ตอนที่แล้วบทที่ 132 รักษาอาการบาดเจ็บ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 134 ก่อนพายุโหม

บทที่ 133 เผยเหยียนหรานบันดาลโทสะ  


 

“มันกำลังจะรุดหน้าอีกแล้ว?” หยานเล่อตะลึงมองจั่วม่อที่นั่งอยู่ในถัง จากนั้นเอียงคอพึมพำกับตัวเองอย่างมึนงง “หืมม์ ไฉนข้ากล่าวว่า ‘อีกแล้ว’?”

ไม่มีผู้ใดสนใจมัน ทุกผู้คนจ้องมองจั่วม่อด้วยสีหน้าหนักอึ้ง

แสงสีทองบนใบหน้าจั่วม่อสว่างไสวขึ้นทุกขณะ ชั้นแสงสีทองกระเพื่อมเป็นระลอกคล้ายชั้นคลื่น ผมเผ้าของมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทอง เริ่มจากรากผมขึ้นมา ร่างกายสั่นระริก ราวกับว่าประสบกับความเจ็บปวดอย่างรุนแรง สือฟ่งหรงความขุ่นข้องหมองใจบนใบหน้าหายวับไป สิ่งที่เข้ามาแทนเป็นความห่วงใยกังวล

“ในวัชรสูตรน้อย ขั้นต่อไปหลังจากอาภรณ์ร่างทองคืออะไร?” เผยเหยียนหรานถามอย่างกะทันหัน

ซินหยานตอบอย่างรวบรัด ดุจวาจาของมันมีค่าดั่งทองคำ “วงจรสัตตบงกชทองคำ”

“วิชาเสริมสร้างสังขาร...” เผยเหยียนหรานคล้ายฉุกคิดเรื่องราวบางอย่าง “ขั้นใดที่สามารถก่อกำเนิดรูปแบบอภิญญาตามธรรมชาติ?”

“ห้า” ซินหยานตอบ

“ที่แท้เป็นขั้นที่ห้า” เผยเหยียนหรานผงกศีรษะ บ่งบอกความเข้าใจอย่างชัดเจน

“ด้วยระดับความเร็วในการรุดหน้ามัน ข้าว่าการบรรลุขั้นที่ห้าก็คงอีกไม่ไกล” หยานเล่อกล่าวแทรก “ข้าอยากรู้จริงๆ หากเจ้าเด็กเหลือขอนี้บรรลุขั้นที่ห้า มันจะก่อกำเนิดอภิญญาชนิดใดขึ้นมา”

คนอื่นๆ ไม่ได้กล่าววาจา สำหรับวิชาเสริมสร้างสังขาร ในหมู่พวกมันไม่มีผู้ใดคุ้นเคย

แดนคุนหลุนเป็นอาณาจักรแห่งเซียนกระบี่ เซียนกระบี่เพียงฝึกปรือกระบี่ ไม่ถามไถ่เรื่องราวอื่นใด ส่วนผู้คนที่แตกฉานวิชาเสริมสร้างสังขารคือเหล่าเซียนวรยุทธ์ เซียนวรยุทธ์ส่วนใหญ่เป็นหลวงจีนนิกายฌาน แต่ก็มีศิษย์ฆราวาสไม่น้อย ดินแดนใต้การปกครองของวัดเสวียนคงเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของเซียนวรยุทธ์

เซียนวรยุทธ์เป็นอีกหนึ่งประเภทที่สำคัญของซิวเจ่อ หัวใจหลักของพวกมันคือฝึกปรือกายา เสริมสร้างสังขาร เน้นฝึกอบรมจิตใจ แสวงหาตัวตนภายในกายตนเอง ท่ามกลางบรรดาซิวเจ่อทุกประเภท กล่าวถึงเรื่องการรุดหน้ายากเย็นแสนเข็ญที่สุด ไม่มีผู้ใดเกินเซียนวรยุทธ์ อย่างไรก็ตาม เคล็ดวิชาของเซียนวรยุทธ์ส่วนใหญ่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ง่ายที่จะเริ่มต้น ตราบเท่าที่บากบั่นพากเพียรสม่ำเสมอ ส่วนมากมักพบความสำเร็จบางประการ ทว่าก็เป็นตามกฏเกณฑ์ธรรมชาติ เมื่อเริ่มต้นง่ายดาย ต่อไปย่อมยากลำบาก ยากจะรุดหน้าก้าวไกล มรรคาที่เหล่าเซียนวรยุทธ์มุ่งหน้าไป ยิ่งก้าวเดินไปไกลมากเท่าใด ยิ่งยากจะฝึกปรือมากเท่านั้น ต้องอาศัยความมานะอุตสาหะกับภูมิปัญญาที่เหนือคน จึงสามารถบรรลุความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

