TWO Chapter 222 มือในถุงมือ
TWO Chapter 222 มือในถุงมือ
ณ เมืองหยงเย่, คฤหาสน์ของลอร์ด
ในขณะที่โอหยางโชวกำลังยุ่งอยู่กับสวนสมุนไพรบนภูเขา ตี่เฉินก็ติดต่อซาโพจุ่นให้กับเฮ่ยเส่อผีเฟิง ทั้ง 2 ทำงานร่วมกัน โดยจะเป็นพันธมิตรกันชั่วคราว
“เมืองซานไห่มีกองกำลังทางตะวันออกของที่นี่มากเท่าใด?” ซาโพจุ่นถามออกไป เพื่อที่จะแก้แค้นโอหยางโชว ซาโพจุ่นได้ใช้เงินมากถึง 2,000 เหรียญทอง ในการเทเลพอร์ตกองกำลังของเขามาที่นี่ 2,000 นาย
เฮ่ยเส่อผีเฟิงไม่นิ่งเฉย เขากล่าวตอบในทันที “ข้าได้ตรวจสอบดูแล้ว พวกเขามีกรมทหารอยู่ 1 กรม ทางตะวันออกของเรา ซึ่งมีทหารมากถึง 2,500 นาย”
ซาโพจุ่นขมวดคิ้ว “ถ้าเป็นเช่นนั้น เพียงแค่กองกำลังของเราทั้ง 2 คงจะไม่สามารถจัดการกับกรมทหารนี้ได้แน่ เจ้าคิดเช่นไร?” แม้ว่าซาโพจุ่นจะมีความเกลียดชังที่ฝังลึกต่อโอหยางโชว แต่เขาก็ยังคงมีสติอยู่
“พี่ชายซาไม่ต้องกังวล ข้าได้ติดต่อเสี่ยวเฟิงขานเยว่และเฉิงเฟิงผอหลาง จากพันธมิตรดาบนภาแล้ว พวกเขาจะมาถึงในเร็วๆนี้” เฮ่ยเส่อผีเฟิงกล่าวอย่างมั่นใจ
เสี่ยวเฟิงขานเยว่สนับสนุนการขอความช่วยเหลือจากภายนอกอยู่แล้ว และดินแดนของเฉิงเฟิงผอหลางก็เหมือนกับเมืองหยงเย่ ที่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากเมืองซานไห่โดยตรง เฮ่ยเส่อผีเฟิงได้กล่าวในช่องพันธมิตรว่า เขาได้เชิญซาโพจุ่นมาแล้ว พร้อมกับกองกำลังอีก 2,000 นาย
เสี่ยวเฟิงขานเยว่ทะเยอทะยานมาก โดยไม่คิดอะไร เขานำกองกำลังทหารชั้นสูงทั้งหมด 1,000 นาย มาเข้าร่วม และเฉิงเฟิงผอหลางก็นำกองกำลังของเขามาเข้าร่วมอีก 500 นาย
แม้ว่าปาเตาจะไม่ได้มา แต่เขาก็สัญญาว่า จะปฏิบัติการการโจมตีทางฝั่งตะวันออกของเมืองซานไห่อีกทาง เพื่อดึงทหารเมืองซานไห่ไว้ บังคับให้พวกเขาสู้ศึก 2 ด้าน
พวกเขามั่นใจมากว่า ปฏิบัติการในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จ เพราะหากพวกเขาล้มเหลว พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับความเกรี้ยวกราดของเมืองซานไห่ และมันจะไม่มีช่องสำหรับการเจรจาต่อรองอีกต่อไป
แม้แต่ซาโพจุ่นก็ไม่มีความสามารถในการส่งกำลังเสริมมาเพิ่มอีกในระยะสั้นๆ กองกำลังที่แข็งแกร่งของเขา 2,000 นายนี้ มีค่าใช้ค่ายในการเทเลพอร์ตไปกลับสูงถึง 4,000 เหรียญทองแล้ว ซึ่งมันนับเป็นเงินจำนวนมหาศาลสำหรับเมืองอาชูร่า
เฮ่ยเส่อผีเฟิงเป็นคนที่ชั่วร้าย เพื่อปกป้องดินแดนของตัวเอง เขาไม่สนใจที่จะลากพันธมิตรของเขามาเกี่ยวข้องด้วย
………………………………………………………………………….
ไกอา ปีที่ 1 เดือนที่ 9 วันที่ 2
ในช่วงบ่าย กองกำลังที่แข็งแกร่ง 4,000 นาย ได้มารวมตัวกันอย่างลับๆที่เมืองหยงเย่
กองกำลังที่แข็งแกร่งทั้ง 4,000 นายนี้ ประกอบไปด้วย ทหารโล่กระบี่ 2,000 นาย, ทหารธนู 1,000 นาย และทหารม้า 1,000 นาย
ในตอนกลางดึก พวกเขาใช้ความมืดเป็นประโยชน์ ในการแอบออกมาจากเมืองหยงเย่
เป้าหมายของพวกเขาคือ ค่ายทิศตะวันตกของเมืองซานไห่ ซึ่งห่างจากเมืองหยงเย่ประมาณ 20 กิโลเมตร
เมื่อต้องเดินทางในความมืด ทหารไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจุดไฟ เพื่อที่จะมองเห็นเส้นทางของพวกเขา แสงจากเปลวไฟสร้างเป็นภาพลวงตาของมังกรในเขตทุรกันดาร มันทำให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ของเสือดาวและเสือดโคร่งที่ออกมาหากิน และพวกเขาก็รีบหลบซ่อนในทันที
เวลา 3.00 น. กองกำลังได้เดินทางมาถึงชายแดนเมืองซานไห่ เพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูเห็นร่องรอยของพวกเขา พวกเขาจึงดับไฟ และใช้ประโยชน์จากแสงดาวในการเดินทางต่อ
เมืองซานไห่ไม่ได้สร้างนิคมไว้ใกล้ชายแดน เนื่องจากเพิ่งจะยึดครองดินแดนเหล่านี้ ในระหว่างเดินทาง พวกเขาสามารถมองเห็นเมืองหรือหมู่บ้านที่ว่างเปล่า ซึ่งเมืองซานไห่ได้ปฏบัติการยึดพวกมันจากลอร์ดคนอื่นๆในก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม เมืองซานไห่ยังไม่ได้ส่งประชาชนของพวกเขามาอยู่ที่นี่
เมื่อเห็นดินแดนที่ถูกยึดครองเหล่านี้ เฮ่ยเส่อผีเฟิงและคนอื่นๆก็รู้สึกถูกคุกคาม หากพวกเขาไม่ได้ร่วมมือกันต่อสู้ สถานการณ์เช่นนี้ย่อมต้องเกิดขึ้นกับพวกเขาในอนาคต
ขณะที่พวกเขาได้รับรางวัลมากมายมาจากการสู้รบ ค่ายทิศตะวันตกเริ่มจะประมาท พวกเขาไม่ได้จัดเวรยามให้ลาดตระเวณในคืนนี้ ในความคิดของพวกเขา ถ้าพวกเขาไม่รุกรานคนอื่น แล้วจะมีใครกล้าหาญพอที่จะมาโจมตีเมืองซานไห่ก่อน
เวลา 5.30 น. กองกำลัง 4,000 นาย ก็ปรากฎตัวเหมือนผีใกล้กับค่ายทิศตะวันตก ในตอนนั้น ท้องฟ้าเริ่มจะมีแสงเล็กน้อย และพระอาทิตย์ก็เริ่มที่จะขึ้นมาแล้ว
ในฐานะะค่ายทหารขั้นสูง ค่ายทิศตะวันตกมีการป้องกันเป็นอย่างดี มีกำแพงไม้หนา และมีหอธนู ทหารที่บุกเข้ามา ได้ฆ่ายามที่เฉี่อยชา และรีบไปที่หอคอย ก่อนที่พวกเขาจะแจ้งเตือนคนอื่นๆ ทหารยามส่งเสียงสุดท้ายของเขา ก่อนที่ศัตรูจะสังหารเขา
“อ๊ากกก!!!” เสียงกรีดร้องทำให้ความเงียบสงบของเขตทุรกันดารพังทลายลง และแทนที่ด้วยเสียงแตรแห่งความตาย
เสียงนี้ทำให้ค่ายตื่นตัว ทหารที่ลาดตระเวณภายในค่ายมีปฏิกิริยาอย่างรวดเร็ว พวกเขารีบวิ่งไปที่ประตูค่ายในทันที ในเวลาเดียวกัน ก็มีทหารบางส่วนไปปลุกทหารที่ยังนอนอยู่
ซาโพจุ่นเป็นผู้บัญชาการของปฏิบัติการนี้ เมื่อเขาเห็นว่าศัตรูของพวกเขาได้รับการแจ้งเตือนแล้ว เขาก็ทิ้งความตั้งใจที่จะลอบเข้าไปเงียบๆ แล้วตะโกนว่า “ฆ่า!”
ทหารโล่กระบี่ 2,000 นาย วิ่งไปราวกับเป็นฝูงหมาป่าที่หิวโหย พวกเขาพุ่งตรงไปยังประตูค่าย ทหารได้นำท่อนไม้ขนาดใหญ่ ไปกระแทกประตู เนื่องจากไม่มีทหารป้องกัน มันคงจะถูกทำลายในเวลาไม่นานนัก
โชคดีที่หน่วนลาดตระเวณได้วิ่งเข้ามา และใช้ร่างกายของพวกเขาป้องกันประตู ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ใช้ไม้ในการขวางกั้นประตู เพื่อให้มันดูหนาแน่นขึ้น
ภายใต้การโจมตีของทหาร 2,000 นาย หน่วสยลาดตระเวณที่มีไม่ถึง 60 นาย ไม่สามารถป้องกันประตูได้นานนัก ผ่านไปเพียง 2-3 นาที ผู้บุกรุกก็ทำลายประตูและทำให้หน่วยลาดตระเวณล้มลงไปกับพื้น
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวณซึ่งเป็นทหารขั้น 8 จับหอกไว้ในมือ ก่อนจะตะโกนออกไป “ฆ่า!”
ศัตรูที่บุกเข้ามาปะทะกับพวกเขา และสังหารพวกเขาอย่างไร้ปราณี หอกของหัวหน้าหน่วยลาดตระเวณ แทงเข้าไปในกระเพาะของทหารศัตรูนายหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่ศัตรูคนอื่นๆเหวี่ยงกระบี่ฟันเขาตายในทันที สมาชิกในหน่วยลาดตระเวณคนอื่นๆ ไม่มีแม้โอกาสที่จะทันได้ทำอะไร ศัตรูฟันพวกเขา และไม่มีใครรอดชีวิต เหล่าทหารของศัตรูเหยียบย่ำไปที่ศพของหน่วยลาดตระเวณ จนกลายเป็นเนื้อบด
ทหารโล่กระบี่เริ่มรวมตัวกันเป็นหมู่ และบุกเข้าไปในเต็นท์ดั่งฝูงหมาป่าที่หิวกระหาย เสียงตะโกนและการสังหารได้แจ้งเตือนให้ทหารเมืองซานไห่ที่อยู่ในเต็นท์ บางคนได้แต่งชุดเกราะพร้อมแล้ว ขณะที่บางคนเพียงแค่ได้หยิบอาวุธออกไปสู้กับศัตรู
ทหารของกรมทหารที่ 1 เป็นทหารชั้นสูงของเมืองซานไห่ พวกเขาผ่านการสู้รบมามาก ทำให้พวกเขาไม่ตื่นตกใจ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สวมชุดเกราะ พวกเขาก็ไม่ได้หวาดกลัวศัตรู พวกเขาไม่แม้แต่จะเสียเปรียบศัตรู พวกเขาต่อสู้กับกองกำลังของศัตรูร่วมกัน จากนั้น พวกเขาก็วิ่งออกจากเต็นท์ ไปรวมตัวกับกองกำลังหลัก
ทหารม้าของศัตรูได้บุกเข้ามาภายใต้การบัญชาการของซาโพจุ่น พวกเขาเคลื่อนที่ไประหว่างเต็นท์ โดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มที่เริ่มจะรวมตัวกัน การกระทำของพวกเขาทำให้กรมทหารที่ 1 ไม่สามารถรวมตัวกันได้ มันบังคับให้พวกเขาทั้งหมดต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง
ทหารธนูที่อยู่ด้านหลัง ยิงฝนลูกศรเพลิงไปยังเต็นท์ต่างๆของทหาร มันได้สังหารทหารเมืองซานไห่ที่ยังอยู่ในเต็นท์อย่างโหดร้าย
ในขณะที่ศัตรูทำให้กรมทหารที่ 1 ของเมืองซานไห้เกิดความโกลาหล และกองกำลังของพวกเขาไม่สามารถรวมตัวกันได้ ทั่วทั้งสนามรบเต็มไปด้วยเสียงการต่อสู้ที่รุ่นแรง, เสียงลูกศรที่คมชัด, เสีงร้องของม้าศึก และเสียงกรีดร้องของทหารที่บาดเจ็บ
ในฐานะนายทหารขั้นพิเศษ สัญชาตญาณของขุนพลซีแข็งแกร่งมาก หลังจากที่หน่วยลาดตระเวณพบสิ่งแปลกประหลาด เขาก็ตื่นขึ้นมาในทันที เขาเป็นนายทหารที่มีประสบการณ์มากมาย เขาไม่ได้วิ่งออกไปเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ แต่เขาเริ่มสวมชุดเกราะของเขาในทันที
หลังจากสวมชุดเกราะแล้ว เขาก็คว้าหอกแล้วเดินออกจากเต็นท์ ในขณะที่ศัตรูยังคงโจมตีประตูหลักของค่าย เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตี เขาไม่ได้คิดว่าศัตรูเป็นใครและทำไม แต่เขารีบรวบรวมกองกำลังของเขาในทันที
ขุนพลซียังส่งทหารของเขา ไปแจ้งเตือนและช่วยเหลือคนอื่นๆ
ขณะที่กำลังรอให้กองกำลังมารวมตัวกัน เขาก็บอกให้ทหารองครักษ์ของเขา ยิงสัญญาณเตือนภัย
เมื่อยามที่หอส่งสัญญาณเห็น พวกเขาก็ยิงสัญญาณของพวกเขา จากหอหนึ่งไปยังอีกหอหนึ่ง จนกระทั่งสัญญาณถูกส่งไปถึงเมืองหลัก เมื่อทหารที่เฝ้ากำแพงเมืองของกองพันทหารป้องกันเมืองเห็นสัญญาณ พวกเขาก็รีบแจ้งเตือนในทันที โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งไปแจ้งเตือนค่ายหลักของกองพันป้องกันเมือง และอีกกลุ่มไปที่คฤหาสน์ของลอร์ด เพื่อแจ้งเตือนลอร์ดของพวกเขา
กองกำลังที่รวมตัวกันเร็วที่สุดก็คือ กองพันที่ 1 ซีฮูนำนักรบของเขาสวมชุดเกราะและรีบออกมา กองพันของพวกเขาตั้งอยู่ที่ด้านหลังของค่าย ดังนั้น พวกเขาจึงมีเวลามากพอที่จะรวบรวมกองกำลัง
เมื่อเขาเห็นกองพันที่ 1 ขุนพลซีก็เริ่มสงบลง เขามีความมั่นใจในกองพันที่ 1 มาก
เมื่อได้ยินเสียงการฆ่าฟันเพิ่มขึ้น ขุนพลซีก็ตัดสินใจที่จะตอบโต้ ขณะที่เขารวบรวมกองกำลังทั้งหมดไปพร้อมกัน เขาสั่งให้กองพันที่ 1 เข้าสู้รูปแบบป้องกัน แล้วพวกเขาก็ค่อยๆเคลื่อนไปยังพื้นที่ของกองพันที่ 2
ระหว่างทาง พวกเขาได้พบกับกลุ่มทหารม้าของศัตรู ซึ่งมันไม่สามารถจะทำลายแนวป้องกันของพวกเขาได้เลย กองพันที่ 1 จึงสามารถจัดการพวกเขาลงได้ เมื่อทหารจากกองพันอื่นๆ เห็นกองพันที่ 1 พวกเขาก็เริ่มวิ่งไปรวมตัวกับกองพันที่ 1
ดังนั้น ขุนพลซีจึงใช้กองพันที่ 1 ทำหน้าที่เปิดทาง เพื่อรวบรวมกองกำลังเพิ่มเติม ขณะที่พวกเขาเดินต่อไป พวกเขาก็สังหารศัตรูที่กล้ายั่วยุพวกเขาไปด้วย เมื่อพวกเขาเข้าสู่พื้นที่ของกองพันที่ 2 กองกำลังของพวกเขาก็ขยายไปถึง 1,000 นายแล้ว
เนื่องจากกองพันที่ 2 อยู่ใกล้กับด้านหน้าของค่าย ความยากลำบากในการสวมชุดเกราะปูเหรินจึงทำให้เกิดปัญหา สถานการณ์ทั้งหมดทำให้คนเถื่อนภูเขาหมดหนทาง พวกเขาจึงทำได้เพียงหยิบโล่และกระบี่ถัง ออกมาต่อสู้กับศัตรู ซึ่งมันทำให้พวกเขาสูญเสียเป็นอย่างมาก
ในสายตาของพวกเขา รอดชีวิตมาได้ถึงขนาดนี้ก็โชคดีมากแล้ว กองพันที่ 1 ยังคงเดินไปข้างหน้า เพื่อซื้อเวลาในกับกองพันที่ 2 ได้มีเวลาสวมชุดเกราะ ในขณะนั้น หลี่หมิงเหลียงก็ได้นำกองพันทหารม้ามาเสริมกำลัง
เมื่อเห็นว่ากองกำลังของศัตรูเริ่มรวมตัวกัน ซาโพจุ่นก็ไม่กล้าชักช้า เขาเริ่มรวบรวมกองกำลังของเขา เพื่อไม่ให้พวกเขาถูกแยกออกจากกัน
ทั้ง 2 ฝ่ายเริ่มรวบรวมกองกำลังของตน ขณะที่พวกเขากำลังรอคอยการสู้รบครั้งสุดท้าย
ขุนพลซีคำนวณคร่าวๆ เพียงชั่วระยะเวลาสั้น กรมทหารที่ 1 ได้สูญเสียทหารไปถึง 700 นาย ซึ่งมันทำให้เขาโกรธเป็นอย่างมาก การสูญเสียครั้งใหญ่เช่นนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน เมื่อเขาเห็นกองกำลังของศัตรูกำลังรวมตัวกัน เขาไม่ได้ดันทุรังที่จะสู้รบอย่างดุเดือด แต่เขากลับสั่งให้องครักษ์ของเขา ส่งสัญญาณไปที่เมืองหลักอีกครั้ง
แฟนเพจ : TWOแปลไทย