บทที่ 135 หอคลื่นสน
อารามตงฝูเป็นที่พำนักซึ่งตงฝูเจินเหรินทิ้งเอาไว้ ทั้งยังเป็นที่พำนักที่ดีที่สุดและสมบูรณ์ที่สุดในตงฝู นอกเหนือจากปราณธรรมชาติหนาแน่น ยังมีสถานที่ลึกลับมหัศจรรย์หลายแห่ง ดังเช่นหอคลื่นสน หอคลื่นสนคล้ายถ้ำกระบี่ของสำนักกระบี่สุญตา มันเป็นโลกในมิติอื่น แต่เมื่อเทียบกับถ้ำกระบี่อันเป็นความลับสุดยอดของสำนักกระบี่สุญตาแล้ว หอคลื่นสนของอารามตงฝูมีชื่อเสียงร่ำลือไปทั่ว
โลกภายในหอคลื่นสนสูงชันอันตราย ยอดเขาสูงตระหง่าน พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล สัตว์ปราณถูกนำมาปล่อยไว้และเลี้ยงดูโดยประมุขของตงฝู และเป็นเช่นนี้มาทุกยุคทุกสมัย ส่วนใหญ่เป็นสัตว์ป่าที่ดุร้าย ศิษย์อารามตงฝูแต่ละรุ่น หลังจากบรรลุด่านหนิงม่าย จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปหาประสบการณ์ในหอคลื่นสน นี่เป็นเหตุผลที่ร้านพนันทั้งหมด ให้หวีป๋ายมีแต้มต่อเหนือกว่าใครทั้งหมด ในขณะที่ผู้อื่นไม่คุ้นเคยกับหอคลื่นสน สำหรับหวีป๋ายแล้วนี่ไม่ต่างอันใดกับสวนหลังบ้านของมัน
ยุทธภัณฑ์เวทประเภทสวรรค์ลับดังเช่นหอคลื่นสน ต้องการพลังอันยิ่งใหญ่จึงจะสามารถหลอมสร้างขึ้นมาได้ สำนักใหญ่เกือบทุกแห่งที่มีรากฐานมั่นคง เมื่อยามที่ปฐมาจารย์ของพวกมันก่อตั้งสำนัก ต้องทุ่มเทความอุตสาหะพยายามอันยิ่งใหญ่ หลอมสร้างโลกลี้ลับซึ่งจะกลายมาเป็นรากฐานของสำนักพวกมัน ภายในหอคลื่นสนแห่งนี้ การต่อสู้ของซิวเจ่อที่อยู่ต่ำกว่าด่านจินตัน ไม่ว่าจะต่อสู้กันอย่างไรก็ไม่อาจสร้างความเสียหายได้ แน่นอนว่าบรรดาสัตว์ปราณที่ถูกนำมาปล่อยเลี้ยงไว้ ไม่ได้มีภูมิคุ้มกันเช่นนั้น
ในอาณาเขตตงฝูทั้งหมด มีเพียงอารามตงฝูกับสำนักกระบี่สุญตาที่ครอบครองยุทธภัณฑ์เวทสวรรค์ลับ แต่แทบไม่มีผู้ใดทราบเรื่องถ้ำกระบี่ของสำนักกระบี่สุญตา
เมื่อเทียนซงจื่อเปิดหอคลื่นสน เหล่าเจ้าสำนักและผู้อาวุโสของแต่ละสำนักจ้องมองด้วยดวงตาอิจฉาเลื่อมใส ในหมู่พวกมันนับประมุขพรรคอัจฉริยะปราณริษยาเป็นพิเศษ สวรรค์ลับไม่เพียงล้ำค่าในตัวเอง แต่ยังเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าสำนักหนึ่งมีรากฐานลึกซึ้งเพียงใด ไม่ว่าพรรคอัจฉริยะปราณมั่งคั่งล้นฟ้าสักเท่าใด แต่ในสายตาของซิวเจ่อชั้นสูง พวกมันก็เป็นเพียงเศรษฐีใหม่ที่ร่ำรวยด้วยลาภลอยเท่านั้น
ยุทธภัณฑ์เวทสวรรค์ลับไม่ใช่สิ่งของที่เพียงมีจิงสือ ก็หาซื้อได้ นอกจากการหลอมสร้างจะต้องทุ่มเทเรี่ยวแรงและความอุตสาหะมหาศาลแล้ว ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงลิบลิ่ว นอกจากหลอมสร้างขึ้นเพื่อสำนักของพวกมันเอง ไม่มีผู้ใดคิดหลอมสร้างยุทธภัณฑ์เวทสวรรค์ลับเพื่อจำหน่าย
เผยเหยียนหรานกับพวกสงบเยือกเย็นเป็นปกติ ถ้ำกระบี่ลับของสำนักกระบี่สุญตา หากไม่เทียบเท่า ก็มีแต่จะเหนือล้ำกว่าหอคลื่นสน แม้แต่พวกมันเอง ทุกครั้งที่กล่าวถึงถ้ำกระบี่ ก็จะทอดถอนชมเชยในพลังอันยิ่งใหญ่ไพศาลของปฐมาจารย์ผู้ก่อตั้ง อย่าได้เห็นว่าพวกมันทั้งสี่อยู่ในด่านจินตัน ทั้งยังเป็นยอดฝีมือชั้นแนวหน้าในอาณาจักรนภาจันทร์ แต่พวกมันไม่มีพลังอำนาจที่จะหลอมสร้างยุทธภัณฑ์เวทสวรรค์ลับ
ผู้เข้าประลองรอบสุดท้ายทั้งหนึ่งร้อยคนยืนอยู่ที่นั่นอย่างไร้สุ้มเสียง แต่หลายคนใบหน้าทอแววกระหายใคร่รู้ หลายต่อหลายคนไม่เคยเข้าไปในยุทธภัณฑ์เวทสวรรค์ลับมาก่อน จึงอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างยิ่ง ส่วนศิษย์สำนักใหญ่เช่นกู่หรงผิง มีทั้งที่ดูสงบเยือกเย็น หรือมองอย่างถือดีไปยังคนอื่นๆ และรู้สึกเหนือล้ำกว่าผู้อื่น
รอบๆ หอคลื่นสน ค่ายกลภาพฝันเงามายาเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างแช่มช้า แสงเจ็ดสีว่ายเวียนไปมาประหนึ่งปลาบินจำนวนเหลือคณานับ กลางนภากาศเหนือหอคลื่นสน ภาพมายาจางๆ ค่อยๆ ปรากฏขึ้น
ภาพมายาผืนนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นชัดเจนขึ้นทุกขณะ จนกระทั่งปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าเหนือตงฝู ที่นำเสนอต่อหน้าทุกคน เป็นโลกอันเงียบสงบและเยือกเย็นแห่งหนึ่ง
ยอดเขาเขียวขจีเรียงราย ซับซ้อนลดหลั่นสุดลูกหูลูกตา เทือกเขาสูงชันสง่างามดุจภาพวาด ทิวสนแน่นขนัดสูงต่ำ ไล่ระดับประหนึ่งระลอกคลื่น ระหว่างหุบเขา เห็นสัตว์ปราณบ้างเผ่นโผน บ้างเยื้องย่างอย่างประปราย
ภาพมายาขนาดมหึมาที่แจ่มชัดถึงเพียงนี้ พบเห็นได้ยากมาก หลายคนทอดถอนอย่างอัศจรรย์ใจ เหล่าซิวเจ่อที่เดินทางมาไกล พากันปลาบปลื้มยินดีที่พวกมันตัดสินใจเดินทางมา เหตุการณ์อันน่าตื่นตาตื่นใจถึงเพียงนี้ ยากจะหาชมดูได้ทั่วไป
ไม่ว่าจะลอยอยู่ในอากาศ หรือยังคงอยู่บนพื้นดิน พวกมันสามารถเห็นภาพมายาขนาดใหญ่อันไร้ผู้เทียมเทียมนี้ได้อย่างง่ายดาย
ตงฝูในเวลานี้ เป็นปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร บนท้องฟ้า ซิวเจ่อมากมายลอยตัวอยู่อย่างหนาแน่นแออัด บางคนอยู่สูง บางคนอยู่ต่ำ บางคนก็บินไปรอบๆ คอยปรับเปลี่ยนมุมมองสายตา และถอนหายใจด้วยความประหลาดใจอย่างต่อเนื่อง บนพื้นดิน ผู้คนนำเก้าอี้โยกออกมานั่งเอนกายชมดู บางคนนอนหมอบอยู่บนหลังคา ทุกคนล้วนเงยหน้าขึ้น จ้องมองไปยังภาพมายาอันกว้างใหญ่บนท้องฟ้า
พวกมันล้วนเป็นซิวเจ่อ!
ซิวเจ่อหลายหมื่นคนมารวมตัวกันในตงฝู มองจากที่ห่างไกล พวกมันเบียดเสียดยัดเยียด ดำเป็นพรืดราวกับฝูงมด
“ฉากอันยอดเยี่ยม!” ผู้อาวุโสต่างถิ่นผู้หนึ่งทอดถอนชมเชย “ตระการตานัก!”
“เทียนซงจื่อร้ายกาจอย่างแท้จริง ไม่น่าแปลกใจที่มันเป็นประมุขแห่งตงฝู” อีกหนึ่งผู้อาวุโสที่ด้านข้างกล่าว “เหตุการณ์อันยิ่งใหญ่เช่นนี้ หากสามารถจัดขึ้นทุกสองสามปี จะเป็นเรื่องที่ดีมาก!”
“ยาก! ในอาณาจักรนภาจันทร์ สำนักที่มียุทธภัณฑ์เวทสวรรค์ลับแทบนับได้ด้วยนิ้วมือข้างเดียว แม้ว่าพวกมันจะมี ผู้ใดจะเต็มใจนำออกมาเป็นลานประลองเช่นเทียนซงจื่อ?”
“แน่นอน! ผู้ใดไม่ซ่อนยุทธภัณฑ์เวทสวรรค์ลับให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้? นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนทำเช่นนี้ ข้าสงสัยเสียจริงว่าในศีรษะมันคิดอันใด?”
“ข้าเคยพบเทียนซงจื่อมาก่อน มันไม่ใช่คนโง่ ย่อมมีเหตุผลของตนเองอย่างแน่นอน”
กล่าวไปกล่าวมา ผู้อาวุโสเหล่านี้ยิ่งกล่าวยิ่งเมามัน เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเรื่อยๆ
“เจ้าคิดว่าผู้ใดจะชนะ?” หนึ่งในผู้อาวุโสจู่ๆ ก็ถามโพล่งขึ้น
“กู่หรงผิง!”
“กู่หรงผิง!”
“เป็นธรรมดาที่ต้องเป็นกู่หรงผิง สำนักกระบี่หัวใจทะเลสาบรากฐานลึกล้ำ นับเป็นหนึ่งในสำนักชั้นยอดของอาณาจักรนภาจันทร์ กู่หรงผิงก็เป็นยอดอัจฉริยะที่ร้อยปีจะมีสักคน ยากที่จะหาผู้ใดเทียบเคียงกับมันได้”
ทุกผู้คนล้วนเห็นพ้องต้องกันกับเรื่องนี้
“นอกจากกู่หรงผิงเล่า?” ผู้อาวุโสอีกคนที่ไม่ค่อยพูดพลันเปิดปากขึ้น
“ซู่ผู้นั้นลี้ลับยิ่ง พลังฝีมือก็เข้มแข็งยิ่ง”
“กระบี่ภูตพรายน้อยของกุ่ยฟงซับซ้อนและจัดเจนมาก ข้าชอบมัน”
“เหวยเสิ้งเล่า การประลองสองรอบของมันทั้งรวดเร็วและหมดจด แต่ข้าไม่เคยได้ยินชื่อสำนักกระบี่สุญตามาก่อน น่าจะเป็นสำนักเล็กๆ สักแห่ง” ผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่งกล่าวอย่างลังเล
“กล่าวถึงสำนักกระบี่สุญตา สำนักนี้มิอาจดูแคลน พวกมันส่งศิษย์สามคนเข้าร่วมประลอง ทั้งสามล้วนเข้าสู่รอบสุดท้าย”
ได้ยินเช่นนี้ ผู้อาวุโสที่ถือหางข้างซู่แค่นหัวร่อ “พวกเราไม่อาจกล่าวเช่นนี้ คนที่ดูเหมือนผีดิบนั่นเพียงได้ตำแหน่งว่างเข้าสู่รอบสุดท้าย เราสามารถกล่าวได้แต่ว่า สำนักกระบี่สุญตามีสัมพันธ์อันดีกับเทียนซงจื่อ”
มีผู้โต้แย้งทันที “แม้ว่าคนผู้นี้พลังบำเพ็ญเพียรต่ำไปบ้าง แต่ฝีมือของมันเป็นของจริง”
ผู้อาวุโสที่ถือหางข้างซู่ย้อนถาม “เจ้าชื่นชอบมัน?”
“จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า!” ผู้อาวุโสนั้นส่ายศีรษะ “ช่องว่างระหว่างด่านจู้จีกับหนิงม่ายกว้างใหญ่เกินไป เมื่อมีเฉาอันเป็นเยี่ยงอย่าง เมื่อคู่ต่อสู้พบพานมัน จะไม่มีใครประมาทมันอีก จะอย่างไรมันเพียงอยู่ในด่านจู้จี จะมีฝีมืออยู่สักกี่ท่ากัน? มันอาจใช้ออกมาหมดแล้วก็ได้ ไม่แน่ว่าผู้อาวุโสของมันอาจเพียงอยากให้มันได้ลงมาหาประสบการณ์เท่านั้น”
“มีผู้ใดถือหางมันบ้าง?” ผู้อาวุโสที่ชมชอบซู่หันไปถามทุกคน
“ฮ่าฮ่า! หากมีผู้ใดถือหางข้างมันจริง ข้าจะเลื่อมใสคนผู้นั้นแล้ว!”
“ฮ่าฮ่า...”
กลุ่มผู้อาวุโสสนทนาอย่างออกรสด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง คนของสำนักเดียวกันจะคอยปรึกษาหารือกัน ดูว่ามีต้นกล้าที่เหมาะสมบ้างหรือไม่
ท่ามกลางหนึ่งร้อยซิวเจ่อ จั่วม่อหันไปหันมา มองไปยังที่นั่นที่นี่ แม้ว่าใบหน้าผีดิบของมันไร้อารมณ์ แต่ความอยากรู้อยากเห็นทอประกายอยู่ในดวงตา
มันกำลังสนทนากับผูเยาเป็นการลับ
“ผู หากเปรียบเทียบหอคลื่นสนกับถ้ำกระบี่ที่ใดดีกว่ากัน?”
“ล้วนเป็นขยะ” ผูเยาสุ้มเสียงเต็มไปด้วยความดูหมิ่นเหยียดหยาม
จั่วม่อพูดไม่ออกทันที จากนั้นเหลือกตา ย้อนถามด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกัน “เจ้าไม่ใช่อสูรฟ้าหรอกหรือ? สามารถหลอมสร้างสักอันได้หรือไม่?”
ผูเยาไม่มีท่าทีละอายใจ “ข้าเล่นกับสิ่งที่น่าเล่น นี่ไม่มีอันใดน่าเล่น”
จั่วม่อในที่สุดก็ล่วงรู้ว่าไฉนมันเป็นเพียงซิวเจ่อด่านจู้จี แต่ผูเยาเป็นอสูรฟ้า นี่สมควรเป็นสัดส่วนโดยตรงกับความหนาของผิวหน้า
หืมม์? จั่วม่อสังเกตว่ากู่หรงผิงดูเหมือนจะลอบมองมายังมัน แม้ว่ากู่หรงผิงปกปิดไว้เป็นอย่างดี แต่จั่วม่อเฉียบไวต่ออารมณ์แปลกๆ ที่แฝงเร้นอยู่ในสายตาคู่นั้น
เป็นไปไม่ได้!
คนตัวเล็กๆ อย่างมัน ไม่สมควรให้กู่หรงผิงมากังวลสนใจด้วย มันคงรู้สึกไปเองเสียมากกว่า
“ระวัง!” ผูเยากล่าวเสียงหนักอย่างฉับพลัน
จั่วม่อชะงักกึก “เรื่องอันใด?”
“ชั่วขณะนี้มีคนใช้เวทวิชาตรวจสอบ”
“เวทวิชาตรวจสอบ?” จั่วม่ออึ้งไปวูบหนึ่ง จากนั้นร้องอย่างตระหนก “เป็นไปไม่ได้!”
มันกำลังจะกวาดตามองรอบข้าง ผูเยาพลันตวาด “อย่าหันไปมอง!”
จั่วม่อไม่กล้ากระดิกแม้แต่ปลายนิ้ว ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเรียบๆ ร้อยๆ มันแทบไม่เคยเห็นผูเยาตึงเครียดถึงเพียงนี้ ราวกับกำลังเผชิญหน้าศัตรูเข้มแข็ง
มีคนใช้เวทวิชาตรวจสอบ? สักครู่ใหญ่ จั่วม่อค่อยแสร้งทำเป็นมองไปรอบๆ ตามปกติ ไม่พบผู้ใดที่คล้ายมีพฤติกรรมแปลกๆ แม้แต่กู่หรงผิง ก็ดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตว่ามีคนเพิ่งใช้เวทวิชาตรวจสอบ
จั่วม่อตะลึงลาน เพื่อที่จะใช้เวทวิชาตรวจสอบท่ามกลางกลุ่มคนมากมาย แต่กลับไม่มีผู้ใดระแคะระคายแม้แต่น้อย ผู้ใช้วิชาต้องมีพลังบำเพ็ญเพียรน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงไหน!
“ฮึ่ม ดูเหมือนว่ามีคนมุ่งเป้ามาที่ข้า” ผูเยาแค่นเสียงอย่างเย็นชา แต่ในน้ำเสียงไม่ได้มีความหวาดหวั่นพรั่นพรึง สักนิด
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันมาเสาะหาเจ้า?” จั่วม่อถามทันควัน
“ก็ไม่ใช่เพราะ ‘เนตรเปลวเทียน’ นี่หรอกหรือ? ก่อนหน้านี้ข้าเคยพบพานมาแล้วหลายครั้ง” สุ้มเสียงของผูเยายิ่งเย็นชากว่าเดิม เต็มไปด้วยความชิงชังรังเกียจ “มันน่ารำคาญเหมือนพลังอภิญญา ‘เนตรฟ้า’ ของเซียนวรยุทธ์ไม่มีผิด!”
ฟังถ้อยคำอันเต็มไปด้วยความเกลียดชัง จากนั้นคิดถึงนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นของผูเยา จั่วม่อไม่ต้องเดาก็ทราบว่าผูเยาจะต้องเคยเสียท่าเพราะเวทวิชาประเภทนี้มาก่อนแน่ๆ ทันใดนั้นกลายเป็นประสาทเสียขึ้นมา “อีกฝ่ายพบเจ้าหรือไม่?”
ได้ยินคำถามนี้ ผูเยามีสีหน้าทระนงถือดีทันที หัวร่อฮิฮะ “คนผู้นั้นไม่เคยคิดว่าข้าจะซ่อนตัวอยู่ในทะเลแห่งจิตสำนึกของเจ้า เนตรเปลวเทียนอาจทรงพลัง แต่มันเพียงตรวจจับพลังของอสูรปิศาจ มั่นใจได้ ตราบเท่าที่เจ้าทำตัวปกติ จะไม่มีผู้ใดคิดถึงเรื่องนี้”
“โชคดีจริงๆ” จั่วม่อค่อยคลายใจ
ในเวลานี้เอง เทียนซงจื่อลุกขึ้นยืน ทุกสายตาล้วนจับจ้องมาที่มัน
เทียนซงจื่อรักษาความเยือกเย็นไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม คล้ายไม่ได้สังเกตเห็นสายตาผู้ใด เพียงกล่าวอย่างราบเรียบ “เตรียมตัวให้พร้อม ข้าจะส่งพวกเจ้าเข้าสู่หอคลื่นสน”
กล่าวจบ มันก็เริ่มร่ายเวทวิชา สองขายืนหยัดมั่น ฝ่ามือค่อยๆ บิดหมุนผนึกมุทรา พลังปราณพวยพุ่งออกมา
ทุกผู้คนพลันพบว่ารูปลักษณ์อันพื้นเพธรรมดาของเทียนซงจื่อ จู่ๆ ก็กลับกลายเป็นสูงตระหง่านเทียมฟ้า ประดุจต้นสนมหึมาอายุนับพันปี ตรากตรำแต่แข็งแกร่ง สองขาราวกับรากไม้นับไม่ถ้วนปักลึกลงไปในพื้นดิน มั่นคงดั่งหินผา ลมฝนยากสะเทือน ระลอกความกดดันแทบจะครอบคลุมไปทั่วทั้งตงฝู
นอกจากซิวเจ่อด่านจินตันซึ่งสงบเยือกเย็น บรรดาซิวเจ่อที่ต่ำกว่าด่านจินตัน กระทั่งกู่หรงผิงผู้โอ่อ่าอาจหาญยังสีหน้าแปรเปลี่ยน หวีป๋ายจ้องมองซือฟู่ของมันด้วยสายตาอุ่นระอุ ในใจเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เหวยเสิ้งก็คล้ายได้รับผลกระทบ แต่บนใบหน้ามันไม่มีวี่แววครั่นคร้าม กลับเงยหน้าขึ้น ดวงตาสาดประกาย สองมือกำแน่นโดยไม่รู้สึกตัว
โอ้ ตาเฒ่าที่เข้มแข็งนัก! จั่วม่อในใจตะลึงงัน แต่หากเทียบเทียนซงจื่อกับอาจารย์ลุงรอง มันยังคงรู้สึกว่าอาจารย์ลุงรองน่าขนพองสยองเกล้ายิ่งกว่า
“โฮ่!”
เทียนซงจื่อตวาดก้อง
แสงประกายนับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นใต้ฝ่าเท้าของหนึ่งร้อยซิวเจ่อ แสงกระพริบวาบ จากนั้นพวกมันหายวับไป