ตอนที่แล้วตอนที่ 18 ตัวเลือก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 20 เมือง Avalon

ตอนที่ 19 อนาคต


ตอนที่ 19 อนาคต

 

เมื่อเย่วซิงลงมาจากห้องรับรองเขาเห็นหลวงพ่อนั่งอยู่ที่เก้าอี้ในห้องสมุด ตรวจสอบพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเย่วซิงได้ทำสำเนาไว้เมื่อหลายวันก่อน หลวงพ่อดูเหมือนจะไม่มีความกังวล แต่อย่างน้อยก็ยังเห็นความเศร้าหมองในตัวเขา

 

เมื่อเย่วซิงมาถึงเขากระซิบขอโทษ "ขอโทษหลวงพ่อที่ทำให้ผิดหวัง"

 

"ฉันรู้ว่าแกก็ลำบากใจ ... " หลวงพ่อบานส่ายหัว "อย่างน้อยแกก็ไม่ต้องสร้างปัญหาให้ฉันแล้ว"

 

"ข้าขอโทษหลวงพ่อ" เย่วซิงหัวเราะ "การที่ฉันต้องพึ่งพาท่านมาหลายปี มันคงเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับท่าน"

 

"ใช่ เจ้าเป็นเด็กที่ดื้อรั้นและเจ้าคิดเจ้าแค้น แกทำให้ทุกคนปวดหัวในทุกที่ที่แกไป." หลวงพ่อกล่าวว่าอย่างเด็ดขาดว่า "ตอนนี้ฉันไม่ต้องห่วงอีกต่อไปแล้ว "

 

เย่วซิงยิ้มและหลังจากเงียบไปนาน เขาถามว่า "หลวงพ่อทำไมคุณถึงอยากให้ผมเป็นนักเขียนที่นี่?"

 

"เพราะแกเป็นเด็กที่สามารถอ่านและเขียนได้" หลวงพ่อตอบโดยไม่ลังเลใจ "ฉันไม่จำเป็นต้องหาอาหารหรือที่พักให้แก และค่าจ้างของแกก็แค่ครึ่งหนึ่งของคนอื่น แกมีประโยชน์มาก ในการเป็นคนรับใช้ให้ฉัน."

 

"แค่นี้หรอ?" เย่วซิงกล่าวด้วยความไม่เชื่อ

 

"นั่นยังไม่พออีกหรอ?"

 

เย่วซิงเงียบสักครู่แล้วหัวเราะเบา ๆ "หลวงพ่อจริงๆคุณก็เป็นคนดี"

 

“ที่ฉันทำก็เพื่อให้แกเป็นคนดี” นักบวชลุกขึ้นและตบไหล่ของเขา "ขอแสดงความยินดี แกถูกไล่ออกนี่เป็นของขวัญอำลาของแก"

 

เขาโยนอะไรบางอย่างให้เย่วซิงหยวน เป็นสัญลักษณ์วงแหวนศักดิ์สิทธิ์สามวงขนาดเท่ากับเหรียญทั่วไป มันเป็นสีทองเข้มเหมือนเหรียญเงินตราบางชนิด สลักเส้นข้อความบางอย่างบนขอบ แต่มันถูกสลักจนราบเรียบเพื่อให้คุณแทบจะไม่รู้สึกถึงเส้นแกะสลักด้วยซ้ำเมื่อสัมผัสมัน

 

"นี่คืออะไรครับ?"

 

"นั่นคือ ตราศักดิ์สิทธิ์นั่นหมายความว่าเจ้าได้รับการยอมรับจากคริสตจักร แม้ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะได้รับ แต่ฉันจะทำเอกสารยืนยันให้เมื่อกลับไปที่เมืองศักดิ์สิทธิ์" หลวงพ่อพูดอย่างสบายใจ "ด้วยวิธีนี้เจ้าสามารถกู้ยืมเงินเล็กๆน้อย โดยไม่มีดอกเบี้ยและขอความช่วยเหลือจากคริสตจักรได้ไม่จำกัด ดังนั้นอย่างน้อยเจ้าจะได้ไม่ต้องอยู่ข้างถนนอีกในอนาคต"

 

"ขอบคุณมากครับ." เย่วซิงโยนตราศักดิ์สิทธิ์ไปในอากาศและจับมันใส่ในกระเป๋าของเขา  ดวงตาเขาเบิกกว้างและมีความหวัง "แล้วหลวงพ่อไม่มีอาวุธเจ๋งๆ หรือหนังสือระดับสุดยอดบ้างหรอ?"

 

"ฉันไม่มีอะไรแบบที่แกพูด แต่มีขวานอยู่ที่สนามหลังบ้านแกต้องการไหมล่ะ?"

 

เย่วซิงไม่กล้าขออะไรอีก เขาไม่แน่ใจว่าจะจบลงด้วยการโดนขวานนั้นแยกหัวกะโหลกของตัวเองหรือไม่

 

"แกไปเก็บของได้แล้ว เมื่อแกไป Avalon ฉันหวังว่าแกจะไม่หลงลืมอะไร" หลวงพ่อโบกมือให้เขาออกไป เย่วซิงยังยืนอยู่ที่นั่นแต่เขาไม่แน่ใจว่าจะพูดอะไร

 

เขามองไปที่หลวงพ่อบานที่ในอดีตไม่เคยพูดดีกับเขาเลย หรือยอมรับข้อผิดพลาดของเขา ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

 

เมื่อห้าปีก่อนหลวงพ่อเปิดประตูโบสถ์แห่งนี้ และได้เห็นเย่วซิงยืนอยู่ท่ามกลางหิมะและยื่นมือช่วยเหลือเขา ห้าปีต่อมาเขากำลังจะออกจากโบสถ์ แต่ในขณะที่เขามองไปที่หลวงพ่อ เขากลับไม่เต็มใจที่จะไป

 

เขายังคงไม่รู้ว่าจะบอกลาอย่างไร เขาจึงเพียงแค่พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ หันกลับและปิดประตูด้านหลังเขา รอยเท้าของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาลังเลที่จะก้าวออกไป

 

เย่วซิงมองย้อนกลับไปและเห็นหลวงพ่อกำลังสวดขอพร เขาก็รู้สึกเศร้าอยู่ข้างใน เขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป

 

"หลวงพ่อจนถึงตอนนี้ฉันยังคิด ... ว่าฉันดีใจที่ได้รับการช่วยเหลือจากคุณ"

 

ในขณะที่หลวงพ่อกำลังสวดขอพร เขาก็ได้ยินคำอำลาจากเย่วซิง เขารู้สึกประหลาดใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองเห็นเด็กหนุ่มผิวขาววิ่งหายไปในแสงสว่าง

 

ดวงอาทิตย์ในช่วงบ่ายมีความร้อนแรงเป็นอย่างมาก มันกลืนเงาของเขาราวกับว่าเขากำลังจะก้าวเดินเข้าไปในอนาคตของเขาเอง

 

ห้าปีแล้ว. เด็กคนนี้ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว

 

ริมฝีปากของหลวงพ่อบานสั่นอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขาไม่ได้เรียกชายหนุ่มคนนั้น เขาเฝ้าดูเย่วซิงวิ่งห่างออกไปไกล จนกระทั่งเขาหายไป ในขณะเงียบ ปากของหลวงพ่อก็โค้งขึ้นเล็กน้อยมันดูเหมือนรอยยิ้ม

 

วันรุ่งขึ้นตอนเที่ยงเย่วซิงรอที่ท่าเรือ เขาถือกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เขากำลังรอเรือที่ออกจาก Yanan และในไม่ช้าก็จะมาถึงท่าเรื่อที่เขารออยู่ในอีกสิบห้านาที ปลายทางสุดท้ายคือ Avalon

 

ไททันเป็นเรือรุ่นใหม่ล่าสุดที่ผลิตขึ้นในอู่เรือของศริสตจักรและซื้อโดย บริษัท อีสท์อินเดีย มีข่าวลือว่าเมื่อเทียบกับเรือบรรทุกสินค้ารุ่นแรกไททันเป็นเหมือนเรือลำเล็ก ๆ ทั้งในด้านน้ำหนักและความเร็ว

 

เรือขนาดใหญ่ชนิดนี้มักไม่ผ่านท่าเรือเล็ก ๆ เพราะน้ำตื้นเกินไป แต่เมื่อเรือมาถึงพวกเขาก็จะส่งเรือเล็ก ๆ มาเพื่อส่งจดหมายจากทั่วโลกรวมถึงสินค้าที่เมืองสั่งไว้ คุณสามารถขึ้นเรือได้ใช้ตราศักดิ์สิทธิ์และจ่ายค่าโดยสารหลังจากนั้น

 

นี่เป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการเดินทางไป Avalon ซึ่งหลวงพ่อทำไปเพื่อช่วยเย่วซิง หมาป่าขลุ่ยออกเดินทางในวันเดียวกัน แต่ใช้รถม้า หมาป่าขลุ่ยไม่ได้ออกไปไหนจนถึงช่วงบ่ายดังนั้นเขาและวิกเตอร์จึงมีเวลามาส่งเย่วซิง

 

“เย่วซิงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับรางวัล เงินรางวัลจะถูกฝากเข้าบัญชีคริสตจักรของคุณ ในอีกประมาณครึ่งเดือน คุณเพียงแค่ต้องไปที่สำนักงานของคริสตจักร และใช้ตราศักดิ์สิทธิ์ที่หลวงพ่อให้มายืนยันตัว”

 

"ดูแลตัวเองให้ดีที่ Avalon และอย่าลืมหาโรงแรมใกล้กับโรงเรียนก่อน คุณจะสามารถอาศัยอยู่ในหอพักเมื่อโรงเรียนเปิดได้ Avalon มีปัญหามลพิษร้ายแรงบางอย่าง สองปีที่ผ่านมามีหมอกควันมากเกินไป คิดว่าเป็นเพราะอากาศที่ไม่ค่อยดีดังนั้นอย่าลืมซื้อหน้ากากด้วย "

 

จากนั้นหมาป่าขลุ่ยก็หยุดนิ่งหน้าตาของเขาบูดบึ้ง "ระวังเด็ก ๆ ที่มาขอทานเงิน เมื่อคุณลงเรือพวกเขาจะแอบขโมยเงินของคุณ"

 

"อย่ากังวลหมาป่าขลุ่ย" เย่วซิงหัวเราะ "ฉันเคยเป็นหนึ่งในเด็ก ๆ เหล่านั้นเมื่อหลายปีที่แล้ว"

 

"คุณก็เคยเป็นเด็กข้างถนนหรอ." หมาป่าขลุ่ยส่ายหัว และจำบางสิ่งบางอย่างได้ เขามองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสังเกตเห็น เขาก็ลดเสียงของเขาลงและพูดว่า "เย่วซิงมีอะไรบางอย่างที่ฉันคิดว่าฉันควรจะบอกคุณ"

 

"ว่ามา?"

 

"ด้วยเหตุผลใดๆก็แล้วแต่ คุณต้องจำไว้ว่าคุณไม่สามารถบอกใครได้ว่าคุณเป็นลูกของนักดนตรีแห่งความมืดในเมือง Avalon " เขากดลงบนไหล่ของเด็กผมสีขาว "คุณเป็นเพียงชายหนุ่ม ที่ฉันพบเมื่อฉันเดินทางไปทางทิศตะวันออกเข้าใจไหม?"

 

เย่วซิงเงียบ เขามองไปที่หมาป่าขลุ่ย เขาห่วงใยเย่วซิงอย่างจริงใจ เย่วซิงยิ้มอย่างไม่เต็มใจ "คุณรู้แล้วหรอ?"

 

"ฉันเป็นนักดนตรีนะ" หมาป่าขลุ่ยมองเข้าไปในดวงตาของเขาและถอนหายใจเบา ๆ "นับตั้งแต่ที่คุณรู้จักเวทย์ Demon of Rain ฉันก็เริ่มสงสัย แต่ฉันไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นความจริง"

 

เย่วซิงเงียบ

 

"คนตะวันออก, ผมขาวเหมือนสีเงินแสดงถึง" สายเลือดของมังกร " รวมทั้งนามสกุลของคุณ 'เย่ว' มันชัดเจนมาก จนฉันไม่จำเป็นต้องคิดอะไรอีก”

 

"ครั้งหนึ่งมีนักดนตรีระดับคทาที่มีพรสวรรค์มากเกิดขึ้น แต่ตอนนี้เขาอยู่ในอันดับที่สามจากรายชื่อค่าหัวที่ต้องการตัวที่สุด เขาฆ่านักดนตรีหลวงของแองโกลสิบหกคนเมื่อห้าปีก่อน และเข้าร่วมกับเหล่าภัยพิบัติทางธรรมชาติ – ผู้ทรยศ, Moon Chant – เย่วหลันซู"

 

หมาป่าขลุ่ยถอนหายใจ "ฉันตกใจว่าเมื่อรู้ว่าคุณเป็นลูกชายของเขา มันอธิบายได้ว่าทำไมคุณถึงรู้จักเวทย์ Demon of Rain ยังไงก็แล้วแต่พ่อของคุณเคยเป็นนักล่าปีศาจที่เก่งที่สุด"

 

"พ่อของฉันไม่ใช่คนทรยศ" เย่วซิงกระซิบ "เขาไม่ได้ทรยศต่อมวลมนุษยชาติ"

 

"ปัญหาคือทุกคนคิดอย่างนั้น" หมาป่าขลุ่ยพยายามที่จะจัดระเบียบคำพูดใหม่ของเขา ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจ "ฉันสามารถพูดได้ว่าเขาเคยเป็นคนที่ดีมาก เมื่อตอนที่ฉันอยู่ในมหาลัยส่วนกลาง ฉันเคยเข้าชั้นเรียนของเขาเกี่ยวกับทฤษฎีดนตรีตะวันออก และเขายังดูแลฉันที่เป็นนักเรียนที่ยากจน, และเลี้ยงอาหารเย็น. "

 

"คุณรู้จักกับเขา?"

 

"เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาเคยสอนที่สถาบันดนตรีแห่งราชอาณาจักรก็จริง แต่เขาลาออกหลังจากแต่งงาน และไม่ว่าคุณจะแค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือถ้าคุณต้องการทำอะไรสักอย่างก็ขอแนะนำว่าให้คุณปลอมตัวเป็นนักเรียนต่างชาติจากทางตะวันออก เพราะเป็นวิธีที่ดีสำหรับคุณ "

 

ในความเงียบที่ยาวนานชายหนุ่มที่มีผมสีขาวดูเหมือนจะคิดหนัก

 

"หมาป่าขลุ่ย แล้วคุณไม่กลัวหรอ?" เย่วซิงยิ้มอย่างฉับพลันและถามเบา ๆ ว่า "คุณไม่กลัวหรือว่าฉันจะทรยศต่อมวลมนุษยชาติและกลายเป็นคนทรยศไปอีกคน?"

 

"เย่วซิง บางครั้งคุณเป็นเพียงเด็กน้อยที่ไม่ได้รู้จักตัวเองดีพอ." หมาป่าขลุ่ยมองลงมาที่เขาและหัวเราะเยาะเขาอย่างไร้ความปราณี "คุณรู้ไหมคุณเป็นคนประเภทที่ไม่ค่อยมีความคิดสร้างสรรค์มากนักในการทำสิ่งที่ไม่ดี ดังนั้นฉันว่าคุณเป็นคนดี"

 

ขณะที่เขากำลังพูดอยู่หมาป่าขลุ่ยได้หยิบหนังสือเล่มหนา ๆ ออกมาจากกระเป๋าและใส่ไว้ในมือของเย่วซิง "นี่เป็นของขวัญขอบคุณล่วงหน้า"

 

เย่วซิงรับหนังสือ เขาตระหนักว่าเป็นหนังสือปกหนังที่เก่ามาก ภายในมีการขีดเขียนขนาดเล็กและภาพวาดจำนวนมาก

 

หนังสือทำมาได้ดีมาก แม้แต่หนังหุ้มปกก็หนากว่าหนังสือธรรมดา ๆ และให้ความรู้สึกเหมือนถูกสร้างด้วยเหล็ก

 

ข้างๆหมาป่าขลุ่ย เขาเปิดหนังสือและชี้ไปที่หน้าใดหน้าหนึ่ง

 

"นี่เป็นหนังสือของฉันตอนที่ฉันไปที่สถาบันการศึกษาครั้งแรก รวมถึงบันทึกบทเพลงจากโรงเรียนสี่แห่งที่แตกต่างกัน และเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ โอ้ใช่ส่วนนี้เขียนตอนอยู่ในช่วงชั้นเรียนของพ่อคุณ!"

 

ในหน้านั้น มีบันทึกย่อที่เขียนด้วยมือเพียงสองบรรทัด ส่วนที่เหลือประกอบด้วยโน้ตดนตรีที่ดูแปลกมาก ดูเหมือนว่ามันไม่สมบูรณ์และไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน

 

"ขอโทษที ตอนนั้นฉันกำลังงีบหลับในห้องเรียน ฉันไม่ได้รู้ว่าในชั้นเรียนสอนอะไรไปบ้างฮ่าฮ่า ... " หมาป่าขลุ่ยหัวเราะอย่างละอายใจ

 

เย่วซิงเงียบมานานแล้วก็คำนับเขา เขาใส่หนังสือลงในกระเป๋าเดินทางอย่างระมัดระวัง "ฉันจะอ่านอย่างละเอียดขอบคุณหมาป่าขลุ่ย"

 

"ไม่เป็นไร มันก็แค่หนังสือไม่ต้องกังวลเพียงแค่อย่าทำมันหายละ."

 

หมาป่าขลุ่ยมองไปที่ดวงตาที่เงียบสงบของเย่วซิงและตบเบา ๆ ที่ไหล่ของเขาว่า "อย่าเพิ่งกังวลถึงเรื่องในอดีต จงมีชีวิตที่ดี ถ้าคุณสามารถเข้าโรงเรียนได้ฉันจะให้ของขวัญแก่คุณ"

 

"เป็นคำสัญญาหรอ?"

 

"มันเป็นสัญญา"  หมาป่าขลุ่ยถอยหลังไปสองก้าว ใส่หมวกของเขาและขึ้นรถไป

 

มหาสมุทรที่เงียบสงบก็กลายเป็นปั่นป่วน เรือขนาดใหญ่ที่มาจากระยะไกลทำให้คลื่นใหญ่ปรากฏขึ้นและปล่อยให้ชั้นของคลื่นกระจายไปในทุกทิศทาง

 

"แม้ว่าเราจะไกลกันแต่ฉันจะไปหานายแน่นอน" วิกเตอร์ชกไปที่เย่วซิงเบา ๆ "อย่าหลงทางเมื่ออยู่ใน Avalon ฉันจะออกไปจากนี้โดยเร็วที่สุดเมื่อหลวงพ่อจากไป บางทีอาจจะสองหรือสามปีถ้านายไม่ไหวก็กลับมาหาฉันได้ ตอนนั้นฉันจะอาจจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงแล้ว"

 

"เฮ้, เฮ้, นายมั่นใจมากไปหรือป่าว?" เย่วซิงได้แต่หัวเราะ

 

"สำหรับคนอย่างฉัน ก็มีแต่ต้องสู้ขึ้นไปเรื่อยๆเท่านั้น?" วิกเตอร์ผลักเขา ราวกับจะขับไล่เขาไปและเพื่อไม่ให้เกิดความโศกเศร้า "หยุดพูดคุยได้แล้ว รีบขึ้นเรือไปได้แล้ว ไม่งั้นนายจะพลาดเรือไม่ต้องกังวลเรื่องคนอื่น ในขณะที่นายอยู่ใน Avalon ไม่ต้องห่วงฉัน นายต้องดูแลตัวเองด้วย"

 

ในตอนบ่ายวันอาทิตย์เย่วซิงยิ้มและโบกมือลาวิกเตอร์ และวิกเตอร์ก็โบกมือลาตอบโดยไม่ลังเลเพราะเขาเชื่อมั่นว่าวันหนึ่งพวกเขาจะได้พบกันอีกครั้ง

 

เย่วซิงกอดวิกเตอร์และกระซิบ "ลาก่อน, วิกเตอร์"

 

ฟิลก็วิ่งไปข้างวิกเตอร์และยื่นลิ้นออกมา มันยืนอยู่บนขาทั้งสองข้างกอดไหล่วิกเตอร์ ทำให้เขาเปียกโชกด้วยน้ำลาย ก่อนที่ฟิลกระโดดไปหาเย่วซิง พร้อมที่จะออกเดินทาง

 

เย่วซิงมองวิกเตอร์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนก้าวเท้าขึ้นบนเรือ

 

เมื่อเรือขนาดใหญ่ยกสมอและแล่นเรืออีกครั้ง เย่วซิงยืนอยู่บนดาดฟ้าไม่กล้าที่จะมองย้อนกลับไป เขารู้ว่าชายฝั่งเริ่มไกลออกไป เขารู้สึกเหมือนกับว่าส่วนหนึ่งในตัวของเขาหายไปทีละนิด บางทีช่วงชีวิตของเขาจากนี้จะต้องถูกทิ้งไว้เบื้องหลังตลอดไป

 

"ท่านค่ะ กรุณาตามฉันมา พนักงานเสิร์ฟทักทายอย่างสุภาพและนำทาง "ห้องของคุณพร้อมแล้ว เราจะถึง Avalon ภายในสามวันเราหวังว่าคุณจะมีการเดินทางที่ยอดเยี่ยม"

 

"ขอบคุณครับ." เย่วซิงยิ้ม

 

"Avalon ในที่สุด"

 

เมื่อเรือออกจากท่าเรือและมุ่งหน้าต่อไป วิกเตอร์ก็เป็นเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ที่ท่าเรือ เขาจ้องมองไปที่มหาสมุทร เพื่อนคนเดียวของเขากำลังเดินทางไกลออกไป

 

"เฮ้ เศร้าหรอ?  อารมณ์มนุษย์ช่างอ่อนไหวจริงๆ " "มนุษย์มีอายุขัยสั้น มนุษย์ยังต้องเสียเวลามากเพราะฮอร์โมนของพวกเขา ทั้งหมดก็แค่ฝัน ... "

 

"เฮ้ ปีศาจเฒ่า คุณน่ารำคาญจริงๆ" วิกเตอร์มองลงมาที่หน้าอกของเขาและถอนหายใจเบา ๆ "บลาๆๆๆ, คุณหุบปากบ้างได้ไหม?"

 

"ว่าไงนะ ... "

 

"ตอนนี้คุณเป็นแค่หนอนในขวด ถ้าฉันไม่ได้ช่วยคุณไว้ คุณได้เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยของพระเจ้าไปแล้ว" วิกเตอร์กล่าวด้วยความหนาวเย็น "ศิลปินแห่งสายฝน, ถึงฉันจะพูดไม่เก่ง แต่ฉันก็จะไม่ทำผิดพลาด โดยปล่อยให้คุณออกมากัดฉันหรอกนะ?"

 

"แกมันปีศาจ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ฉันจะฆ่าแกทิ้งซะ !"

 

ในกระเป๋าของวิกเตอร์มีขวดขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือเก็บอยู่ ด้านในมีหนอนดิ้นไปมาเหมือนปรอทไหลและคำราม "ฉันไม่น่าทำพลาด ในขณะที่กำลังย้ายร่าง! ถ้าไม่ใช่เพราะแก ฉันได้มีชีวิตใหม่ไปแล้ว!"

 

"หรอ?." วิกเตอร์เยาะเย้ย เขาไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดอีก

 

หลังจากนั้นไม่นานนักศิลปินแห่งสายฝนก็เงียบลง เขากระซิบว่า "ทำไมแกถึงต้องบังคับฉัน  ทำไมเราถึงไม่ช่วยกันละ ถ้าฉันเจอร่างใหม่แกก็จะบรรลุเป้าหมาย ... "

 

"ถึงมันจะเป็นอย่างที่คุณพูด แต่ ... คุณไม่คิดว่ามีอะไรแปลกๆหรอ?" วิกเตอร์มองเข้าไปในขวดที่หนอนปรอท "เงื่อนไขที่เราร่วมมือกันก็เพื่อเป้าหมายของฉัน ไม่ใช่การหาร่างใหม่"

 

"ไอ้@#@$@!"

 

"คุณยอมรับข้อตกลงเพราะคุณอยากจะมีชีวิตอยู่ แม้ว่าคุณจะไม่เข้าสถานการณ์ในตอนนี้ แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ฉันเห็นด้วยกับคุณ"

 

"โอ้?"

 

"พลังอำนาจยังไงละ ปีศาจเฒ่า" วิกเตอร์มองลงมาที่เงาของตัวเอง ในดวงอาทิตย์เงาของเขาสั่นและโดดเดี่ยวอย่างน่าสมเพช "ฉันมันอ่อนแอ มันจะต้องเป็นเพราะฉันไม่มีพลังอำนาจ ฉันเคยกลัวหลายสิ่งหลายอย่าง แต่สักวันหนึ่งฉันจะไม่กลัวอะไรเลย ...

 

ท่ามกลางแดดอันร้อนแรง ดวงตาของเขาจางลงเหมือนถ่านหินในกองไฟดั่งเปลวไฟสีแดงเข้ม

 

"... ตราบเท่าที่ฉันมีพลังอำนาจมากกว่าคนอื่น"

 

ปีนี้เป็นปกติเหมือนปีที่ผ่านๆมา ทุกอย่างอยู่ในสถานที่ของตัวเอง

 

ประเทศต่างๆกำลังต่อสู้หรือทำสงคราม เหล่าภัยพิบัติทางธรรมชาติยังคงซ่อนตัวอยู่ในความมืดบางครั้งพวกมันเดินเข้าไปในโลกมนุษย์ทิ้งภัยพิบัติและการทำลายล้างเอาไว้

 

คนชรามักอาบแดดและดื่มชา พวกผู้หญิงเลี้ยงลูก ๆ ของพวกเขาและซุบซิบเรื่องคนอื่น

 

โลกกำลังยุ่งอยู่เสมอ สิ่งที่น่าเบื่อคือการที่ไม่ได้ทำอะไรๆตอนยังวัยรุ่น

 

ดังนั้นเมื่อพวกเขาพบเจอสิ่งแปลกประหลาด ในโลกใบใหญ่นี้ ดวงตาของพวกเขาจะเปล่งประกาย เพราะโลกดูราวกับสนามเด็กเล่นขนาดมหึมาเต็มไปด้วยความหวังและความฝันมากมาย

 

บทเพลงของยุคสมัยเก่าสิ้นสุดลง ได้เวลาเริ่มเรื่องราวของวีรบุรุษยุคใหม่

 

ในช่วงวันที่น่าเบื่อหน่ายนี้ ชายหนุ่มสองคนได้รับโอกาสในวันเดียวกันและทั้งสองก็พร้อมที่จะเข้าสู่โลกใบใหม่แล้ว

 

อนาคตของพวกเขาจะนำไปสู่ทิศทางต่างๆที่ไม่คาดคิด

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด