บทที่ 132 รักษาอาการบาดเจ็บ
ขณะที่จั่วม่อสบถด่าปานพายุบุแคม ผูเยามีสีหน้าโง่งมอย่างสมบูรณ์
“พวกมันไม่ใช่ผายลม...” ผูเยาพยายามอธิบายอย่างมึนงง
“พวกมันไม่ใช่ผายลม แล้วอย่างไร?” จั่วม่อถลึงตามอง
ตระหนักว่ามันถึงกับถูกสภาวะของจั่วม่อสะกดข่มเอาไว้ ผูเยาทันใดนั้นตั้งสติได้ มีโทสะอยู่บ้าง ดวงตาขวาหรี่แคบลง เผยคมมีดสีแดงแคบยาว กล่าวเสียงเย็น “อ้อ เจ้าอยากพูดอะไร?”
จั่วม่อพลันลมหายใจชะงักขาดห้วงอย่างช่วยไม่ได้ เผชิญสายตาเย็นเยียบและแปลกพิกลของผูเยา มันหดกลับทันที “ข้า...ข้าแค่อยากจะบอกว่า...เจ้าต้องมอบ...สิ่งที่ไม่มีผลข้างเคียง...ให้แก่ข้า...”
“ข้าเป็นอสูร” ผูเยากล่าวเบาๆ “มรรคาที่ข้ารู้จักแตกต่างจากซิวเจ่อเจ้า เกิดผลข้างเคียงบ้างเล็กน้อย ย่อมเป็นเรื่องปกติมาก”
ความหมายของผูเยาชัดเจนเป็นที่สุด จั่วม่อไม่สามารถตำหนิมันเรื่องผลข้างเคียง ทั้งยังซ่อนความนัยว่าสิ่งอื่นๆ ที่จะมอบให้ต่อไป ก็อาจจะมีผลข้างเคียงเช่นกัน
หากผูเยาเกิดฉีกหน้า เปลี่ยนเป็นไร้เหตุผลขึ้นมา จั่วม่อก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ความแข็งแกร่งของพวกมันแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวง เป็นธรรมดาที่สิทธิ์ในการกล่าววาจาจะไม่เท่าเทียมกัน
จั่วม่อได้แต่เลือกที่จะต่อต้านด้วยความเงียบเท่านั้น
สายตาของผูเยากลับมาไม่เป็นมิตรมากกว่าเดิม จั่วม่อได้แต่ฝืนทนยืนกรานเท่านั้น มันทราบว่าหากมันยอมอ่อนข้อไปเสียทุกครั้ง เสียงของมันจะยิ่งเบาลงๆ ผลสุดท้ายของมันจะกลายเป็นย่ำแย่ลงเรื่อยๆ พลังคือสิ่งที่ต้องต่อสู้แย่งชิงมา แม้ต้องแบกรับความเสี่ยงในระดับหนึ่ง ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
เผชิญหน้ากับความดื้อเงียบของจั่วม่อ ผูเยาชักปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมา
เมื่อต้องการให้ม้าวิ่ง ท่านก็ต้องให้อาหารแก่มัน จั่วม่อ เจ้าตัวประหลาดที่มีแต่จิงสืออยู่ในสายตานี้ กลับกลายเป็นเฉลียวฉลาดขึ้นมาก คิดหลอกล่อมันเหมือนเมื่อก่อน ไม่น่าเป็นไปได้แล้ว
แต่เวลาที่ข้ามี...
คิดถึงเรื่องนี้ ผูเยาอารมณ์แปรเปลี่ยนเป็นขุ่นข้อง มองไปยังเจ้าเดรัจฉานน้อยที่ก่อปัญหาให้แก่มัน ผูเยาปรารถนาจะฟาดจั่วม่อเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในฝ่ามือเดียว แต่มันยังคงระงับแรงกระตุ้นในใจ อารมณ์ของมันอาจเลวร้าย แต่ผูเยาไม่ได้โง่เขลา
“เคล็ดวิชาของอสูรปิศาจ มนุษย์จะมีปัญหาในการฝึกปรือ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” ความอำมหิตในดวงตาผูเยาค่อยๆ เลือนหายไป สุ้มเสียงกลับคืนสู่ความสงบตามปกติ “อย่างไรก็ตาม ในมือข้าพอมีเคล็ดวิชาของซิวเจ่ออยู่บ้าง ต่อไปรางวัลจะเป็นเคล็ดวิชาเหล่านี้ คราวนี้หากยังมีผลข้างเคียง เจ้าก็ไม่อาจตำหนิข้าได้”
จั่วม่อเบิกบานใจ แต่ยังคงกล่าวแก้ “มันเป็นการซื้อขาย!” การซื้อขายกับการให้รางวัลเป็นสองแนวคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การค้าขายหมายถึงการแลกเปลี่ยนที่สมเหตุสมผล แต่หากเป็นการให้รางวัล รสชาติก็เปลี่ยนไปแล้ว
“นั่นก็แล้วแต่เจ้า” ผูเยาสีหน้าไม่แยแส แต่ในใจลอบปวดศีรษะ จั่วม่อเวลานี้รับมือยากกว่าเดิมมาก
“อย่างไรก็ตาม เจ้าเร่งมือกว่านี้ได้หรือไม่!” ผูเยาสุ้มเสียงไม่พอใจเป็นอันมาก “เจ้าทำกำไรจิงสือช้าเกินไป ข้าต้องการจิงสือมากกว่านี้!”
“แต่ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกตนด่านจู้จีคนหนึ่งเท่านั้น” จั่วม่อเน้นย้ำความเป็นจริง
ผูเยาฟังคำจั่วม่อแทบสำลักออกมา มันทราบว่าจั่วม่อรู้สึกอึดอัดใจที่พลังบำเพ็ญเพียรไม่รุดหน้า แต่สิ่งที่จั่วม่อกล่าวก็เป็นความจริง ในบรรดาซิวเจ่อด่านจู้จี ผู้ที่สามารถทำกำไรจิงสือได้มากกว่าจั่วม่อ มีไม่มากนัก
เจ้าเด็กผู้นี้กระตือรือร้นที่จะทำกำไรจิงสือแทบตาย แต่ปากแข็งไปถึงกระดูกดำ ผูเยาไม่ทราบจะทำอย่างไรกับมันดี ต่อให้คิดอยากเปลี่ยนไปสิงสู่ผู้อื่น กล่าวตามความสัตย์ ผูเยารู้สึกว่าไม่มีผู้ใดดีไปกว่าจั่วม่อแล้ว เจ้าตัวประหลาดน้อยนี้เป็นยอดฝีมือในการหาจิงสือตามธรรมชาติ ผูเยาพบว่าจั่วม่อมีความรู้สึกเฉียบไวเป็นอย่างยิ่งต่อทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวมันเอง จั่วม่อรู้จังหวะต่อสู้เพื่อตัวเอง โดยไม่ทำให้อีกฝ่ายมีโทสะมากเกินไป มันยังทราบว่าเมื่อใดสมควรประนีประนอม รู้จักรุกรู้จักถอยอย่างเหมาะสมถึงที่สุด นับเป็นบุคคลอันชาญฉลาดผู้หนึ่ง
อ้อ แม้แต่ในบรรดาเผ่าอสูร ที่ชาญฉลาดเทียบเท่าจั่วม่อ ก็มีไม่มากนัก
ศักยภาพที่จั่วม่อแสดงออกมา ค่อยๆ เปลี่ยนมุมมองของผูเยา มันพลันนึกถึงคนผู้หนึ่งซึ่งเลือกจั่วม่อมาตั้งแต่เริ่มต้น ต้องอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที ประหนึ่งกินแมลงวันเข้าไปทั้งฝูง
แค่นเสียงอย่างเย็นชาคำหนึ่ง ผูเยาหายวับไป.
ผูเยาบทจะมาก็มา บทจะไปก็ไปดื้อๆ จั่วม่อไม่ได้แปลกใจแต่อย่างใด ในใจรู้สึกโล่งใจมากกว่า การเจรจากับผูเยาทุกครั้งเป็นเรื่องที่อันตรายมาก แม้ว่าในเวลาส่วนใหญ่ผูเยาจะค่อนข้างปกติ แต่ผูเยาอารมณ์แปรปรวน เผลอประมาทสักเล็กน้อย ผลสุดท้ายมักจะน่าอนาถเสมอ
โชคดีที่ผลลัพธ์ในคราวนี้ค่อนข้างดีงามทีเดียว จั่วม่อพออกพอใจไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม มันไม่จำเป็นต้องพิจารณาปัญหาการกำไรจิงสือชั่วคราว เพราะมันยากจนข้นแค้น สิ้นเนื้อประดาตัวจนไม่มีแม้แต่เงินทำทุน และด้านหน้าของมัน ยังมีการประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่รอบสุดท้ายรอคอยอยู่
เพื่อม้วนหยกเริ่มต้นของคุนหลุน จั่วม่อมุ่งมั่นที่จะเอาชัยให้จงได้ แม้ว่าซู่รับปากช่วยเหลือมัน แต่จั่วม่อยังคงรู้สึกไม่วางใจ การประลองรอบสุดท้ายเป็นศึกตะลุมบอนที่มีผู้เข้าร่วมถึงหนึ่งร้อยคน และมีเพียงสิบคนเท่านั้นที่จะเป็นผู้ชนะ ความโหดร้ายดุเดือดในการประลองเป็นที่จินตนาการได้ ซู่แม้พลังฝีมือเข้มแข็ง ไม่มีปัญหาเรื่องการป้องกันตนเอง แต่หากต้องมาคอยปกป้องมันด้วย เรื่องนี้ก็ยากจะกล่าวแล้ว
พึ่งพาตนเองย่อมไว้วางใจได้มากกว่าเดิม
จั่วม่อมีร่างแผนการคร่าวๆ อยู่ในใจแล้ว ขณะที่คิดแผนการนี้ ในใจมันเต็มไปด้วยความฮึกเหิมและคาดหวัง!
แต่เวลานี้ มันจำต้องระงับความตื่นเต้นในใจเอาไว้ก่อน โยนแผนการไว้ทางหนึ่ง มีอีกหนึ่งปัญหาหนึ่งที่ต้องเผชิญโดยตรง รักษาอาการบาดเจ็บ
ในการประลองกับเฉาอันครั้งล่าสุด แม้ว่าจะเสียเปรียบมันก็ยังเอาชนะมาได้ แต่ก็แลกกับการรับบาดเจ็บสาหัส หลังจากได้รับการรักษาฉุกเฉินจากซือฟู่แล้ว มันก็ฟื้นตัวไม่น้อย เดิมทีจั่วม่อตั้งใจจะค่อยๆ รักษาอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ผู้ใดจะไปคาดคิด ว่าท่านเจ้าสำนักต้องการให้มันเข้าร่วมศึกตะลุมบอนในรอบสุดท้ายด้วย เวลานี้ม้วนหยกของคุนหลุนยังเป็นเหตุผลพิเศษ ทำให้มันต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเรื่องการรักษาตัวอีกครั้ง
พลังบำเพ็ญเพียรของมันต่ำกว่าคู่แข่งทุกคน หากกระทั่งร่างกายยังไม่หายดี ต่อให้ซู่ช่วยเหลือมัน เกรงว่ายังไม่มีปัญญายืนหยัดจนจบการประลอง
แน่นอน ที่สำคัญที่สุดคือการรักษารอบนี้ เป็นสำนักควักกระเป๋าจ่าย มันไม่จำเป็นต้องเสียจิงสือแม้แต่ชิ้นเดียว!
เรือนขิงหอม สือฟ่งหรงใบหน้าเย็นชา ยืนอยู่หน้าถังไม้บรรจุน้ำยา จั่วม่อตลอดทั้งร่างแช่อยู่ในน้ำยาสมุนไพร มีเพียงศีรษะโผล่ขึ้นมาเล็กน้อย
น้ำยาสีดำมีกลิ่นเหม็นฉุน จั่วม่อนั่งอยู่ในถังย่อมถูกรมอย่างหนักหน่วง จนหัวหมุนวิงเวียนสุดทานทน “ซือฟู่ มีอะไรอยู่ในนี้ ไฉนเหม็นถึงปานนี้?”
“อย่ามัวพูดจาเหลวไหล” สือฟ่งหรงกล่าวอย่างรวบรัด “ตั้งใจโคจรพลังปราณให้ดี” เมื่อใดก็ตามที่นางเห็นหน้าจั่วม่อ ไฟโทสะในใจก็พลุ่งพล่านสุดระงับ ตัวมันมีพรสวรรค์ถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่ชมชอบฝึกปรือกระบี่ เอาแต่สนใจทำกำไรจิงสือ! ไฉนนางต้องมาจบลงที่ลูกศิษย์โลภมากไม่เอาถ่านเช่นนี้?
จั่วม่อสัมผัสความไม่พอใจล้ำลึกในสุ้มเสียงของซือฟู่ กลายเป็นเรียบๆ ร้อยๆ ขึ้นมาทันที
อันที่จริง มันก็สามารถรู้สึกได้ถึงพลังโอสถที่อยู่ในน้ำยาสมุนไพรในถังไม้ พลังโอสถอันมีชีวิตชีวาและอุดมสมบูรณ์นี้ คล้ายแมลงตัวเล็กนับไม่ถ้วนเจาะเข้าไปในร่างกายมัน เพียงแต่กระบวนการนี้ไม่ค่อยน่ารื่นรมย์เท่าใด จั่วม่อรู้สึกราวกับว่ากำลังถูกแทงด้วยเข็มมากมายไม่สิ้นสุด
พอฟังท่านอาจารย์สั่งให้โคจรพลังปราณ จั่วม่ออึ้งงันไปวูบหนึ่ง มันสมควรโคจรพลังตามแนวทางเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดหรือวัชรสูตรน้อยดี? คิดวกไปวนมา ในที่สุดตัดสินใจเลือกวัชรสูตรน้อย เคล็ดบำเพ็ญสูดกำเนิดที่มาไม่ชัดเจน หากซือฟู่ตรวจพบก็ย่ำแย่แล้ว แต่หากเป็นวัชรสูตรน้อยมันกลับไม่มีที่ให้หวาดเกรง เนื่องเพราะอาจารย์ลุงซินหยานเป็นผู้มอบเคล็ดวิชานี้ให้แก่มันเอง แม้ว่าวัชรสูตรน้อยที่มันฝึกปรืออยู่ทุกวันนี้เป็นฉบับป้ายหินสุสาน แต่ความแตกต่างระหว่างทั้งสองฉบับก็เพียงแค่ห้าประโยคเท่านั้น
เพียงแค่เริ่มโคจรวัชรสูตรน้อย จั่วม่อก็รู้สึกทันทีว่านี่แตกต่างจากปกติ
พลังโอสถเล็กละเอียดนับไม่ถ้วน คล้ายถูกดึงดูดด้วยพลังแม่เหล็ก แปรเปลี่ยนเป็นสายธารโอสถหลายสิบสาย แทรกซึมผ่านเข้าไปในเส้นชีพจรหลักในร่างของจั่วม่อ จากนั้นกระจายเข้าสู่กระแสพลังปราณที่โคจรผ่านเส้นชีพจรปราณทั่วร่าง
ภายในระยะเวลาสั้นๆ จั่วม่อรู้สึกว่าเส้นชีพจรปราณทุกเส้นในร่างแออัดจนแทบล้น อดแตกตื่นไม่ได้ มันไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
ไอ๊หยา!
น้ำยาสมุนไพรนี้มันอะไร? พลังเข้มแข็งมาก!
จั่วม่อยามนี้ไม่อาจสนใจสิ่งอื่นใด นอกจากโคจรวัชรสูตรน้อยอย่างเกรี้ยวกราด พยายามอย่างสุดกำลังที่จะกระจายพลังโอสถส่วนเกินไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ขณะที่พลังโอสถแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ความเสียหายในร่างกายจั่วม่อก็ถูกเยียวยารักษาอย่างต่อเนื่อง ประหนึ่งพายุฝนห่าใหญ่ราดรดใส่พื้นดินอันแห้งผาก บาดแผลในร่างมันดูดซึมพลังโอสถอย่างหิวกระหาย
ข้างถังไม้ สือฟ่งหรงคอยเฝ้าดูด้วยสีหน้าห่วงกังวล เห็นใบหน้าของจั่วม่อเป็นสีทองเข้ม ประดุจหล่อหลอมจากทองคำเนื้อดี ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด เผยเหยียนหรานกับพวกทั้งสาม ล้วนปรากฏตัวขึ้นข้างกายนางอย่างพร้อมเพรียง
“เจ้าเด็กร้ายกาจ!” หยานเล่อกล่าวอย่างตะลึงลาน “วิชาเสริมสร้างสังขารของมันที่แท้แข็งแกร่งถึงระดับใด? นี่มิใช่อาภรณ์ร่างทองหรอกหรือ?”
ซินหยานแค่นเสียงอย่างเย็นชา “มันเพียงแค่ไม่ชื่นชอบการฝึกปรือกระบี่เท่านั้นเอง!”
อีกสามคนสีหน้าเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดในทันที
หากจั่วม่อมีพรสวรรค์ด้านการบำเพ็ญเพียรเพียงปานกลาง พวกมันคงไม่รู้สึกย่ำแย่ถึงเพียงนี้ แต่มันกลับมีพรสวรรค์ทางด้านการบำเพ็ญเพียรสูงส่งอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าวิชาใดที่มันฝึกปรือ ล้วนรุดหน้าก้าวไกลด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด แม้กระทั่งวัชรสูตรน้อยที่มอบให้แก่มันไปอย่างไม่ใส่ใจนัก มันยังสามารถฝึกปรือจนบรรลุขั้นอาภรณ์ร่างทองได้อย่างเงียบเชียบ ที่น่าปวดเศียรเวียนเกล้าคือมันกลับไม่สนใจฝึกปรือวิชากระบี่ของสำนัก เคล็ดวิชากระบี่อันทรงพลังมากมายของสำนัก ล้วนเปิดกว้างให้แก่มัน แต่เจ้าเด็กเหลือขอนี้ หลังจากพลิกดูครั้งแรก มันก็ไม่เคยกลับไปแตะต้องอีกเลย
จะไม่ให้เผยเหยียนหรานกับพวกพิโรธจนแทบกระอักได้อย่างไร?
“ข้ายืนกรานให้มันเข้าร่วมการประลองรอบสุดท้ายของชุมนุมวิจารณ์กระบี่ นี่จะช่วยให้มันเข้าใจพลังที่แท้จริงของเซียนกระบี่” กระทั่งเผยเหยียนหรานผู้มีฝีมือในการรักษาความเยือกเย็น ยังแทบจะคลั่งใจตายเพราะจั่วม่อ “ข้าเคยกำชับเหวยเสิ้งให้แสดงฝีมือเต็มที่ในการประลองครั้งนี้ ฮึ่ม จั่วม่อจำเป็นต้องได้เห็น ว่าเซียนกระบี่คืออะไร และไฉนเซียนกระบี่จึงเป็นซิวเจ่อที่ทรงพลังที่สุดในโลก!”
“ใช่! ศิษย์สำนักกระบี่ที่ไม่สนใจเคล็ดวิชากระบี่ของสำนัก ล่วงรู้ไปถึงไหนก็อับอายไปถึงนั่น กระทั่งท่านปรมาจารย์บรรพชนของพวกเรา หากล่วงรู้เข้า พวกเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด!” หยานเล่อผู้มักจะมีรอยยิ้มประดับใบหน้าอยู่เป็นนิจ เวลานี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาล
“เรื่องนี้ยอมรับไม่ได้!” ซินหยานใบหน้าเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร
สือฟ่งหรงผู้ที่ก่อนหน้านี้คอยห่วงกังวล ยังอดไม่ได้ ต้องกล่าวอย่างไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง “เจ้าเด็กผู้นี้ต้องถูกสั่งสอน!”
พฤติกรรมนอกลู่นอกทางของจั่วม่อ เป็นเหตุให้ระดับสูงของสำนักกระบี่สุญตา ล้วนเห็นพ้องต้องกันโดยไม่มีข้อกังขา
ทุ่มเทสมาธิจิตใจอยู่กับการโคจรพลังปราณ จั่วม่อไม่รับรู้เรื่องราวภายนอก มันไม่ทราบว่าหายนะกำลังก่อตัวอยู่ในบทสนทนาตรงหน้ามันนี้เอง จิตสำนึกทั้งหมดของมัน พลังปราณทั้งมวล ล้วนถูกระดมมาอย่างพร้อมเพรียง จดจ่ออยู่กับการควบคุมพลังโอสถอย่างสมบูรณ์ มันไม่ทราบว่าซือฟู่ผสมพืชหญ้าอันใดลงไปในถังน้ำยาในคราวนี้ แต่พลังโอสถป่าเถื่อนรุนแรงอย่างเหลือเชื่อ มันรู้สึกว่าร่างกายคล้ายกำลังจะระเบิดจากพลังโอสถที่ถาโถมเข้ามา!
ความเร็วในการกำราบพลังโอสถ ช้ากว่าความเร็วในการดูดซับพลังโอสถเข้าสู่ร่างกายมาก
จั่วม่อขบกรามแน่น มันทราบว่าหากมันอดทนผ่านช่วงเวลาสั้นๆ นี้ไปได้ มันจะได้กำไรมหาศาล มันคุ้นเคยกับการหลอมกลั่นโอสถ ย่อมเข้าใจดีว่าพลังโอสถที่มีอยู่ในโอสถปราณนั้นมีขีดจำกัด ตราบเท่าที่มันสามารถอดทนยืนหยัด ย่อมสามารถทยอยดูดซึมพลังโอสถภายในร่างกายได้อย่างช้าๆ เมื่อพลังโอสถเจาะผ่านเข้ามาในร่างกายของมัน ก็เปลี่ยนเป็นจุดแสงสีทองอย่างรวดเร็ว แทรกซึมเข้าไปในชั้นกล้ามเนื้อของมัน เวลานี้ทั้งเลือดเนื้อและเส้นเอ็นล้วนสุกสกาวด้วยแสงสีทองส่องประกาย จุดแสงสีทองที่ฝังแน่นอยู่ในเลือดเนื้อประดุจทรายทองละเอียด ยิ่งหนาแน่นแออัดมากขึ้นเป็นลำดับ
แต่อัตราการเพิ่มขึ้นของจุดแสงสีทอง ยังช้ากว่าอัตราการแทรกซึมเข้ามาในร่างของพลังโอสถมาก
สิ่งที่ทำให้จั่วม่อแตกตื่นจนขวัญหาย คือจนถึงยามนี้ พลังโอสถกลับไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยลง ยังคงพลุ่งขึ้นมาอย่างป่าเถื่อนรุนแรงและสม่ำเสมอดุจเดิม!
พลังโอสถไม่ผิดอะไรกับมหานทีถาโถม ไหลบ่าเข้าสู่ร่างกายของมันอย่างคลุ้มคลั่ง
เส้นชีพจรปราณของมันเต็มแน่นจนล้นปรี่ แต่พลังโอสถก็ยังคงไหลบ่าเข้ามาในร่างอย่างไม่อาจควบคุม เส้นชีพจรปราณของมันโป่งพองจนมองเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า
สิ่งที่ทำให้จั่วม่อประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งกว่าเดิม คือมันไม่มีปัญญาหยุดยั้งได้!
พลังโอสถผสานรวมกับพลังปราณที่โคจรเร็วรี่ไม่มีที่สิ้นสุด ดุจม้าป่าหลุดจากบังเหียน ห้อตะบึงไปทั่วร่าง ไร้หนทางจะบังคับควบคุม!
บัดซบ!