่เดียวกัน แต่ละคนจึงฝึกปรือออกมาได้ผลลัพธ์แตกต่างกัน ยิ่งแตกฉานเพลงกระบี่ลึกล้ำเท่าใด ความแตกต่างนี้จะยิ่งใหญ่โตขึ้นเท่านั้น โดยปกติแล้วผู้ที่สามารถแตะถึงระดับนี้ย่อมเป็นซิวเจ่อที่บรรลุด่านจินตัน เหวยเสิ้งยังเป็นเพียงชนชั้นหนิงม่าย แต่เริ่มเข้าใจ‘กฏเกณฑ์’ของตัวเองแล้ว พรสวรรค์เช่นนี้นับว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง!

“เหวยเสิ้งรุดหน้ารวดเร็วเหลือเกิน ช่างเป็นโชคดีของสำนักเราจริงๆ! ยังเยาว์วัยแต่บรรลุถึงขั้นเจตจำนงกระบี่หัวใจแปลง แม้แต่ตอนที่ศิษย์น้องรองอายุเท่ามัน ยังทำไม่ได้ถึงขั้นนี้” เผยเหยียนหรานชื่นชม

ตั้งแต่คราวที่แล้ว พวกมันทั้งสี่เอือมระอากับการนั่งหักเล่ห์ชิงเหลี่ยมกับเจ้าสำนักอื่นๆ ดังนั้นเพียงนำศิษย์ฝ่ายในเข้าร่วมชมการประลองในมุมอันไม่สะดุดตามุมหนึ่ง

หลี่อิงฟ่งเห็นร่องรอยยอมรับบนใบหน้าอาจารย์ลุงรอง อดหันไปถามท่านอาจารย์อย่างตื่นเต้นไม่ได้ “ซือฟู่ นี่หมายความว่าศิษย์พี่ใหญ่กำลังจะชนะใช่หรือไม่?”

หยานเล่อส่ายศีรษะ “นั่นกลับไม่แน่นัก”

“ไฉนไม่แน่? ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่ใหญ่บรรลุระดับที่สูงขึ้นหรอกหรือ?” หลี่อิงฟ่งใบหน้าสับสนงุนงง

หยานเล่ออธิบายว่า “เจตจำนงกระบี่หัวใจแปลง อันที่จริงเป็นระดับเปลี่ยนผ่าน มีความไม่มั่นคงสูงมาก ขอบเขตเก่ายังไม่ได้ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง เคล็ดวิชากระบี่ใหม่ก็ยังไม่ทันเป็นรูปเป็นร่าง ประโยชน์ในการต่อสู้อาจไม่เห็นชัดเจนนัก ตรงกันข้าม หากหัวใจไม่แน่วแน่มั่นคง พลังของเพลงกระบี่มีแต่จะลดลงด้วยซ้ำ”

เหล่าศิษย์สำนักสุญตาพอฟัง ล้วนมีสีหน้าน่าเกลียด กระทั่งเผยเหยียนหรานกับพวกทั้งหลาย ก็หลุดออกจากความปลาบปลื้มประโลมใจก่อนหน้านี้ พวกมันใบหน้าเคร่งเครียด จ้องมองไปยังภาพมายาตาเขม็ง

 

จั่วม่อมีพลังบำเพ็ญเพียรเพียงด่านจู้จีอันน่าสังเวช ดวงตาของมันไม่แหลมคมเท่าชนชั้นหนิงม่ายทั้งหลาย ไม่สามารถพบเห็นการต่อสู้ของเหวยเสิ้งบนยอดเขา

มันโยนทุกเรื่องราวทิ้งไปจากใจ ภายใต้การพิทักษ์คุ้มครองของยันต์ทหาร มันสามารถทุ่มเทสมาธิจิตใจทั้งมวลให้กับแผนการช่วยชีวิตของมัน

จั่วม่อเริ่มนำสิ่งของออกมาจากแหวนมิติอย่างบ้าคลั่ง

เพียงชั่วพริบตาเดียว ภูเขาเล็กๆ ก็สุมซ้อนขึ้นตรงหน้ามัน เนินเขาลูกนี้ถึงกับประกอบด้วยวัตถุดิบหลากหลาย จำนวนนับไม่ถ้วน!

เห็นภูเขาวัตถุดิบที่ซื้อหามาด้วยภูเขาจิงสือ จั่วม่อเจ็บปวดใจจนน้ำตาแทบไหลริน

“ฮึ่ม ฮึ่ม เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะให้พวกเจ้าทุกคนได้ลิ้มรสพลังของจิงสือ!”

น่าเสียดายที่สายตาทุกคู่ในเวลานี้ ล้วนจับจ้องไปยังการประจันหน้าของเหวยเสิ้งกับกู่หรงผิงบนยอดเขาสูงสุด ไม่มีผู้ใดทันได้สังเกต ด้านข้างบ่อน้ำที่ไม่มีใดสะดุดตาแห่งหนึ่ง ผีดิบบางตนกำลังทำตัวประหนึ่งมดงานอันขยันขันแข็ง เคลื่อนไหวไปมาอยู่ท่ามกลางภูเขาที่ประกอบขึ้นจากวัตถุดิบสารพัดชนิด!

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด