บทที่ 37: หวนคืนสู่นิกาย
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ก่อนใครได้ที่แฟนเพจ
====================
บทที่ 37: หวนคืนสู่นิกาย
หลังได้รับฟังคำกล่าวของเจ้าอ้วน หานหลิงเฟิงและเจ้าลิงดวงตาสดใสเป็นประกายออกมา พวกเขาตระหนักได้ทันทีว่าถ้อยคำของเจ้าอ้วนเต็มไปด้วยความฉลาด เนื่องจากจุดสำคัญในตอนนี้ไม่ใช่หินจิตวิญญาณ แล้วเหตุใดจึงไม่ใช้ประโยชน์จากเหมืองขนาดใหญ่เช่นนี้กัน? ด้วยความร่วมมือดังกล่าว แน่นอนว่าผลตอบแทนที่นิกายจะมอบให้มันคุ้มค่า บุคคลที่มีคุณธรรมแน่นอนว่านิกายจะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ อย่างน้อยก็มิต้องกังวลว่าจะถูกผู้ใดข่มเหงอีก
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แม้ว่าสำนักเสวียนเทียนจะได้ชื่อว่าเป็นนิกายที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม แต่ทว่าเหล่าศิษย์ระดับล่างก็ยังคงถูกฆ่าตายเป็นการลับอยู่เสมอ ต่างกับเหล่าศิษย์ระดับสูงที่ได้อยู่ท่ามกลางผู้ที่เต็มไปด้วยทักษะชั้นยอด ทั้งการฝึกตนนั้นมีความสำคัญอย่างมาก พวกเขาฝึกฝนทั้งร่างกายและจิตใจ ผู้ที่มีหัวใจคล้อยตามกฏแห่งสวรรค์เท่านั้นที่จะบรรลุสัจธรรมแห่งเต๋า
ดังนั้น เหล่าศิษย์ทั้งหลายจึงมุ่งมั่นที่จะแสดงความสามารถเรียกร้องความสนใจจากบุคคลระดับสูงเหล่านั้น เขาจะได้รับการดูแลและปกป้องอย่างดี ก่อนหน้านี้มีเหตุการณ์ที่คล้ายกันคือศิษย์นอกได้ค้นพบสมบัติมหาศาลโดยบังเอิญ เขาจึงเสนอมันให้กับนิกาย ทันทีที่เขาได้เลื่อนเข้าเป็นศิษย์ใน เขาได้รับหินจิตวิญญาณจำนวนมากพร้อมกับอุปกรณ์วิญาณ และที่สำคัญ หลังจากได้รับสมบัติแล้วมิต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยอีกต่อไป เพราะเมื่อใดที่เบื้องบนให้ความสนใจแล้ว จะไม่มีผู้ใดหาญกล้ามาข่มเหง
เช่นกัน เจ้าอ้วนแนะนำวิธีนี้ เมื่อหานหลิงเฟิงและเจ้าลิงฟังแล้วจึงครุ่นคิดพร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อตกลงนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นจากนี้ช่างง่ายดาย หลังจากทั้งสามคนตกลงกันเสร็จสิ้นจึงกลับออกมาจากเทือกเขาอีกาโลหิต แม้ว่าพวกเขาจะถือครองดอกบัวแห่งองค์ประกอบทั้งห้าอยู่ แต่ก็มิได้หมายความว่าจำเป็นจะต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดแผนใหม่ขึ้นมาก็คือลงไปเดินใต้น้ำ แม้ว่าปล่องภูเขาไฟที่ยืนอยู่นี้จะไม่ลึกมากนัก แต่มันก็เพียงพอที่คนทั้งสามจะใช้เดินทาง
แน่นอนว่าแม่น้ำเพียงแค่นี้ไม่อาจขวางกั้นเหล่าอีกาได้ ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงต้องใช้ระฆังเหล็กดำในการป้องกันจากด้านบน เมื่อระฆังปรากฏขึ้น มันดึงดูดความสนใจของเหล่าอีกาทันที ความจำของมันนับว่าเหลือล้น พวกมันยังคงจำได้ว่าในการต่อสู้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมามีเจ้าระฆังนี้อยู่ด้วย เมื่อเห็นระฆังอีกครั้งพวกมันจึงเข้ามาปิดล้อมโดยทันที พวกมันกรีดร้องพร้อมกับพุ่งเข้าโจมตีระฆังเหล็กดำ แต่น่าเสียดายที่การโจมตีของพวกมันอ่อนแอเกินไป ไม่ว่าจะปีกหรือกรงเล็บก็ไม่สามารถทะลวงการป้องกันของระฆังเหล็กดำได้เลย ทว่า พวกมันสามารถเข้าจากด้านล่างของระฆังได้ แต่โชคไม่เข้าข้างเนื่องจากพวกมันอยู่ในตระกูลสัตว์ปีก อีกาโลหิตไม่สามารถว่ายน้ำได้!
เมื่อสถานการณ์กำลังเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะมีอีกามากสักเพียงใดก็ไม่สามารถสร้างอันตรายกับพวกเขาทั้งสามได้ แต่อีกายังคงมีความเกรี้ยวกราดและพยายามอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งสามคนไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรกับพวกมันจึงได้แต่เดินต่อไปในแม่น้ำนี้เรื่อย ๆ หลังจากเดินทางมาหนึ่งพันลี้และออกห่างจากเทือกเขาอีกาโลหิตไม่กี่ร้อยลี้ อีกาเหล่านั้นจึงยอมแพ้ไป
การเดินทางพันกว่าลี้ หากใช้ดาบบินตามปกติจะใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง แต่เนื่องจากพวกเขาเดินใต้น้ำจึงเสียเวลาไปทั้งหมดห้าวัน กล่าวอีกอย่างคือทั้งสามจมน้ำอยู่ห้าวันเพื่อหลบหนี
หากพวกเขาไม่มีบ่อน้ำองค์ประกอบทั้งห้าไว้ฟื้นฟูปราณจิตวิญญาณ เจ้าอ้วนคงไม่สามารถควบคุมเจ้าระฆังให้ลอยอยู่เหนือศีรษะได้นานเช่นนี้ มูลค่าของการหลบหนีในคราวนี้ทัดเทียมกับหินจิตวิญญาณหลายหมื่นก้อน อาจมองได้ว่าการกระทำเช่นนี้ของพวกเขาสิ้นเปลืองอย่างยิ่ง
แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็รักษาชีวิตน้อย ๆ นี้ไว้ได้ ทั้งสามที่เหมือนกับได้โชคลาภก้อนใหญ่ในตอนนี้ไม่ได้สนใจมูลค่าของหินจิตวิญญาณที่สูญเสียไปแม้แต่น้อย
หลังจากที่อีกาโลหิตรามือไป ทั้งสามคนก็ขึ้นจากแม่น้ำ พวกเขาพักผ่อนกันหนึ่งวันก่อนจะมุ่งหน้ากลับสำนักเสวียนเทียน
สองวันต่อมา ทั้งสามได้กลับมาถึงสำนักเสวียนเทียน หานหลิงเฟิงพาพวกเขาไปพบอาวุโสระดับสูงที่นางรู้จัก พวกเขาบอกเล่าเรื่องราวเพียงเล็กน้อยว่าพวกเขาทั้งห้าไปค้นหาหญ้าจิตวิญญาณจันทราและการกระทำบางอย่างจนไปกระตุ้นเหล่าอีกาโลหิตโดยบังเอิญ ท้ายที่สุดพวกเขาแยกทางกันหนีเพราะหากอยู่รวมกันคงจะตายตกไปทั้งหมด กู่หลงและซวนอวี๋หายตัวไป เขาทั้งสามหนีเข้าไปในถ้ำและพบว่ามันคือเหมืองหินจิตวิญญาณ หลังจากอยู่ตรงนั้นเพียงไม่กี่วันพวกเขาก็หนีมาโดยผ่านการเดินทางใต้น้ำอย่างยากลำบาก
แม้ว่าเรื่องราวทั้งหมดจะไม่ได้สอดคล้องกันเท่าไหร่นัก แต่มันสามารถรับฟังได้อยู่ ประเด็นสำคัญคือกู่หลงและซวนอวี๋เสียชีวิตโดยอีกาโลหิตเพราะมีซากศพของพวกเขาอยู่ที่นั่น และไม่มีผู้ใดเป็นปากเสียงให้กับบุคคลที่ตายแล้ว นอกจากนี้อาวุโสระดับสูงจะไม่สนใจในสิ่งนั้นเท่าไหร่นัก พวกเขามุ่งเน้นไปที่การสนใจเหมืองหินจิตวิญญาณมากกว่า
หลังจากที่ทั้งสามได้นำเสนอเหมืองหินจิตวิญญาณ ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งพร้อมกับรีบรายงานทันที ซึ่งอีกไม่นานอาวุโสระดับสูงคนอื่นคงจะทราบเรื่อง
เรื่องนี้ได้รับความสนใจโดยไม่แบ่งชนชั้นในหมู่อาวุโสระดับสูง เนื่องจากทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของนิกาย พวกเขาตื่นเต้นจนไม่สามารถรอจนรุ่งสางได้ จึงส่งผู้ฝึกตนระดับจินตันไปสำรวจในตอนกลางคืน พวกเขานำพาผู้ฝึกตนสายสัตว์อสูรไปด้วยจำนวนหลายร้อย พวกเขาออกบินไปพร้อมกับจนเกิดภาพอันงดงาม
ตัวตนของเหมืองถูกยืนยันอย่างรวดเร็ว ทว่าข้อมูลเหล่านี้ถูกปกปิด มีเพียงไม่กี่คนที่ได้ทราบเรื่องและไม่อนุญาตให้แพร่กระจ่ายข่าวนี้ออกไป เรื่องราวทั้งหมดถูกเก็บเงียบอยู่ในสำนักเสวียนเทียน มันคงไม่เป็นการดีหากว่าถูกแพร่งพรายออกไปให้สำนักอื่นรับรู้ แม้ว่าสำนักเสวียนเทียนจะแข็งแกร่งมา กแต่ทว่าสุนัขชั้นดีมิอาจป้องกันหมาป่าที่มากมายได้ ภายในเทือกเขาแห่งนี้มากกว่าพันนิกายที่เข้าร่วมลัทธิเต๋า นอกจากนี้ยังมีเจ็ดถึงแปดนิกายที่มีความแข็งแกร่งทัดเทียมสำนักเสวียนเทียน!
ในวันถัดมา มีข่าวที่น่าตกใจในบรรดาศิษย์นอกแพร่กระจายไปทั่วทั้งสำนัก หนึ่งคือหานหลิงเฟิงอยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นเจ็ดได้รับการแต่งตั้งเข้าสู่ศิษย์ใน นอกจากนี้ยังได้ผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันคอยดูแลพร้อมรับรองการเข้าเป็นศิษย์อย่างไม่เป็นทางการ เพียงแค่รอให้นางก้าวขึ้นสู่ระดับปฐมภูมิ เมื่อนั้นนางจึงจะได้เป็นศิษย์ในอย่างเป็นทางการ และของขวัญที่นางได้รับคราวนี้คืออุปกรณ์วิญญาณประเภทอัคคีวารี!
ที่จำได้คือหานหลิงเฟิงมิได้ครอบครองอุปกรณ์วิญญาณ นางมีเพียงอุปกรณ์วิเศษระดับสามเท่านั้น ซึ่งมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง! อุปกรณ์วิเศษคือสิ่งประดิษฐ์ที่เหล่าผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมินิยมใช้กัน แต่ทว่า อุปกรณ์วิญญาณถูกสร้างด้วยการกลั่นจากอัคคีลึกลับของผู้เชี่ยวชาญระดับจินตัน แม้แต่อุปกรณ์วิญญาณระดับต่ำยังมีมูลค่ามากกว่าอุปกรณ์วิเศษระดับสูง!
ในสถานการณ์ปกติ ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิเท่านั้นที่จะได้รับอุปกรณ์วิญญาณ แต่สำหรับหานหลิงเฟิง นางได้รับมันทั้งที่อยู่ระดับเซียนเทียน เหตุการณ์เช่นนี้มักเกิดขึ้นกับเหล่าลูกผู้ฝึกตนในตระกูลขุนนางเท่านั้น และวงล้อคู่อัคคีวารีนี้มีมูลค่ามากกว่าหินจิตวิญญาณนับล้านก้อน ความแข็งแกร่งของหานหลิงเฟิงถูกยกระดับแบบก้าวกระโดด ในตอนนี้นางสามารถท้าทายผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิได้แล้ว
แน่นอนว่าผู้ฝึกตนระดับจินตันไม่คิดประกาศเรื่องการส่งมอบของขวัญให้ศิษย์อย่างไม่เป็นทางการผู้นี้ออกไป แต่หานหลิงเฟิงได้ทำเป็นว่าได้รับสิ่งนี้จากนิกาย อีกทั้งหานหลิงเฟิงยังได้รับรางวัลอื่นอีก ซึ่งก็คือการที่นางสามารถเข้าใช้ห้องโถงอัคคีและห้องโถงวารีได้นานนับสิบปี นับได้ว่าเป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่ การที่ศิษย์ทั่วไปจะเข้าไปใช้งานได้ มันก็ต้องจ่ายซึ่งหินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งร้อยก้อนต่อวัน! แต่หานหลิงเฟิงสามารถเข้าใช้งานได้ตามต้องการเป็นระยะเวลายาวนานถึงสิบปี มูลค่าของมันทัดเทียมได้กับหินจิตวิญญาณนับแสนก้อน!