TWO Chapter 223 กำลังเสริม
TWO Chapter 223 กำลังเสริม
เสียงฝีเท้าของม้าได้ทำลายรุ่งเช้าอันเงียบสงบของเมืองซานไห่ ทหารม้า 2 นาย วิ่งมาตามถนนพาณิชย์ และเมื่อพวกเขามาถึงประตูเต่าดำ พวกเขาก็ตะโกนว่า “เปิดประตู มีเรื่องเร่งเดือนเกี่ยวกับการทหาร!”
ทหารที่เฝ้าประตูเต่าดำก็เป็นสมาชิกของกองพันป้องกันเมืองเช่นกัน เมื่อพวกเขาเห็นว่าทหารทั้ง 2 นาย เป็นสมาชิกของกองพันป้องกันเมืองที่เฝ้าอยู่ประตูด้านทิศเหนือ พวกเขาก็รีบเปิดประตูในทันที
หลังจากเข้ามาในประตูเต่าดำ ทหารม้าทั้ง 2 ก็แยกตัวออกจากกัน คนหนึ่งรีบวิ่งไปที่ค่ายทหาร และอีกคนรีบวิ่งไปที่คฤหาสน์ของลอร์ด “เปิดประตูเร็วเข้า!”
ทหารองครักษ์เปิดประตูคฤหาสน์ แล้วถามว่า “ใครเคาะ?”
“รีบพาข้าไปพบท่านลอร์ดเร็วเข้า มีเรื่องเร่งด่วนทางทหาร!” ทหารม้ารีบกล่าวออกไปอย่างกังวล ทหารองครักษ์ไม่กล้าที่จะชักช้า เขาขอให้ทหารม้ารออยู่ที่ด้านนอกก่อน ส่วนตัวเขารีบวิ่งไปที่ส่วนหลังของคฤหาสน์ของลอร์ดในทันที
เมื่อโอหยางโชวได้รับแจ้ง เขาก็รีบมาที่ห้องโถงประชุมในทันที
“เรียนท่านลอร์ด ค่ายทิศตะวันตกได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือมาขอรับ!”
โอหยางโชวรู้สึกประหลาดใจและแย่ เขาไม่ได้คิดอะไรมากนัก และออกคำสั่งออกไปในทันที “สั่งให้สมาชิกของกองพันป้องกันเมืองทั้งหมด ไปประจำตำแหน่งของพวกเขา, สั่งให้กองพันทหารเรือที่ 1 เดินทางมาที่นี่ในทันที และประกาศออกไป ดินแดนจะเข้าสู่ภาวะแจ้งเตือนระดับ 2”
“ขอรับ!”
ในเวลาเดียวกัน ทหารองครักษ์ที่อาคารหวู่หยิงก็เริ่มตื่นตัว นายพันหวังเฟิงรีบสวมชุดเกราะของเขา แล้ววิ่งเข้ามาในห้องโถงประชุม โอหยางโชวไม่ได้จู้จี้ และออกคำสั่งเขาในทันที “รวบรวมกองกำลังของเจ้า แล้วติดตามข้าไปช่วยค่ายทิศตะวันตก”
“ขอรับ!”
โอหยางโชวกลับไปที่อาคารหลัก และรีบสวมชุดเกราะหมิงกวงของเขา เขาถือหอกเหล็กออกมา แล้วกลับมายังส่วนหน้าในทันที ที่อาคารหวู่หยิง ทหารองครักษ์ทั้งหมดได้เตรียมพร้อมแล้ว
ก่อนที่เขาจะออกไป เจ้ากรมกิจการทหารเก่อหงเหลียงได้วิ่งเข้ามาหาโอหยางโชว ที่ได้ขึ้นไปนั่งบนหลังม้าศึกฉิงฟู่แล้ว เขารีบสั่งการในทันที “เจ้ากรมเก่อ ท่านอยู่ดูแลเมืองหลัก สั่งการให้ค่ายทิศเหนือ, ค่ายทิศตะวันตก และกองทัพเรือเป่ยไห่ เตรียมพร้อมสำหรับการสนับสนุนค่ายทิศตะวันตก” เนื่องจากเขายังไม่มีข้อมูลของศัตรู โอหยางโชวจึงยังไม่กล้าโยกย้ายทหารทั้งหมดในทันที
“ขอรับ!”
โอหยางโชวหยุดลังเลและตะโกนออกไป “ไปเร็ว!”
ค่ายทิศตะวันตกอยู่ห่างจากเมืองซานไห่ออกไปถึง 60 กิโลเมตร โอหยางโชวไม่กล้าล่าช้า และสั่งให้ทหารองครักษ์รีบวิ่งไปที่นั่นทันที พวกเขาทานอาหารเช้าบนหลังม้า เพื่อที่จะไปให้ถึงค่ายทิศตะวันตกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ณ ค่ายทิศตะวันตก
เนื่องจากภายในค่ายมีพื้นที่จำกัด ซาโพจุ่นที่มีความได้เปรียบเรื่องจำนวนจึงไม่ต้องการสู้รบภายในค่ายของศัตรู เขาสั่งให้กองกำลังของเขารวมกลุ่มกัน และล่าถอยออกจากค่าย
ขุนพลซีกำลังยุ่งอยู่กับการรวบรวมผู้บาดเจ็บ ทั้ง 2 ฝ่ายจึงมีระยะห่างกันไปโดยปริยาย หลังจากศัตรูล่าถอยไปแล้ว กรมทหารที่ 1 ก็ตั้งขบวนทัพได้
“ท่านขุนพล เราควรทำเช่นไรต่อไป?” ซีฮูถาม
นายพันคนอื่นๆมองมาที่ขุนพลซีเพื่อฟังแผนการของเขา
ขุนพลซียังคงเงียบ เขากำลังวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใจเย็น “ศัตรูมีจำนวนเป็น 2 เท่าของพวกเรา ดังนั้น เราทำได้เพียงเตรียมการป้องกันและรอกำลังเสริมเท่านั้น”
นายพันแห่งกองพันที่ 4 เจ้าหยุน กล่าวว่า “ท่านขุนพล ข้าได้วิเคราะห์จากการต่อสู้แล้ว แม้ว่าพวกเขาจะมีเป็นจำนวนมาก แต่พวกเขากลับไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก เมืองหลักอยู่ห่างจากที่นี่ถึง 60 กิโลเมตร และข้ากังวลว่า กว่าพวกเขาจะมาถึง ศัตรูจะต้องเผาค่ายของเราก่อนแน่ ทำไมเราไม่คิดที่จะโจมตีเพื่อเป็นการป้องกันล่ะ?” แม้ว่าทหารของกรมทหารที่ 1 จะไม่ใช่ทหารชั้นสูงที่สุดของกองทัพ แต่ทหารเหล่านี้ก็ได้รับการฝึกฝนโดยขุนพลซี ดังนั้น อำนาจในการต่อสู้ของพวกเขา จึงไม่ใช่อะไรที่กองกำลังของซาโพจุ่นจะเทียบได้
สิ่งที่เจ้าหยุนเห็น ขุนพลซีก็เห็นด้วยเช่นกัน จากความแข็งแกร่งของศัตรู พวกเขามีโอกาสที่จะเอาชนะได้ แต่เขาก็ยังคงกังวลในเรื่องของจำนวน ซึ่งมันจะส่งผลกระทบให้เกิดความสูญเสียอย่างมาก
“ท่านขุนพล ปล่อยให้พวกเราได้สู้เถอะ! การสู้รบก่อนหน้านี้น่าอัปยศเกินไป พวกเขาระรานพวกเราในบ้านของพวกเรา เนื่องจากขวัญกำลังใจของพวกเราสูงมาก เราสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ การป้องกันมีแต่จะทำให้ขวัญกำลังใจของพวกเราลดลง ข้าเกรงว่ามันจะไม่เหมาะสมที่จะใช้กลยุทธ์นั้นในระยะยาว” นายพันแห่งกองพันที่ 3 หลี่หมิงเหลียง สนับสนุนและแนะนำให้ต่อสู้
ขุนพลซีแข็งค้าง ขณะที่เขามองไปที่นายพันทั้ง 5 ดวงตาของพวกเขาเปล่งประกาย ด้วยความกระหายจะต่อสู้ และกำลังรอคำสั่งของขุนพลซีอยู่
ในทีสุดขุนพลซีก็ตัดสินใจ “ตกลง ไปตัดหัวพวกมันกัน เราไม่สามารถสูญเสียศักดิศรีของทหารเมืองซานไห่ได้ เราต้องทำให้พวกมันเห็นว่า ทหารที่แท้จริงเป็นเช่นไร”
“ขอรับ!” นายทหารทุกนายตอบกลับ
ทหารของกรมทหารที่ 1 เดินออกจากค่ายอย่างเป็นระเบียบ แล้วมาตั้งแถวที่ด้านหน้าค่าย กองพันที่ 5 ซึ่งเป็นกองพันธนูอยู่ด้านหน้า เพื่อรับผิดชอบในการโจมตีระยะไกลของพวกเขา ด้านหลังของทหารธนูเป็นกองพันที่ 1 และ 2 ปีกซ้ายเป็นกองพันที่ 3 ซึ่งเป็นทหารม้า และปีกขวาเป็นกองพันที่ 4 ซึ่งเป็นทหารหอก
เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น ทั้ง 2 ฝ่ายไม่ลังเลและเริ่มเปิดฉากการโจมตีในทันที
กรมทหารที่ 1 หันหลังให้กับค่ายของพวกเข้า พวกเขาเลือกที่จะเริ่มก่อน เมื่อศัตรูเข้าสู้ระยะยิง กองพันที่ 5 ก็ยิงฝนลูกศรใส่ศัตรูในทันที
กลยุทธ์ของซาโพจุ่นคือ ใช้ทหารม้าไปทำลายกรมขบวนทหารที่ 1 ในขณะที่ทหารโล่กระบี่ จะเข้าไปปะทะหลังจากนั้น และทหารธนูก็จะคอยโจมตีจากด้านหลัง
ทหารม้าวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว กองพันที่ 5 ได้ยิงฝนลูกศรไปเพียง 2 รอบเท่านั้น ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มหลบออกไปด้านข้าง แล้วมารวมตัวกันที่ด้านหลังอีกครั้ง กองพันที่ 1 และ 2 ยกโล่ของพวกเขาขึ้นมา เพื่อรับการปะทะจากทหารม้า
นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างโล่และหอก
กองทหารม้าพุ่งเข้ามาเหมือนเป็นน้ำท่วม กระแทกไปที่ด้านหน้าของพวกเขา เหล่าทหารราบเกราะหนักที่เป็นนักรบคนเถื่อนภูเขา สามารถมองเห็นไอน้ำสีขาวที่ออกมาจากจมูกของม้าศึกได้อย่างชัดเจน ทหารม้ายกหอกของพวกเขาขึ้น ปลายหอกสะท้อนแสงแวววับ ขณะที่พวกเขาเลือกที่จะกัดฟันและพุ่งเข้ามา
ซีฮูและซีเปาที่เป็นนายพัน ยืนอยู่ด้านหน้าของกองกำลัง และตะโกนออกไปว่า “กัน!”
“เฮ!!!” เหล่านักรบคนเถื่อนภูเขาชั้นสูงตะโกนออกมาตามลำดับ พวกเขาใช้โล่ของพวกเขารับแรงกระแทกจากทหารม้า ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ฟันด้วยกระบี่ถังที่อยู่ในมือซ้ายของพวกเขา ไปที่ขาซึ่งเป็นจุดอ่อนของม้า
มันราวกับว่าเหล่าทหารม้าได้ปะทะกับกำแพงเหล็ก หลังจากที่ทะลวงผ่านชั้นแรก ก็ทะลวงผ่านชั้น 2 และมาที่ชั้น 3 ด้วยแรงกระแทก บรรดาทหารที่ถูกกระแทกก็ถูกบังคับให้กระเด็นออกมา โล่ของพวกเขาพังลง และชุดเกราะของพวกเขาถูกบด พวกเขาล้มลงกับพื้นและถูกม้าศึกเหยียบย่ำ ทำให้ร่างของพวกเขากลายเป็นเนื้อบด เลือดของพวกเขาค่อยๆย้อมชุดเกราะปูเหรินและซึมลงสู่พื้นดิน หอกยาวที่มาพร้อมกังแรงส่งก็เสียบทะลุชุดเกราะปูเหริน และสังหารพวกเขาไปในที่สุด
เมื่อมาถึงชั้น 3 ทหารม้าก็ไม่สามรถทะลวงได้ต่อไปได้ เมื่อไม่มีแรงส่ง พวกเขาก็เดินหน้าต่อไปไม่ได้อีก
เหล่าทหารราบเกราะหนักเริ่มล้อมรอบทหารม้าของศัตรู พวกเขาก้าวไปเหยียบศพของเพื่อนพวกเขา ด้วยไฟแห่งความแค้น พวกเขาเหวี่ยงอาวุธของพวกเขา ลากทหารม้าลงมาสู่พื้นดิน ก่อนที่ทหารเหล่านั้นจะทันได้ลุกขึ้น พวกเขาก็ถูกสังหารด้วยฝีมือทหารราบเกราะหนักเรียบร้อยแล้ว
ด้วยการเปลี่ยนตำแหน่งจากการป้องกันไปเป็นการโจมตี เมื่อทหารม้าไม่สามารถทะลวงต่อไปได้ มันก็กลายเป็นการสังหารย้อนกลับในทันที
ทหารม้าพยายามที่จะใช้หอกของพวกเขาตอบโต้ แต่น่าเสียดายที่มันไร้ประโยชน์ เมื่อไม่มีแรงส่งจากการพุ่งเข้ามา และด้วยการป้องกันที่สูงของชุดเกราะปูเหริน หอกจึงไม่สามารถจะแทงทะลุมันได้
เมื่อกองพันทหารราบเกราะหนักทั้ง 2 หยุดทหารม้าของศัตรูได้ หลี่หมิงเหลียงที่เป็นนายพันกองพันที่ 3 ก็เคลื่อนไหว เขาชักกระบี่ถังออกมา เหวี่ยงมันไปข้างหน้า แล้วตะโกนว่า “ทหารม้าบุก!”
“ฆ่า!” กระบี่ถังจำนวนมากถูกชักออกมา ซึ่งมันเต็มไปด้วยออร่าแห่งการฆ่าฟันที่แข็งแกร่ง
กองพันทหารม้าบุกจากทางซ้าย ทันใดนั้นพวกเขาก็ผ่านทหารโล่กระบี่ของศัตรู แล้วพุ่งไปโจมตีแนวหลังของพวกขเาที่เป็นทหารธนู ทหารธนูทำได้เพียงยิงธนูเพื่อป้องกัน ก่อนที่พวกเขาจะถูกทหารม้าสังหารอย่างง่ายดาย พวกเขาสวมเพียงชุดเกราะหนังแบบง่ายๆ แล้วมันจะป้องกันพวกเขาจากการโจมตีของกองพันทหารม้าได้อย่างไร?
กองพันที่ 3 สังหารทหารธนูของศัตรูรอบๆแนวหลังของพวกเขา กระบี่ของพวกเขาเต็มไปด้วยความกระหายเลือด ขณะที่แสงสะท้อนออกมาจากตัวกระบี่ หัวของมนุษย์ที่เคยเป็นทหารธนูก็หล่นลงสู่พื้นดิน พื้นที่ที่ทหารธนูอยู่ราวกับเป็นนรกของมนุษย์ เสียงกรีดร้องของศัตรูไม่ค่อยจะมีให้ได้ยินมากนัก เพราะพวกเขาสังหารศัตรูได้ในดาบเดียว กองพันทหารม้าเป็นเหมือนเครื่องจักรสังหารที่มีประสิทธิภาพสูงและไร้ปราณี หัวของศัตรูเกลื่อนกลาดเต็มไปทั่วพื้นที่ หลังจากถูกบดขยี้โดยม้าศึก ศพของพวกเขาก็กลายเป็นเนื้อบดและจมลงไปในพื้นดิน เลือดและโคลนผสมปนเปเข้าด้วยกัน จนไม่สามารถแยกความแตกต่างของทั้ง 2 ได้
เมื่อทหารธนูถูกลอบโจมตี มันก็ทำให้ซาโพจุ่นหมดหนทาง เขาสั่งให้ทหารโล่กระบี่บางส่วนไปช่วยทหารธนูที่กำลังถูกทหารม้าสังหารอยู่ที่แนวหลัง
ถ้ามีใครบอกว่ากองพันทหารม้านี้เป็นเหมือนมีดที่ครบกริบ ทหารโล่กระบี่อยู่อยู่ด้านหลังพวกเขาก็คงเป็นเพียงมีดปอกผลไม้ พวกเขาดูง่ายๆ แต่ความสามารถในการฆ่าของพวกเขาเป็นสิ่งที่น่าตกใจมาก พวกเขาฉวยโอกาสในขณะที่กองพันทหารราบเกราะหนักถูกโจมตีโดยทหารม้าของศัตรู
เดิมทีมันถือเป็นโอกาสที่ดี ถ้ามีใครซักคนบัญชาการได้อย่างถูกต้อง มีโอกาสที่พวกเขาจะสามารถกวาดล้างกองพันที่ 1 และ 2 ได้ แต่น่าเสียดาย การโจมตีของกองพันที่ 3 ซึ่งเป็นหทารม้า ได้บังคับให้กองกำลังของพวกเขาส่วนหนึ่งต้องล่าถอย ในขณะที่กองพันที่ 4 ซึ่งยังไม่ได้ทำอะไรก็เข้าไปปะทะกับทหารโล่กระบี่ของศัตรูที่อยู่ด้านหน้า เพื่อซื้อเวลาใหักับกองพันที่ 1 และ 2
ในทางกลับกัน ถ้ากองพันที่ 3 ที่กำลังสังหารทหารธนู เลือกที่จะโจมีตีทหารโล่กระบี่แทนทหารธนู มันก็อาจจะเป็นจุดสิ้นสุดสำหรับพวกเขา
เสียงตะโกนแห่งการฆ่าฟันกระจายไปทั่งทั้งท้องฟ้า ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนั้นเอง ขุนพลซีก็หยิบอาวุธและออกไปต่อสู้ด้วยตัวเอง เพื่อซื้อเวลาในกับกองพันทหารราบเกราะหนักให้มากที่สุด
ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงของกีบม้าดังขึ้น ธงที่ปลิวไสวไปในอากาศ มันเป็นมังกรทองที่หันหน้าไปทางพระอาทิตย์ ที่ส่องแสงสว่างสดใสออกมา
แฟนเพจ : TWOแปลไทย