บทที่ 134 ก่อนพายุโหม
หลังจากการประลองรอบที่สอง ยกเว้นจั่วม่อ ผู้เข้าร่วมประลองที่เหลือทั้งหมดล้วนเป็นที่ชื่นชอบของฝูงชน ได้รับการจัดลำดับสูงในรายการจัดลำดับพลังฝีมือ เหล่ายอดฝีมือที่ผู้คนชื่นชอบล้วนเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างท่วมท้น การประลองเหล่านี้อาจน่าดูชม แต่ไม่ได้ทำให้ผู้ชมตื่นเต้นมากเท่าใด
ทุกสายตาจดจ่อรอคอยอยู่กับการประลองรอบสุดท้าย ศึกตะลุมบอน!
ในยอดฝีมือหนึ่งร้อยคน มีเพียงสิบคนที่จะได้ชัย ไม่มีกฎ ไม่มีข้อบังคับ หอคลื่นสนจะกลายเป็นสนามรบอันวุ่นวาย มีเพียงสิบคนเท่านั้นที่สามารถอยู่รอดได้
ความรุนแรงเป็นที่คาดคำนวณได้ การปะทะที่แข็งแกร่งไม่อาจหลีกเลี่ยง มีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมมากมายที่สามารถใช้ประโยชน์...
จะไม่ให้ผู้คนคาดหวังกับการประลองรอบนี้ได้อย่างไร?
ไม่กี่วันก่อนเริ่มการประลองรอบสุดท้าย เทียนซงจื่อประกาศไปทั่วว่ามันจะก่อตั้ง ‘ค่ายกลภาพฝันเงามายา’ ไว้ภายในหอคลื่นสน เมื่อถึงเวลา การต่อสู้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในหอคลื่นสน จะฉายออกมาที่เบื้องหน้าของทุกผู้คนดุจภาพมายา
เมื่อข่าวนี้ประกาศออกไป ตงฝูก็สั่นสะเทือน
ก่อนหน้านี้การประลองอันไร้กฏเกณฑ์สร้างความกังวลแก่เหล่าผีพนันไม่น้อย เนื่องเพราะผู้คนมากหลายไม่สามารถชมดู การประลองที่น่าดูชมที่สุด หากผู้คนไม่อาจมองดูได้ก็ไม่น่าสนใจแล้ว แต่ไม้เด็ดของเทียนซงจื่อนี้ดึงดูดความสนใจจากซิวเจ่อทั้งหมด ข่าวนี้ถูกออกอากาศผ่านทางอินกุย แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว
ตงฝูกลายเป็นจุดศูนย์กลางของอาณาจักรนภาจันทร์ในทันที ซิวเจ่อนับไม่ถ้วน ไม่ว่ามีพลังฝีมือด่านใด พากันเร่งรุดเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน สร้างกระแสผู้คนสัญจรมารวมตัวกันยังตงฝูชนิดไม่ขาดสาย
ที่นี่ เป็นสถานที่ที่ยอดฝีมืออายุเยาว์ที่แข็งแกร่งสุดยอดในอาณาจักรนภาจันทร์จะต่อสู้กัน! ที่นี่ เป็นที่ชุมนุมยอดอัจฉริยะแห่งอาณาจักรนภาจันทร์! ที่นี่ จะสำแดงเวทวิชาอันตระการตาที่สุดในอาณาจักรนภาจันทร์! ที่นี่ จะได้ชมการต่อสู้อันดุร้ายหฤโหดที่สุดในอาณาจักรนภาจันทร์!
เหตุการณ์ใหญ่โตถึงเพียงนี้ พวกมันจะพลาดได้อย่างไร? สามารถชมดูด้วยตาตนเอง อาจเป็นโอกาสที่มีครั้งเดียวในชีวิต
ตงฝูมั่งคั่งร่ำรวยกว่าที่เคยเป็นมา บรรดาสำนักใหญ่ทั้งหมดส่งศิษย์ของพวกมันมาชมการประลอง แม้ว่าพวกมันไม่อาจเข้าร่วมประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ แต่สามารถชมดูการต่อสู้ และได้เห็นว่าเหล่าสุดยอดฝีมือในรุ่นเดียวกันกับพวกมันใช้เวทวิชาอย่างไร ก็นับเป็นประโยชน์อเนกอนันต์แล้ว ปกติเมื่อซิวเจ่อเผชิญหน้าศัตรู พวกมันมักซ่อนทุกสิ่งทุกอย่างไว้ เมื่อมีโอกาสชมดูจนกระจ่างแก่สายตาในชีวิตจริง ย่อมไม่มีผู้ใดอยากพลาด
ม้วนหยกบันทึกภาพมายาการประลองระหว่างจั่วม่อกับเฉาอัน เวลานี้มีราคาถึงหนึ่งร้อยชิ้นจิงสือระดับสาม กระนั้นก็ยังขายหมดเกลี้ยง หลายคนรู้สึกเศร้าเสียดายที่ในเวลานั้นไม่ได้สร้างม้วนหยกภาพมายามากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นคงร่ำรวยไปแล้ว! ม้วนหยกภาพมายาของการประลองนัดนั้นส่วนมากถูกสำนักใหญ่ๆ กว้านซื้อไป พวกมันตั้งใจว่าจะมอบม้วนหยกนี้ให้แก่ศิษย์ที่มีฝีมือทางค่ายกล กล่าวได้ว่าสำนักใหญ่ฉลาดมากในแง่นี้
ต่อมาม้วนหยกภาพมายาของการประลองนัดต่อๆ มา มีจำนวนมากขึ้น แต่ราคาไม่อาจเทียบได้กับการประลองของจั่วม่อรอบนั้น
ตงฝูเล็กๆ แห่งนี้เต็มไปด้วยซิวเจ่อทุกประเภท หลายคนเล็งเห็นโอกาสและเริ่มทำการค้า บ้างนำยุทธภัณฑ์เวทกับวัตถุดิบที่ไม่ต้องการ ออกมาขายหรือแลกเปลี่ยน บ้างก็เริ่มทำการค้าซื้อถูก นำไปขายราคาแพง เพียงชั่วข้ามคืน ตงฝูคล้ายกลับกลายเป็นตลาดที่ใหญ่โตและมั่งคั่งที่สุดในอาณาจักรนภาจันทร์
โถงสุญตา เหวยเสิ้งนั่งประจันหน้ากับท่านเจ้าสำนัก
“เป็นอย่างไร?” เจ้าสำนักยิ้มน้อยๆ “การประลองสองรอบแรก เจ้าไม่พบพานคู่มือที่เข้มแข็งเลย ผิดหวังหรือไม่? เจ้าคงเฝ้ารอการประลองรอบต่อไปแทบไม่ไหวแล้ว”
“ศิษย์คาดหวังอยู่บ้าง” เหวยเสิ้งกล่าวตรงไปตรงมา แทบไม่อาจระงับความตื่นเต้นที่เผยอยู่ในดวงตาได้ “การประลองรอบนี้เต็มไปด้วยยอดฝีมือมากมาย ทำให้เลือดของข้าเดือดพล่านจริงๆ!”
เจ้าสำนักผงกศีรษะชมเชย ในสายตาของเหล่าผู้อาวุโสของสำนักกระบี่สุญตา เหวยเสิ้งแทบจะเพียบพร้อมไปด้วยคุณลักษณะทุกอย่างที่เซียนกระบี่พึงมี มันมีความสงบและแน่วแน่ ฝึกปรืออย่างหนัก จิตใจบริสุทธิ์กระจ่างแจ้ง หัวใจเป็นกระบี่ ทุกสิ่งทุกอย่างทุ่มเทเพื่อกระบี่ พรสวรรค์เชิงกระบี่ของมันแทบไร้คู่เปรียบ ในการเผชิญหน้ากับการประลองครั้งนี้ เหวยเสิ้งเต็มไปด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้ ไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อย ไม่หลบซ่อนไม่หลีกหนี แน่วแน่มั่นคง ไม่เกรงกลัวอุปสรรคขวากหนาม
นึกถึงเรื่องพรสวรรค์ เผยเหยียนหรานอดคิดถึงจั่วม่อไม่ได้ ในบรรดาศิษย์ทั้งหมด บุคคลเพียงผู้เดียวที่พอจะเทียบเหวยเสิ้งได้ในด้านพรสวรรค์ นั่นอาจเป็นจั่วม่อ แต่เมื่อนึกถึงลูกศิษย์เจ้าปัญหาผู้นี้ หัวคิ้วก็ขมวดฉับโดยไม่ได้ตั้งใจ
ตระหนักถึงซือฟู่มีสิ่งกวนใจ เหวยเสิ้งอดถามอย่างใคร่รู้ไม่ได้ “ซือฟู่พบปัญหาใด?” แม้ว่าในสี่ผู้อาวุโสของสำนัก หากกล่าวถึงพลังฝีมือลึกล้ำที่สุด ย่อมไม่พ้นอาจารย์อาซินหยาน แต่พลังฝีมือของซือฟู่คล้ายลึกล้ำสุดหยั่งคาดเช่นเดียวกัน เหวยเสิ้งยามนี้พลังฝีมือรุดหน้าก้าวไกลกว่าเดิมมาก แต่บางครั้งเมื่อรู้สึกถึงพลังสภาวะอันดุดันที่ซือฟู่ของมันแผ่ออกมา มันเองยังต้องครั่นคร้ามทุกครั้ง
ดังนั้นปัญหาที่กระทั่งซือฟู่ยังรู้สึกยุ่งยาก เป็นปัญหาใหญ่โตอันใด?
เมื่อตระหนักว่าเผลอสูญเสียการควบคุมตนเอง เผยเหยียนหรานโบกมือตัดบท “ไม่มีใด” จากนั้นแสร้งทำเป็นผ่อนคลาย กลาวเรียบๆ ว่า “เจ้าเด็กเหลือขอจั่วม่อ คาดว่าในใจคงก่นด่าข้าจนนับไม่หวาดไม่ไหว ที่คราวนี้ข้าได้ให้คำสั่งประหารชีวิต สั่งให้มันเข้าเป็นสิบอันดับแรก” กล่าวถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็นึกถึงบางเรื่อง อดหัวร่อไม่ได้ “ฟังว่าเวลานี้ผู้คนพากันมายังตงฝูมากมายมหาศาล อิงฟ่งแทบไม่ได้พักผ่อนเลย สินค้าทั้งหมดในร้านขายออกไปจนเกลี้ยง หากเจ้าเด็กเหลือขอนั่นทราบว่ามันพลาดโอกาสทำกำไรจิงสืออันดีงามถึงเพียงนี้ ต้องกระอักเลือดเป็นแน่”
เห็นซือฟู่กล่าวกระเซ้าเย้าแหย่ออกมา เหวยเสิ้งค่อยคลายใจลง เมื่อนึกถึงความลุ่มหลงงมงายในจิงสือของศิษย์น้อง มันก็หัวร่อ “ศิษย์รู้สึกว่าระยะหลังๆ มานี้ ศิษย์น้องคล้ายต้องรับความลำบากหนักหนาขึ้นเรื่อยๆ”
“ฮ่าฮ่า!” หวนนึกถึงปัญหาที่จั่วม่อก่อให้แก่มันเมื่อไม่นานมานี้ คราวนี้นับว่าได้ระบายโทสะบ้าง เผยเหยียนหรานรู้สึกดีมาก “ศิษย์น้องของเจ้า ความสามารถเป็นเลิศ แต่นิสัยใจคอใช้การไม่ได้ เกียจคร้านเกินไป พอจมลงไปในกองจิงสือก็ไม่ยอมออกมาแล้ว มันไม่สนใจฝึกกระบี่เอาเสียเลย”
“ศิษย์น้องจะต้องเข้าใจความพยายามของซือฟู่กับเหล่าอาจารย์อาอย่างแน่นอน” เหวยเสิ้งกล่าวกึ่งปลอบโยน มันเองก็อับจนปัญญากับศิษย์น้องผู้นี้เช่นกัน มันย่อมล่วงรู้นิสัยใจคอของจั่วม่อ เรื่องนี้ไม่สามารถบังคับกันได้
“อาจารย์อาซินหยานของเจ้าตระเตรียมบทลงโทษไว้ชุดใหญ่ กำลังรอคอยเด็กน้อยไปหามัน” กล่าวถึงเรื่องนี้ เผยเหยียนหรานอดสะใจเล็กๆ ไม่ได้
เห็นซือฟู่มั่นอกมั่นใจถึงเพียงนี้ เหวยเสิ้งอึกอักอยู่ครึ่งค่อนวัน คำพูดขึ้นมาถึงปากแล้วยังหดกลับเข้าไป ในใจมันรู้สึกสังหรณ์อย่างเลือนราง โครงการของซือฟู่นี้ บางทีอาจไม่เป็นไปตามที่คิด
กล่าวถึงพลังฝีมือ ไม่ว่าอย่างไรจั่วม่อไม่สามารถเบียดเสียดเข้าสู่สิบลำดับแรก ทว่าในโลกนี้ความแข็งแกร่งไม่ใช่ทุกสิ่ง มันทราบดีว่าศิษย์น้องกลอกกลิ้งปราดเปรื่องเพียงใด ในแขนเสื้อซ่อนกลเม็ดเด็ดพรายมากมายไม่จบสิ้น มันเข้าใจศิษย์น้องมากกว่าซือฟู่กับเหล่าผู้อาวุโส ศิษย์น้องดูผิวเผินเกียจคร้านไม่ใส่ใจ แต่ในกระดูกดื้อรั้นผิดปกติ แทบจะใกล้เคียงกับความวิกลจริต ผู้อื่นอาจเห็นเพียงพรสวรรค์ของศิษย์น้อง มีแต่มันที่สงสัย เพื่อให้สามารถบรรลุเคล็ดเมฆฝนหล่นขั้นที่สี่ ศิษย์น้องต้องแลกมาด้วยความมานะบากบั่นสักเท่าใด?
การฝึกปรือเวทวิชา ไม่ใช่แค่เพียงพึ่งพาพรสวรรค์เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นแค่ลางสังหรณ์ตามสัญชาตญาณของมัน แม้อยากบอกซือฟู่ แต่เมื่อไร้หลักฐานยืนยัน วาจาก็ไม่ได้มีผลอันใด มันยังกระหายใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง เมื่อศิษย์น้องถูกบีบคั้นจนไร้ทางถอย มันจะสร้างความตื่นตะลึงเช่นไรออกมา? จากข้อเท็จจริงที่ว่าตั้งแต่เหวยเสิ้งกลับมา ก็พบว่าศิษย์น้องปิดด่านกักตนตลอดมา มันทราบว่าศิษย์น้องเอาจริงเอาจังแล้ว
ศิษย์น้องของมันผู้นี้ประหนึ่งน้ำพุอันเรียบเรื่อยเฉื่อยช้า แต่ยิ่งเก็บกักแรงกดดันไว้มากเท่าใด ยามระเบิดออกมายิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ศิษย์น้องที่เอาจริงเอาจัง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจดูแคลน
ทันใดนั้น มันจู่ๆ ก็รู้สึกว่าในการประลองรอบสุดท้ายนี้ มีอีกเรื่องหนึ่งให้มันคอยคาดหวังแล้ว
สังเกตเห็นความฮึกเหิมในดวงตาเหวยเสิ้ง เผยเหยียนหรานเข้าใจว่าเหวยเสิ้งกำลังคิดถึงการประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ อดหวนนึกถึงตอนที่ตัวมันกับศิษย์น้องยังเยาว์วัยไม่ได้ ความโหยหาอันยากบรรยายพลุ่งขึ้นมาครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาสงบตามเดิม ถามอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าตั้งใจเสาะหาผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้?”
เหวยเสิ้งพอฟัง ดวงตาก็สาดประกายแหลมคมดุจกระบี่ แผ่นหลังเหยียดตรงโดยไม่ได้ตั้งใจ กล่าวหนักๆ สามคำ
“กู่หรงผิง!”
ลานน้อยลมตะวันตก
จั่วม่อนั่งอยู่บนพื้น ผมเผ้ายุ่งเหยิง ดวงตาแดงก่ำด้วยเส้นเลือด จ้องเขม็งไปยังบางสิ่งบางอย่างตรงหน้ามัน
“ไม่ถูกต้อง...”
“ยังไม่ถูกต้อง...”
ปากพึมพำกับตัวเองโดยไม่รู้สึกตัว วัตถุดิบมากมายกระจัดกระจายอยู่ตรงหน้า วัตถุดิบเหล่านั้นคล้ายแฝงแรงดึงดูดอันยากจะบ่งบอกบรรยายชนิดหนึ่ง ดึงดูดความสนใจของมันไว้อย่างแน่นหนา
ภายใต้ผมเผ้ารกรุงรัง ดวงตาแดงฉานคู่นั้น แวววาวเป็นประกายเฉลียวฉลาด
“อืม...”
ทันใดนั้น ดวงตามันก็สว่างวาบ!
หลัวหลีนั่งอย่างเงียบงันบนยอดเขา ทอดตามองจันทราสุกสกาว ความคิดจิตใจคล้ายท่องไปในห้วงนภา
“ศิษย์น้อง ยังขุ่นเคืองอยู่อีกหรือไร?” ห่าวหมิ่นเม้มปาก ถามอย่างน่าเวทนา
หลัวหลีไม่หันกลับมา เพียงตอบแผ่วเบา “ศิษย์พี่หญิงล้อเล่นแล้ว หัวใจข้ามีเพียงกระบี่ หาได้มีอารมณ์ใดไม่”
ห่าวหมิ่นลมหายใจขาดห้วง นางไม่ทราบจะกล่าวว่ากระไร หลังจากหลัวหลีถูกจั่วม่อทำร้ายบาดเจ็บสาหัส นางเพียงไปเยี่ยมครั้งเดียว แล้วไม่เคยโผล่หน้าไปอีกเลย แต่ผู้ใดจะคาดคิด หลัวหลีคล้ายผ่านการกำเนิดใหม่ ชุมนุมวิจารณ์กระบี่หนนี้เข่นฆ่าเปิดทางลอยลำเข้าสู่รอบสุดท้าย ตลอดทั้งสำนักกระบี่สุญตาต้องหันมาประเมินมันใหม่อีกครั้ง ห่าวหมิ่นค่อยระลึกถึงความดีของมันในกาลก่อน ปรารถนาจะหวนกลับไปคืนดีอีกครั้ง มิคาดหลัวหลีมองนางประหนึ่งมองคนแปลกหน้าที่ผ่านทางมา
“ศิษย์น้องหลงลืมความรู้สึกของเราในครั้งนั้นหมดสิ้นแล้วจริงๆ?” ห่าวหมิ่นพยายามครั้งสุดท้าย
“ไม่เคยมีความรู้สึกอันใดมาก่อน” หลัวหลีตอบอย่างตรงไปตรงมาและเด็ดขาด ปราศจากเยื่อใยไมตรีโดยสิ้นเชิง “เวลาไม่เช้าแล้ว ศิษย์พี่หญิง เชิญเถอะ”
ฟังวาจานี้ ห่าวหมิ่นร่ำไห้ หมุนตัววิ่งจากไป ภายใต้แสงจันทรา หลัวหลีเริ่มฝึกปรือกระบี่
แสงกระบี่ภายใต้อ้อมกอดของแสงสีเงินยวง คล้ายแฝงเร้นความโศกศัลย์ไว้อย่างเลือนราง
อารามตงฝู เทียนซงจื่อทอดตามองศิษย์รัก ในดวงตาเผยรอยพึงพอใจและปลาบปลื้มประโลมใจ มันกล่าวอย่างอ่อนโยน “การจัดลำดับไม่สำคัญ เป็นเพียงชื่อเสียงอันเลื่อนลอยเท่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความเข้าใจในการต่อสู้กับผู้คนที่แตกต่างกัน รับมือกับฝีมือและเวทวิชาที่แตกต่างกัน การซุ่มจู่โจม การต่อสู้ระยะประชิด ซึ่งต่อไปในอนาคตเจ้าย่อมได้พบพาน จงศึกษาจากการประลองครั้งนี้ให้ดี”
“ศิษย์ทราบแล้วท่านอจารย์” หวีป๋ายประสานมือ ค้อมศีรษะ ตอบอย่างนอบน้อม
“เจ้ามีคู่ต่อสู้ที่คาดหวังไว้หรือไม่?” เทียนซงจื่อถาม
“ศิษย์อยากประมือกับจงหมิงเอี้ยน”
เทียนซงจื่อขมวดคิ้วฉับ กล่าวเสียงต่ำอย่างขุ่นข้อง “นี่ไม่ใช่การประลองฝีมือ มันคือการต่อสู้ มันเป็นสงคราม!”
หวีป๋ายไม่ทราบว่าไฉนซือฟู่จู่ๆ ก็มีโทสะ ได้แต่รับคำอย่างตื่นตระหนกอยู่บ้าง “ศิษย์ทราบแล้ว”
เทียนซงจื่อโบกมือ “ไปเตรียมตัวให้ดี จงหมิงเอี้ยนได้รับการฝึกอบรมอย่างจริงจังจากจั่วเหมยเทียน ย่อมไม่อ่อนแอไปกว่าเจ้า”
“ขอรับ” หวีป๋ายลังเลแวบหนึ่ง ก่อนหลบออกไป
ทอดตามองตามศิษย์รักของมัน เทียนซงจื่อพลันถอนหายใจอย่างเงียบงัน ความกังวลอันลึกล้ำฉายชัดในดวงตา
พรรคอัจฉริยะปราณ
ประมุขพรรคมองฉางเหิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า รู้สึกขุ่นข้องอยู่บ้าง ฉางเหิงนิสัยใจคอกระด้างเย็นชาเหลือรับ มองท่ายืนอันหยาบกระด้างของมัน ไม่มีท่าทีเคารพอ่อนน้อมแม้แต่น้อย ประมุขพรรคความไม่ชมชอบในใจยิ่งรุนแรงกว่าเดิม
ฉางเหิงอาจเป็นศิษย์ที่เด่นล้ำที่สุดของพรรคอัจฉริยะปราณ แต่มันไม่เคยเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของเหล่าผู้อาวุโส
“ฮึ่ม ฉางเหิง หากเจ้าพบจั่วม่อของสำนักกระบี่สุญตา อย่าได้ปล่อยให้มันหลุดรอดไป” ประมุขพรรคอัจฉริยะปราณสั่งการอย่างจงเกลียดจงชัง “เดรัจฉานน้อยผู้นี้ทำให้พรรคเราเสื่อมเสียหน้าหลายครั้งหลายครา ต้องจัดการมันให้สาสม!”
ฉางเหิงไม่มีปฏิกิริยา ดวงตามันครึ่งหลับครึ่งลืม มันถึงกับยืนหลับกลางห้องโถงใหญ่จริงๆ
เห็นท่าทีเช่นนี้ของฉางเหิง ประมุขพรรคพิโรธโกรธกริ้วกว่าเดิม สุ้มเสียงดังสะท้าน “ฉางเหิง! ได้ยินวาจาข้าหรือไม่?”
ฉางเหิงค่อยๆ ลืมตา เหลือบมองประมุขพรรค กล่าวลอยๆ ว่า “พิรี้พิไรมากความอันใด! พบใครก็สู้กับคนนั้น มีปัญหาหรือไม่”
กล่าวจบคำ มันไม่ใส่ใจบรรดาศิษย์ที่พากันตัวแข็งเป็นหิน กับประมุขพรรคที่ตวาดดังสนั่นปานฟ้าร้อง เดินจากมาตามอำเภอใจ
ในเวลาเดียวกัน ในมุมมืดแห่งหนึ่งในตงฝู ซิวเจ่อผู้หนึ่งดวงตาทอประกายละโมบ มองถุงเงินใบโตที่คนปกปิดใบหน้าในเงามืดยื่นออกมา
“ฆ่าจั่วม่อให้แก่ข้า!” คนในเงามืดกระชากเสียงอย่างเคียดแค้น