บทที่ 41: โลกมนุษย์
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ก่อนใครได้ที่แฟนเพจ
====================
บทที่ 41: โลกมนุษย์
แคว้นหลานเย่ว์อยู่ห่างจากสำนักเสวียนเทียนนับล้านลี้ หากเจ้าอ้วนบินไปด้วยตนเองจะเสียเวลาถึงสองหรือสามเดือนเป็นอย่างน้อย นอกจากนี้ยังต้องผ่านเข้าไปในหุบเขาอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยอันตรายมากมาย เขาอาจจะเผชิญหน้ากับเหล่าอสูรกายระดับสูงได้ ดังนั้นเขาจึงไม่เลือกการเดินทางด้วยดาบบิน
ต้องขอบคุณพระเจ้าที่เห็นใจ นิกายได้สั่งการมายังหอคอยลอยฟ้าเพื่อให้เจ้าอ้วนสามารถใช้ประตูเคลื่อนย้ายไปยังวัดที่ตั้งอยู่ที่บริเวณเทือกเขา วัดตั้งอยู่ในเมืองเล็ก ๆ มีชื่อว่าซางหลาง หากเขาบินจากที่นั่นจะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางไปยังเมืองมนุษย์ได้มากโข แม้ว่าดินแดนมนุษย์จะมีผู้ฝึกตนที่เป็นอันธพาลกับบรรดาผู้ฝึกตนด้วยกัน แต่ก็มิได้สร้างอันตรายใดมากนัก เพียงเพราะอย่างน้อยก็ไม่ใช่สัตว์ร้ายที่อาละวาดตามสัญชาตญาณ โดยเฉพาะกับเหล่าศิษย์ของสำนักเสวียนเทียนถือว่าอยู่ในความปลอดภัย สามารถเดินไปรอบ ๆ ได้อย่างอิสระ ไม่มีผู้ฝึกตนหน้าไหนกล้าจะทำร้ายพวกเขา เหตุเพราะไม่มีใครกล้ารุกรานสำนักเสวียนเทียน
หลังจากออกจากประตูเคลื่อนย้ายในเมืองซางหลาง เจ้าอ้วนรู้สึกห่อเหี่ยวทันที เมืองซางหลางไม่เพียงแต่เล็กกว่านครเวหา แต่คุณภาพสินค้าต่ำมาก ในขณะที่ราคากลับสูงลิ่ว มันไม่สามารถเทียบกับนครเวหาได้เลย มีเพียงวัสดุเล็กน้อยเท่านั้นที่มีราคาถูกกว่า แต่เนื่องด้วยคุณภาพของมันนั้นต่ำเกินกว่าที่เจ้าอ้วนจะให้ความสนใจ
เขาพักอยู่ที่นี่นานสองวัน เจ้าอ้วนรู้สึกกลับรู้สึกเบื่อหน่าย จึงเริ่มออกเดินทางต่อทันที ด้วยความเร็วกว่าหนึ่งพันลี้ต่อชั่วโมง อีกทั้งการช่วยเหลือขององค์ประกอบของธาตุทั้งห้า เจ้าอ้วนสามารถบินได้หนึ่งหมื่นลี้โดยใช้เวลาเพียงหนึ่งวัน
ตอนนี้เขาเดินทางมาถึงเมืองที่มนุษย์อาศัยอยู่ เจ้าอ้วนเปรียบเทียบมันกับสวนขนาดใหญ่ เขาหลงใหลในดินแดนแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่ขายขนมหวาน สัดส่วนของร่างกายหรือแม้แต่กังหันลม ที่แห่งนี้มีสิ่งที่แปลกใหม่ให้เจ้าอ้วนได้เรียนรู้มากมาย ในสำนักเสวียนเทียนมีเพียงการฝึกตนเท่านั้นมิได้มีสิ่งใดที่ตื่นตาตื่นใจเช่นนี้
อีกอย่างอาหารที่นี่น่าทานและรสชาติเป็นเลิศ เขาเดินเข้าไปในร้านอาหารทุกร้านที่ก้าวผ่าน ดังนั้นการใช้จ่ายของเขาในตอนนี้เรียกได้ว่าฟุ่มเฟือยอย่างถึงที่สุด
แหล่งที่มาของเงินที่เจ้าอ้วนใช้อยู่นั้นง่ายดายมาก เพียงแค่หยิบเศษเหล็กสีดำออกมามันกลายเป็นสมบัติที่มีค่าทัดเทียมนับหนึ่งพันในดินแดนแห่งนี้ แม้ว่าเหล็กสีดำจะเป็นวัสดุคุณภาพต่ำที่สุดในโลกของผู้ฝึกตน แต่ไม่ใช่สำหรับโลกมนุษย์ มันเป็นเพียงวัสดุอย่างเดียวที่ถูกไฟของมนุษย์หลอมละลายได้ หลังจากนั้นจะถูกสร้างเป็นอาวุธที่คมพอจะตัดทองคำหรือหั่นหยกเป็นชิ้นเล็กได้ ด้วยเหตุนี้เหล็กสีดำจึงเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในโลกมนุษย์ จึงทำให้เจ้าอ้วนสามารถใช้สอยได้อย่างสบายใจ
เมื่อเจ้าอ้วนหยิบเหล็กสีดำออกไปขาย เขาได้พบกับบางคนที่ไม่สา มารถจะซื้อมันได้แต่กลับต้องการปล้นเขา สิ่งนี้ทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง ในชั่วชีวิตของเขานั้นไม่เคยถูกปล้นมาก่อน ประสบการณ์เช่นนี้ทำให้เขาสดชื่นขึ้นมา
ขณะนั้นเจ้าอ้วนรู้สึกดีจริง ๆ เขาไม่คิดจะใช้ความสามารถอื่นใดนอกจากร่างกายแสนพิเศษของเขา เขาต่อสู้กับบุรุษนับสิบคนที่ถือมีดขนาดใหญ่ แต่ผลที่พวกมันคิดว่าจะได้รับหลังจากใช้มีดสับลงบนตัวของเจ้าอ้วนนานนับชั่วโมง กลับเป็นใบมีดทั้งหมดหักลง ในขณะที่เนื้อตัวของเจ้าอ้วนไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน เจ้าอ้วนใช้กำปั้นสวนกลับไปเพียงหนึ่งหมัด บุคคลที่บาดเจ็บน้อยที่สุดคืออาการกระดูกหักสามท่อน และมีหนึ่งคนตายตกไปทันที
เรื่องราวอาจดูเหมือนขบขัน เจ้าอ้วนเข้าใจโลกมนุษย์อย่างลึกซึ้ง เขาคิดว่ามันคล้ายกับโลกของผู้ฝึกตน ผู้คนที่อยู่ระดับล่างมักจะดิ้นรนเพื่อให้ขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงกว่า นอกจากนี้ยังมีความเชื่อในเหล่าภูติผีใต้พิภพ
เมื่อเล่นจนพอใจแล้ว เขาได้คิดว่าการบินด้วยดาบนั้นเร็วเกินไป ดังนั้นเขาจึงตั้งใจว่าจะเดินทางไปยังแคว้นหลานเย่ว์ในอีกสองเดือนข้างหน้า เจ้าอ้วนไม่ต้องการไปถึงที่นั่นเร็วเกินไป แต่การผลัดวันประกันพรุ่งก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก มีแผ่นหยกอยู่ในกระเป๋าซึ่งเขาต้องส่งมอบมันให้กับผู้อาวุโสของสำนักเสวียนเทียนที่อยู่ในแคว้นหลานเย่ว์ภายในสามเดือน หากว่าเขาไม่สามารถทำได้ตามกำหนด นั่นหมายความว่าภารกิจจะล้มเหลวและเขาจะถูกลงโทษ
อย่างน้อยในช่วงนี้ก็เป็นเพียงแค่ช่วงแรกเท่านั้น เขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไปยังวัดเสวียนเทียนที่ตั้งอยู่ในภูเขาอู้หยิน ในตอนนี้เมื่อมาถึงเนินเขาแล้วจึงพบโรงเตี้ยมเป็นอย่างแรก ที่แห่งนี้มีห้องพักมากกว่าหนึ่งร้อย นับตั้งแต่วัดเสวียนเทียนมีชื่อเสียงจึงมีผู้ศรัทธาอยู่ในทุกหนแห่ง เนื่องจากลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายจะลงมาที่เนินเขาในช่วงพลบค่ำ ดังนั้นเขาจึงต้องมีที่พักสำหรับคืนนั้น ๆ จึงทำให้โรงเตี้ยมนี้ดูคึกคักตลอดเวลา
ในขณะนี้เนื้อตัวของเจ้าอ้วนค่อนข้างเลอะเทอะ เขาสวมเพียงเสื้อคลุมยาวของลัทธิเต๋า ในทุกครั้งที่เขาเข้าพักโรงเตี้ยมแห่งใด เขามักจะถูกจ้องมองโดยพนักงานต้อนรับเสมอ ดังนั้นมันจึงติดเป็นนิสัยไปโดยปริยายเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก เขามักจะอยากเข้าไปทุบตีผู้ส่งสายตาดูถูกเหยียดหยามเขา สิ่งที่สะท้อนอยู่ในหัวใจของเขาตั้งแต่วัยเยาว์ เขาเกลียดผู้ที่ข่มเหงคนที่อ่อนแอกว่า ดังนั้นในตอนนี้เขาจะมีความสุขมากหากได้ทำเช่นนั้น
เวลาเช่นนี้ก็ไม่ต่างกัน หลังจากที่เขาเข้ามาในเมืองเล็ก ๆ ตรงเนินเขา เขาเดินตรงดิ่งไปยังโรงเตี้ยมที่ใหญ่ที่สุดโดยไม่สนแม้ว่าเสื้อผ้าของเขานั้นจะขาดรุ่งริ่งคล้ายกับผ้าขี้ริ้วก็ตาม เขาจ้องมองพนักงานพร้อมกับพูดออกไปว่า “เจ้าช่วยเตรียมลานกว้างที่สวยงามและใหญ่ที่สุดให้ข้าที ข้าต้องการความเงียบสงบ!”