อย่างไรก็ตาม คนเช่นจั่วม่อซึ่งฝึกปรือไปจนถึงขั้นที่สี่ได้อย่างรวดเร็ว พรสวรรค์เช่นนี้นับว่าหาได้ยากมาก

สำหรับเซียนวรยุทธ์ สิ่งที่น่าหวั่นเกรงที่สุดคือพลังอภิญญา ที่เรียกว่าอภิญญา เป็นความสามารถที่ก่อกำเนิดขึ้นตามธรรมชาติ หลังจากคนผู้หนึ่งฝึกปรือจนถึงระดับหนึ่ง ซิวเจ่อประเภทอื่นล้วนอิจฉาเลื่อมใสพลังวิเศษนี้มาก ตราบเท่าที่ระดับพลังฝึกปรือบรรลุถึง พวกมันจะได้รับอภิญญาเสมอ ไม่มีข้อยกเว้น อย่างไรก็ตาม มีอภิญญารูปแบบใด ทรงอำนาจเพียงใด นั่นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ทั้งยังแตกต่างกันไปตามวาระโอกาส เคยมีบางคนพยายามหารูปแบบกฏเกณฑ์ในการก่อเกิดอภิญญา แต่จนกระทั่งถึงบัดนี้ ไม่มีผู้ใดคาดการณ์กลไกอันลึกลับนี้ได้

แต่แม้ว่าจั่วม่อจะสามารถฝึกปรือวัชรสูตรน้อยจนถึงขั้นที่ห้า และก่อกำเนิดอภิญญาได้จริง เผยเหยียนหรานกับพวกก็หาได้ปิติยินดีไม่

พวกมันเป็นเซียนกระบี่!

หากเซียนวรยุทธ์สามารถให้คำจำกัดความว่าสงบและมั่นคงแล้ว เช่นนั้นเซียนกระบี่ส่วนใหญ่เรียกได้ว่าเคร่งครัดและอหังการ พวกมันเพียงเชื่อมั่นในกระบี่ของพวกมัน ในฐานะซิวเจ่อผู้มีพลังโจมตีร้ายกาจที่สุด เซียนกระบี่ก็นับว่ามีทุนรอนให้ทระนงถือดี ยิ่งเป็นสำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากเท่าใด คุณลักษณะนี้ก็ยิ่งสามารถเห็นได้ชัดเจนมากเท่านั้น

สำนักกระบี่สุญตาแม้ในเวลานี้เป็นเพียงสำนักเล็กๆ แต่บรรพชนของพวกมันมีชื่อเสียงเลื่องลือ เมื่อเทียบกับสำนักเล็กๆ โดยทั่วไปแล้ว เรียกได้ว่าแตกต่างกันไม่น้อย เผยเหยียนหรานกับพวก กระทั่งสำนักกระบี่อื่นยังไม่เห็นอยู่ในสายตา ไหนเลยจะยอมรับนับถือมรรคาบำเพ็ญเพียรประเภทอื่นนอกเหนือจากมรรคากระบี่ได้?

ยิ่งจั่อม่อสำเร็จวิชาเสริมสร้างสังขารขั้นสูงมากเท่าใด พวกมันก็ยิ่งรู้สึกย่ำแย่มากเท่านั้น

น้ำยาสมุนไพรสีดำค่อยๆ เปลี่ยนเป็นใสกระจ่าง จั่วม่อร่างกายหยุดสั่นทีละน้อย ใบหน้าสีทองเข้มคล้ายเข้มจนลึกล้ำกว่าเดิม หากก่อนหน้านี้ใบหน้ามันดูเหมือนเคลือบด้วยชั้นทองคำสีเข้ม เวลานี้ก็ราวกับหล่อหลอมใบหน้าขึ้นมาด้วยทองคำสีเข้ม

ยังคงเป็นใบหน้าที่ไร้การแสดงอารมณ์ใบเดิม แต่เวลานี้มีสง่าราศรีอย่างบอกไม่ถูก

เผยเหยียนหรานกับพวกใบหน้ายิ่งมายิ่งดูน่าเกลียด หากมิใช่พรสวรรค์อันโดดเด่นของจั่วม่อ อีกทั้งมันยังเป็นศิษย์ของสำนัก เกรงว่าพวกมันคงเตะจั่วม่อลงจากภูเขาไปนานแล้ว

จั่วม่อค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เห็นสี่ผู้อาวุโสยืนเรียงรายอยู่ตรงหน้ามัน ดวงตาทุกคู่มองมาอย่างดุร้ายหมายขวัญ ความปิติยินดีจากการทะลวงผ่านไปยังวัชรสูตรน้อยขั้นที่สี่ยังอัดแน่นอยู่ในอก แต่ใบหน้าที่น่าเกลียดของผู้อาวุโสทั้งสี่คน ก็ดึงมันกลับสู่ความเป็นจริง

มันไม่ทราบว่าล่วงเกินท่านเจ้าสำนักกับเหล่าผู้อาวุโสที่ใด แต่ก็รู้ดีว่าไม่ควรสาดน้ำมันลงในกองไฟ พูดน้อยลงก็ผิดน้อยลง เมื่อไม่พูด มันย่อมไม่ผิด ดังนั้นมันหุบปากสนิทอย่างรู้ความ

“ประเสริฐ ประเสริฐ อาการบาดเจ็บของเจ้าดูท่าจะหายดีแล้ว เพื่อเจ้าแล้ว ซือฟู่ของเจ้าทุ่มเทความพยายามไปไม่น้อย เจ้าต้องแสดงฝีมือให้ดี อย่าได้ผิดต่อการคาดหวังที่อาจารย์เจ้ามีต่อเจ้า ชุมนุมวิจารณ์กระบี่รอบนี้ หากเจ้าไม่อยู่ในสิบลำดับแรก ก็ไปหาอาจารย์ลุงรองของเจ้าเพื่อรับการลงโทษได้เลย”ท่านเจ้าสำนักแค่นเสียงเย็นชาในลำคอ ทิ้งวาจาไว้เช่นนี้ ก่อนก้าวออกไป

อาจารย์ลุงรอง...การลงโทษ...

จั่วม่ออดเบนสายตาไปทางอาจารย์ลุงรองไม่ได้ เมื่อเห็นแสงเย็นส่องประกายระยิบระยับอยู่ในดวงตาของอาจารย์ลุงรอง แม้ว่ามันจะแช่ตัวอยู่ในน้ำยาเดือดๆ ยังรู้สึกเย็นสันหลังวาบ ประดุจตกลงไปถ้ำน้ำแข็ง

แม้แต่ซือฟู่กับอาจารย์ลุงหยานเล่อหลังจากถลึงตาใส่มัน ก็จากไปโดยปราศจากวาจาใด

จั่วม่อเกาหัวแกรกๆ ไม่เข้าใจอะไรเลย ที่แท้เกิดเรื่องอันใดขึ้น?

ขบคิดจนหัวแทบแตก ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเกิดเรื่องอันใด มันรีบผลักปัญหานี้ไปด้านหนึ่งในทันที เพราะมันจดจำคำสุดท้ายที่ท่านเจ้าสำนักทิ้งเอาไว้ได้

สิบลำดับแรก...

ท่านเจ้าสำนักใช่เมาหรือไม่? หรือเป็นมันฟังผิดไปเอง? จั่วม่อนั่งโง่งมอยู่ในถัง ครึ่งค่อนวันยังไม่ตอบสนอง

 

ตงฝู รัตติกาลกรายผ่านมา ทุกซอกทุกมุมในเมืองใหญ่แห่งนี้คล้ายเต็มไปด้วยแสงตะเกียงสดใสหลากสีสัน ตงฝูมั่งคั่งบริบูรณ์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เนื่องจากงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ เมืองไม่เคยหลับใหล แม้ราตรีจะล่วงล้ำไปครึ่งค่อนคืน ยังคงมีชีวิตชีวาเหมือนเดิม เสียงร่ำร้อง เสียงเอื้อนบทกวี เสียงอึกทึกครึกโครมผสมปนเปกันไปอย่างครื้นเครง แสงกระบี่กับยุทธภัณฑ์เวทบินผ่านเหนือท้องฟ้า เสียงคำรามของสัตว์ปราณบางตัวแว่วเข้าไปในโสตประสาทของผู้ที่อยู่ใกล้เคียง

“ท่านที่นับถือไฉนขวางทางข้า?” ซิวเจ่อแต่งกายสมถะผู้หนึ่ง ถามบุรุษชุดขาวตรงหน้ามันอย่างเคร่งเครียด

บุรุษชุดขาวตอบแผ่วเบา “เจ้าไม่ใช่เว่ยผิง” คนผู้นี้ย่อมเป็นหลินเชียนที่จั่วม่อเพิ่งจะพบพานในหอลอยร้อยวิเศษ

ซิวเจ่อผู้นั้นแย้มยิ้มทันที “ใต้เท้าล้อเล่นแล้ว ข้าไม่ใช่เว่ยผิงจะเป็นผู้ใด?”

“นั่นต้องถามกระบี่ข้า” หลินเชียนทอดถอนแผ่วเบา

เว่ยผิงสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เผยรูปลักษณ์ดุร้ายอำมหิต ควันสีม่วงจางๆ พลันปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ ซัดใส่หลินเชียนในพริบตา

แสงกระบี่วาบขึ้น!

แสงกระบี่แหลมคมพุ่งไปเบื้องหน้าดุจไม่มีสิ่งกีดขวาง ตัดควันสีม่วงเป็นสองส่วนอย่างง่ายดาย จากนั้นทิ่มทะลวงใส่เว่ยผิง

อ๊าก!

เว่ยผิงถลึงตาอย่างขุ่นแค้น เปล่งเสียงคำรามที่ไม่เหมือนมนุษย์ ร่างกายของมันขยายตัวอย่างรวดเร็ว!

พิ้ง!

แสงกระบี่จู่ๆ ก็เร่งความเร็วจนหายวับไป เว่ยผิงดวงตาเหลือกลาน เสียงขู่คำรามชะงักขาดหายในบัดดล

ตรงทรวงอกของมันปรากฏรูเล็กๆ รูหนึ่ง ที่น่าประหลาดคือไม่มีโลหิตไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว

“คนที่สิบ” หลินเชียนรำพึงเบาๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล

 

เรือนพักอาศัยแห่งหนึ่งในตงฝู

“เหล่าหลัวตายแล้ว”

“ทราบหรือไม่ว่าฝีมือผู้ใด?”

“เหมือนคราวที่แล้ว สังหารในกระบี่เดียว สมควรเป็นบุคคลเดียวกัน มีใครบางคนมุ่งเป้ามาที่เรา”

“นั่นไม่น่าแปลกใจ ดาวพร่างกลางทิวาอึกทึกครึกโครมเกินไป ไม่สามารถปิดซ่อนได้ ...แล้วธุระของเรามีความคืบหน้าหรือไม่?”

“ไม่พบอันใด หากเป็นต้าเหริน*บางท่านจริงๆ พวกมันควรหาวิธีติดต่อเราได้ นี่อาจจะเป็น...”

(*คำแปลอยู่ในตอนที่ 0 ในที่นี้พวกมันใช้อ้างถึงอสูรปิศาจตนที่ก่อให้เกิดดาวพร่างกลางทิวาด้วยความเคารพ)

“อย่าได้คิดเหลวไหล ดาวพร่างกลางทิวาไม่อาจแปลกปลอมได้ แม้ว่าข้าจะไม่ทราบว่าต้าเหรินท่านนั้นกำลังคิดสิ่งใด แต่เราต้องปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับ”

“เข้าใจแล้ว”

“ให้ความสนใจต่อไป เจ้าต้องปกปิดตัวเองอย่างระมัดระวัง มีเพียงพวกเจ้าไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเล็ดลอดเข้าไปได้ พวกเราชุดต่อไปอาจมาถึงในอีกสองสามเดือน เวลานี้สถานการณ์ในมหานครนภาโลหิตกำลังแปรปรวน เราต้องเร่งหาตัวต้าเหรินท่านนี้โดยเร็วที่สุด!”

“ขอรับ!”

 

ภายในร้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง จั่วม่อกำลังปรึกษาหารือกับแม่นางซู่ ในเมื่อซู่ให้คำมั่นว่าสามารถช่วยเหลือมันเข้าสู่สิบลำดับแรก หากไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ มันก็เสียเปรียบแย่แล้ว แต่ปัญหาคือเมื่อพวกมันเข้าสู่หอคลื่นสนของอารามตงฝู* ตำแหน่งเริ่มต้นของพวกมันจะมาจากการสุ่ม ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันจะอยู่ที่ใด

(*เปลี่ยนหอตงฝูของเทียนซงจื่อเป็นอารามตงฝู)

ข้อมูลเหล่านี้ซู่จัดเตรียมมาให้แก่จั่วม่อ เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกว่าตราบเท่าที่นางให้ข้อมูลแก่จั่วม่อมากพอ มันย่อมสามารถคิดหาทางออกที่เหมาะสมได้ การประลองระหว่างจั่วม่อกับเฉาอัน ได้พิสูจน์ความสามารถของมันในด้านนี้อย่างเต็มที่

จั่วม่อยังได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหอคลื่นสนอย่างละเอียด เนื่องเพราะมันไม่เคยสนใจเกี่ยวกับงานชุมนุมวิจารณ์กระบี่มาตั้งแต่แรกเริ่ม แม้แต่ความเข้าใจพื้นฐานที่สุดก็ยังไม่ทราบ ดังนั้นเอาใจใส่กับรายละเอียดมากเป็นพิเศษ

กล่าวได้ว่า จั่วม่อเป็นบุคคลที่รู้หลักเหตุผลมากที่สุดผู้หนึ่ง เมื่อมันตัดสินใจแล้วว่าต้องการสู้เพื่อชัยชนะ มันจะทุ่มเทสุดชีวิต กระทำทุกวิถีทาง

“การติดต่อกันนั้นไม่ยาก เราเพียงต้องสร้างนกกระเรียนกระดาษสองตัว สำหรับเราคนละตัว จากนั้นสลักค่ายกลหยินหยางนำทางไว้บนนกกระเรียนกระดาษ นี่จะช่วยให้เราหาตำแหน่งของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว” จากนั้นกำชับอย่างปราศจากความละอายใจว่า “เมื่อเราเข้าไปแล้ว ข้าจะคอยอยู่ในตำแหน่งของข้า เจ้าต้องมาหาข้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

“ตกลง” ซู่พยักหน้าให้คำมั่นอย่างไม่ลังเล อย่างไรก็ตาม ความไร้ยางอายของจั่วม่อยังทำให้นางถึงกับอึ้งงันไปครู่ใหญ่ บุรุษทั่วไป รวมทั้งศิษย์พี่ของนางกู่หรงผิง เมื่ออยู่ต่อหน้านางมักเต็มไปด้วยความปรารถนาจะสำแดงฝีมือ แต่จั่วม่อ กลับกระทำเรื่องไร้ยางอายโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ อย่างเป็นธรรมชาติมากเสียด้วย

หลังจากที่ทั้งสองคนระบุรายละเอียดของการติดต่อ จั่วม่อก็จากไป

ทันทีที่จั่วม่อหายลับสายตา กู่หรงผิงก็เดินออกมาจากด้านหลัง

“แม้ว่าเจ้าจะช่วยเหลือมัน มันก็ไม่สามารถเข้าสู่สิบลำดับแรก” กู่หรงผิงกล่าวอย่างมั่นใจ

“ท่านต้องการจะสู้กับข้า?” ซู่ถามอย่างเย็นชา

“ข้าหรือจะกล้า?” กู่หรงผิงกล่าวอย่างยิ้มแย้ม หัวร่อเบาๆ “แต่ชุมนุมวิจารณ์กระบี่ครั้งนี้ รวบรวมยอดฝีมืออายุเยาว์จากทั่วทั้งอาณาจักรนภาจันทร์ มันอาจมีพรสวรรค์ แต่ยังไม่มีพลังมากพอ”

“แล้วเป็นไร?” สุ้มเสียงของซู่ยังคงเย็นชา แต่นางทราบดีว่าเพียงแสร้งทำเป็นปากแข็งไปอย่างนั้นเอง นางยังทราบอีกด้วย ว่าศิษย์พี่กำลังรอให้นางวิงวอนมัน

แต่นางเงียบ

กู่หรงผิงเหลือบมองนางแวบหนึ่ง จากนั้นลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไป

 

แม้ด้วยความช่วยเหลือของซู่ จั่วม่อก็มั่นใจว่าโอกาสที่มันจะเข้าสู่สิบลำดับแรกนั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย ในบรรดาผู้เข้าประลองทั้งหนึ่งร้อยคนที่เข้าสู่หอคลื่นสน นับมันรั้งท้ายอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าผู้ใดพบเจอมัน ย่อมไม่มีเกรงอกเกรงใจ

มันประหนึ่งลูกแกะอ้วนที่พลัดหลงเข้าไปในฝูงราชสีห์!

อย่างไรก็ตาม เมื่อหวนนึกถึงแผนการของมัน...

จั่วม่อรู้สึกแทบอดใจรอไม่ไหวอยู่บ้าง!

 

ภูเขาสุญตา

“ได้ยินหรือไม่? ท่านเจ้าสำนักสั่งให้ศิษย์พี่จั่วเข้าสู่สิบลำดับแรก! มิเช่นนั้นมันจะต้องถูกอาจารย์อาซินหยานลงโทษ!”

“สวรรค์! อาจารย์อาซินหยาน ท่านเจ้าสำนักใช่เห็นศิษย์พี่จั่วเป็นที่ขัดตาหรือไม่? ส่งมันไปลงโทษโดยตรงเสียเลยไม่ดีกว่าหรือ”

“ใช่แล้ว นี่ไม่สมเหตุสมผลเกินไปแล้ว”

“อ้อ ล่วงเกินท่านเจ้าสำนัก เกรงว่าวันคืนของศิษย์พี่จั่วจะไม่ได้สุขสบายแล้ว”

 

เมื่อเสี่ยวกั่วได้ยินข่าวลือนี้ คล้ายมีบางอย่างจุกแน่นอยู่ในใจนาง นางไม่ได้พบเห็นศิษย์พี่หลายวันแล้ว นับตั้งแต่ศิษย์พี่จั่วกลับมาจากด้านนอกคราวก่อน มันก็ปิดขังตัวเองอยู่ในหุบเขา ไม่ได้ออกมาอีกเลย

ดวงตานางทอแวววิตกกังวล

เสี่ยวกั่วไม่ได้เป็นห่วงว่าศิษย์พี่จะถูกลงโทษ นางก็เป็นศิษย์ฝ่ายใน ทราบกระจ่างถึงตำแหน่งแห่งที่ของศิษย์พี่ที่มีต่อท่านเจ้าสำนัก ต่อให้ถูกลงโทษก็ไม่มีอะไรสำคัญ สิ่งที่นางหวาดหวั่นกังวล คือศิษย์พี่จะเสี่ยงชีวิตของมันเข้าต่อสู้ นางทราบดีว่าดูผิวเผินศิษย์อาจสนใจแต่เรื่องจิงสือ แต่หากมันตัดสินใจกระทำสิ่งใดแล้ว มันจะทุ่มเทสุดชีวิต

ศิษย์พี่ที่เอาจริงเอาจังนั้นน่ากลัวมาก...แต่หากมันได้รับบาดเจ็บเพราะเรื่องนี้...

เสี่ยวกั่วเม้มปากแน่น

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด