บทที่ 3 ผู้กล้าจะโจมตีเมื่อเวลานั้นมาถึง
บทที่ 3 ผู้กล้าจะโจมตีเมื่อเวลานั้นมาถึง
อัศวินที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่นั้น รับรู้ได้ถึงอันตรายและถึงแม้ว่าเขาจะสลับตำแหน่งเพื่อปกป้องเจ้าหญิง มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปอยู่ดี
เพราะว่า ไม่มีใครสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของผมได้
「กรี๊ดดดดด กะ กุ」
แม้ว่าร่างกายของผมจะรู้สึกหนัก ผมก็เริ่มออกวิ่ง ความเร็วนั้นไหลผ่านพวกอัศวิน ด้วยมืออีกข้าง ผมคว้าไปที่คอของอัศวินคนหนึ่ง แล้วอัดโช้กแสลมเข้ากับกำแพง
「เพื่อความสะดวกสบายของพวกแกด้วยการอัญเชิญผู้กล้า คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างฉันกลับต้องมาเสียสละเพื่อพวกแก แล้วเธอก็บังคับฉันให้เล่นบนผู้กล้า และหลังจากที่ฉันปราบจอมมารได้ เธอก็ผลักไสไล่ส่งฉัน ทำให้ฉันมีตราบาป และทรยศฉันในขณะที่เธอหัวเราะได้น่าระรื่นเชียวนะ 」
「คะ คุณพูดถึงอะไร」
ช่างหน้าด้านอะไรอย่างนี้ ผมจะไม่มีวันลืมเลย
ทันทีที่ผมปราบจอมมารได้ เธอก็พลิกโลกทั้งใบหันมาเล่นงานผม
ไอ้นักบุญนั่นก็ดันเห็นผมว่าเป็นศัตรูของโลกใบนี้ด้วย และทั้งอาณาจักรก็ยืนยันแบบนั้นอีก เบื้องหลังที่พวกแกวางแผนเอาไว้โดยการตีตราบาปผลักมันมาให้ฉันยังไงล่ะ
สายสัมพันธ์ที่ผมสร้างร่วมกันมากับสหายคนอื่นๆ มันก็ไม่มีข้อยกเว้นอันใด พวกเขากลับกลายเป็นผู้ล่าในทันที
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกคนที่ผมเคยช่วยชีวิต จะหันกลับมาเป็นฝ่ายเอาชีวิตผมแทน มันช่างน่าอดสูและสิ้นหวังมากแค่ไหน
อีองค์หญิงนี่ก็เป็นหนึ่งในพวกมัน
หลังจากปราบจอมมารได้แล้ว ทุกคนในโลกก็กลายมาเป็นศัตรูกับผม, ผมไม่รู้ว่าผมยังเชื่อใจใครได้อีก
ท่ามกลางพวกมัน ยัยองค์หญิงนี่ก็ปรากฏตัว แสร้งทำเป็นเพื่อน แล้วบอกว่า “ให้ฉันช่วยนายนะ” และ “ฉันจะหาที่หลบซ่อนให้นายเอง” แต่คำพวกนั้น มันเป็นคำโกหก
ผมเหนื่อยล้าทั้งกายและใจจนหลงเชื่อไปกับคำพูดพวกนั้น และในขณะที่เราพูดคุยหยอกล้อกันเล่น เธอก็ทรยศหักหลังผม
เธอบอกว่ามันเป็นค่ายผู้ลี้ภัย หลังจากผมถูกส่งไปที่นั่นด้วยอัญมณีเคลื่อนย้าย ซึ่งผมสามารถใช้เวทย์มนต์ไปถึงที่นั่นได้ แต่ไม่สามารถกลับออกมาได้ มันเป็นกลลวง มันเป็นห้องที่ติดตั้งกับดักไว้ในดันเจี้ยน
และในขณะที่ผมกำลังหนีอย่างสุดชีวิต ผมก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส บาดแผลพวกนั้นคงต้องใช้ระยะเวลารักษาค่อนข้างนาน
「ห๊า พวกแกรวมหัวกันวางแผนหลอกฉันให้ไปติดกับดัก ตอนนั้นแกบอกว่า『ฉันไม่ได้ทรยศ แต่ฉันไม่ได้เป็นพันธิมตรกับนายมาตั้งแต่ต้นแล้ว 』. เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า คนที่มาจากต่างโลกนั้นไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่แกบอกฉันเหรอ?」
「จริงๆนะ ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร…」
พวกมันทำผมเป็นเหมือนไอ้โง่ปัญญาอ่อน เฮ้อ จริงๆเล้ย มันก็จริงซะด้วยที่ผมเป็นคนโง่ปัญญาอ่อน
เมื่อไม่เชื่อใจคนพวกนี้แล้ว ผมจะรับรู้ได้ถึงความมุ่งร้ายของเธอ และนี่มันอาจจะไม่เกิดขึ้นเลย
เพราะว่าตอนนี้ผมสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจน ภายนอกเธออาจจะดูสับสนและเจ็บปวด แต่ภายในนั้นกลับแฝงไปด้วยความอาฆาตพยาบาท
ด้วยท่าทางเพียงเล็กน้อย สายตา ลมหายใจ การแสดงออกทางสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
เพื่อที่จะรับรู้ได้ถึงพลังและความเร็วของศัตรู สิ่งเหล่านี้มักจะใช้ไม่ค่อยได้ แต่การมีอยู่อย่างความอาฆาตพยาบาทและจิตอันมุ่งร้าย รวมถึงจิตสังหาร ซึ่งพวกเขาไม่สามารถปกปิดเอาไว้ได้
「ฮ่า ฉันรู้นะว่าแกเป็นคนวางแผนทั้งหมดน่ะ อย่ามาเป็นหน้าด้านหน้าหนาไปหน่อยเลย ก็นะ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ค่อยเข้าในสถานการณ์ในตอนนี้สักเท่าไหร่ ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่ทั้งความฝันและภาพเหตุการณ์ก่อนตายด้วย แต่ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยหนิ สงสัยว่าฉันต้องปล่อยเรื่องยากเอาไว้แบบนี้ซะก่อนละ」
อ้า ผมเผลอพูดออกไปซะได้
「ฉันไม่รู้นะว่าช่วงเวลาแห่งความสุขนี้จะหมดไปเมื่อไหร่ อีกอย่างฉันก็ได้สาบานเอาไว้แล้วด้วย」
เสียงของผมมันเอ่อล้นไปด้วยความสุข สีหน้าของผมตอนนี้ดูดีมากเลย และหัวใจของผมก็เต้นเร็วขึ้นด้วย มันทำให้แขนของผมทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
「อะ อ้า…, แก…」
ความอาฆาตพยาบาทที่ผมรับรู้ได้จากยัยองค์หญิงก็หายไป
ผมปล่อยมือออกจากคอของเธอ ทำให้เธอตกลงไปกองกับพื้น พร้อมกับมองผมด้วยสายตาอันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ดวงตาของเธอสะท้อนให้เห็นตัวผม แน่นอนว่าภาพนั้นต้องบิดเบี้ยวจนดูไม่ได้
แต่ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้รู้สึกดี ดีมาเลยล่ะ
ผมอยากใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่สวยงามตลอดไป และมันยิ่งทำให้เข้าใจง่ายมากเลยว่า เพราะโลกแบบนี้คือสถานที่ที่ผมจะสามารถกลายมาเป็นผู้กล้าได้
แต่ผลสุดท้ายโลกทั้งใบกลับหักหลังและทรยศผม และถูกทำให้ต้องกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาต ผมกลายเป็นตัวตลก
ผมไม่ใช่คนเดิมที่มีจิตใจขาวสะอาดอีกต่อไปแล้ว ตัวตนแบบนั้นมันได้ตายจากไปนานแล้วล่ะ
ผมสาบานเอาไว้แล้วว่า ผมจะแก้แค้น
ผมจะทำให้พวกมันได้เห็นถึงความบ้าคลั่งที่อยู่ตรงหน้า
「ดะ ได้ ปะ โปรด ช่วยฉันด้วย… 」
「ฉันไม่อยากช่วยเธอหรอกนะ จงทรมานให้มากที่สุดซะ อะลีเซีย」
「กรี๊ดดดด!!」
ขวา, ซ้าย, ขวา, ซ้าย, ผมต่อยเข้าไปที่หน้าของเธออยู่หลายครั้ง พยายามไม่ให้เธอหมดสติไปซะก่อน และปล่อยให้เธอค่อยลิ้มรสความเจ็บปวด
「แก ไอ้ชาติชั่ว!?」
「อุกก!!」
「ดู, ดู, ดูนี่สิ, ดูซะสิ แหกตาดูให้เต็มๆซะ!! องค์หญิงคนสำคัญของพวกแกกำลังเจ็บปวดอยู่นะ แล้วนี่พวกแกไม่คิดจะทำอะไรเลยเหรอ!? ห๊า!?」
เมื่อเจ้าหญิงตกอยู่ในภวังค์แห่งความกลัว เหล่าอัศวินก็เข้าล้อมตัวผม แต่มีแค่ 5-6 คนเท่านั้น มันไม่ได้ทำให้สถานการณ์แตกต่างสักเท่าไหร่
ผมตีศอกไปที่บริเวณข้อต่อตรงช่วงล่างของพวกมัน ทำลายจุดศูนย์ถ่วงและอัดด้วยวิธีที่เจ็บปวดที่สุด พวกมันต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งซะหน่อยล่ะ กระดูกของพวกมันบิดและหัก ดวงตาของพวกมันถูกควักออกมา หูของพวกมันถูกบิดจนขาด และจมูกก็ถูกงัดออกมาจนไม่เหลือชิ้นดี
「อ๊า ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า ฮ๊า ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า!!」
ก็เหมือนเดิม ร่างกายของผมยังคงรู้สึกหนักๆ แต่ผมก็ยังไม่ได้ใช้ดาบแห่งวิญญาณ มันดีเกินไปที่จะฆ่าพวกมันด้วยดาบ ผมไม่อยากฆ่าพวกมันตายไปซะเปล่าๆ
ผมต้องแก้แค้น
ผมต้องทำให้พวกมันทรมาน
ผมต้องการให้พวกมันทรมานให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และสุดท้าย ผมก็จะค่อยๆ ฆ่าพวกมัน
ถ้าผมไม่ทำอย่างนั้น ใจของผมก็จะไม่เป็นสุข
「อ๊า ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า ฮ๊า ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ก๊าก ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า!!」
ช่างเป็นเสียงกรีดร้องที่ดีอะไรเช่นนี้ เสียงร้องแห่งความเจ็บปวดและหวาดกลัว ผมตื่นเต้นจนหยุดไม่ได้
เสียงนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุด โดยไม่ทำให้เกิดบาดแผลที่ถึงตายแล้วล่ะก็ ถ้าพวกมันกำลังสลบอยู่ ผมก็จะบังคับให้พวกมันตื่นมารับความเจ็บปวด
แน่นอน มันเหมือนกับนรกสำหรับพวกอัศวิน และแน่นอน มันเหมือนกับนรกสำหรับเจ้าหญิง
สำหรับผม สิ่งที่ผมปรารถนากำลังจะถูกเติมเต็ม สรวงสวรรค์ของผม
เสียงหัวเราะยังคงไม่มีวันสิ้นสุด มันยังไม่จบเพียงแค่นี้หรอก
เสียงกรีดร้องยังไม่หยุด ผมก็ไม่หยุด