ณ ตอนนี้ห้องโถงที่ด้านนอกของโรงเตี้ยมกำลังมีผู้คนมากมายกำลังกินดื่มและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พวกเขากำลังมองมาที่ก้อนไขมันที่สวมใส่ชุดของนักบวชลัทธิเต๋ากำลังเรียกร้องขอลานกว้างที่ตระหง่านที่สุด พวกเขาทั้งหมดตกตะลึง จากนั้นก็เริ่มจับกลุ่มกันอย่างสอดรู้
“คนผู้นี้คือใคร? แต่งตัวเช่นเดียวกับขอทานแต่กลับร้องขอลานกว้างงั้นหรือ? มันรู้หรือไม่ว่าต้องใช้เงินถึงห้าเหรียญต่อหนึ่งคืน?”
“อย่าบอกข้านะว่ามันล้อเล่น?”
“ที่จริงเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น คนที่มีสติดีจะไม่พ่นวาจาไร้สาระเช่นนี้”
พนักงานตกตะลึงกับคำขอของเจ้าอ้วน แต่เขากลับสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว เขาจัดการเจ้าอ้วนให้อยู่ในกลุ่มของลูกค้าที่สร้างปัญหา เขาพูดออกมาอย่างสนิทสนม “อา ท่านนักบวช ข้าต้องขออภัยด้วยที่ลานในโรงเตี๊ยมของข้านั้นเล็กเกินไปสำหรับนายท่าน ข้าว่าท่านต้องไปยังโรงเตี้ยมแห่งอื่น”
“หืม?” หลังจากได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนไม่ได้โกรธเคืองอะไรกลับรู้สึกยินดี เขากล่าวในใจ ‘ดียิ่งนัก ช่วงเวลาแห่งความหรรษามาถึงแล้ว เจ้าพวกงี่เง่าที่ชอบเหยียดหยามผู้อื่น ข้าจะเล่นกับเจ้าเอง!’
เมื่อคิดดังนั้นแล้ว แค่เพียงเจ้าอ้วนกำลังจะดำเนินการต่อ กลับมีเสียงตะโกนดังมาจากด้านหลัง “ไอ้สารเลว เจ้าพูดสิ่งใดออกมา?”
เมื่อหันไปมองที่ต้นเสียง เถ้าแก่โรงเตี๊ยมวัยสี่สิบเดินเข้ามาจากด้านหลัง เขาตำหนิพนักงานของเขาทันที พร้อมหันมาโค้งให้เจ้าอ้วนและกล่าวอย่างสุภาพ “โอ้สวรรค์ สิ่งที่พนักงานของข้ากระทำไปเมื่อครู่นี้ เป็นเพราะข้าไม่เคร่งครัดในกฎระเบียบเอง ข้าสั่งสอนพวกเขาไม่มากพอ ท่านเป็นผู้มีจิตใจเมตตาช่วยทำเป็นลืมมันไปเถิด!”
หลังจากกล่าวจบ เถ้าแก่จ้องไปที่ลูกน้องพร้อมตำหนิ “ไอ้สารเลว จงคุกเข่าลงและขอโทษเสีย!”
เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เถ้าแก่ถึงกับออกโรงขอโทษเป็นการส่วนตัวพร้อมกับยอมจำนนแต่โดยดี ทุกคนในร้านอยู่ในความสงบ พนักงานผู้นั้นไม่เพียงแต่ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เจ้าอ้วนเองก็ตกใจเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าพนักงานยังอยู่ในความโง่เขลา เถ้าแก่จึงเตะขาของเขาพร้อมตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าสารเลวตัวน้อย ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?”
เมื่อเห็นว่าเถ้าแก่เริ่มมีอารมณ์ที่รุนแรง พนักงานตกใจอย่างยิ่ง เขากำหมัดแน่นพร้อมกับกล่าวออกไปว่า “ใช่ ใช่แล้ว เป็นความผิดข้าเอง มันเป็น…”
“คุกเข่าลง!” ก่อนที่พนักงานจะทันได้พูดจบ เถ้าแก่ตวาดลั่น “ก้มหัวแล้วขอโทษซะ!”
ในขณะนั้นพนักงานอยู่ในความโง่เขลาอย่างถึงที่สุด แม้ว่าตำแหน่งของเขาจะต่ำต้อย เขาก็ไม่เต็มใจที่จะก้มหัวให้ใคร แต่ทว่าคนผู้นี้ให้ชีวิตใหม่กับเขายิ่งกว่าตอนที่ยังอาศัยกับบิดามารดา ไม่เพียงแต่ได้เงินมากเท่านั้น เขาได้พบกับหญิงสาวที่จะมาเป็นภรรยาอีกด้วย ดังนั้นแม้ว่าจะมีข้อข้องใจมากมาย เขาจึงคุกเข่าลงพร้อมกับน้ำตาเอ่อล้นออกมาและพูดว่า “เป็นความผิดของข้าเองที่กระทำการเช่นนั้น ได้โปรดอภัยให้ข้าเถิด!”