ตอนที่แล้วTWO Chapter 216 ศาลาแห่งความฝัน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปTWO Chapter 218 ลอร์ด

TWO Chapter 217 ยอดเขาโดดเดี่ยว


TWO Chapter 217 ยอดเขาโดดเดี่ยว

ในตอนเช้าตรู่ ขณะที่อากาศกำลังสดชื่น มีกลุ่มคนที่กำลังที่ม้าออกจากคฤหาสน์ของลอร์ด ไปทางประตูมังกรฟ้า เมื่อม้าฉิงฟู่ก้าวลงไปที่พื้นหินสีเขียว มันก็เกิดเสียงฝีเท้าของม้าดังขึ้นกรุบกรับ

โอหยางโชวและซ่งเจี๋ย นำทหารองครักษ์ 4 นาย มุ่งหน้าไปทางเมืองฉิวซุ่ยที่อยู่ทิศตะวันออก เพื่อหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเป็นที่ตั้งฐานของนิกาย หลังจากที่ประตูเมืองชั้นที่ 2 สร้างเสร็จสิ้นแล้ว เพื่อแยกความแตกต่างของประตู  ประตูใแต่ละแห่งจะได้รับชื่อ โดยประตูในเขตหลักของเมืองจะถูกเปลี่ยนเป็น ประตูมังกรฟ้า ทางทิศตะวันออก, ประตูเสือขาว ทางทิศตะวันตก, ประตูหงส์เพลิง ทางทิศใต้ และประตูเต่าดำ ทางทิศเหนือ โอหยางโชวเดินผ่านประตูมังกรฟ้า แล้วผ่านเขตตะวันออกและประตูด้านทิศตะวันออก ก่อนจะเบี่ยงขึ้นเหนือเล็กน้อย

เมื่อออกมาจากประตูด้านทิศตะวันออก ก็จะเป็นเขตทุรกันดารทางตะวันออก ตามแผนยุทธศาสตร์ หญ้าป่าและต้นไม่ถูกเอาออกไปทั้งหมด ตอนนี้ สิ่งที่ยังเหลืออยู่จึงมีเพียงที่ราบว่างเปล่า

จากประตูด้านทิศตะวันออก พวกเขามุ่งหน้าตรงไปยังท่าเรือเมืองซานไห่ เมื่อเทียบกับสมัยที่ยังเป็นหมู่บ้านซานไห่ ท่าเรือใหม่ใหญ่กว่าเดิมราว 20-30 เท่า นับตั้งแต่ที่อู่ต่อเรือชั้นสูงย้ายไปที่เมืองเป่ยไห่ น่านน้ำด้านหน้าหุบเขาทั้งหมดก็อยู่ภายใต้การควบคุมของท่าเรือ ท่าเรือมักจะถูกใช้งานโดยฝ่ายขนส่ง ในปัจจุบัน ฝ่ายขนส่งเริ่มมีบทบาทของการบริการการขนส่งที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น

สะพานที่จะเชื่อมโยงเมืองหลักและเมืองฉิวซุ่ยยังอยู่ในระหว่างการวางแผนการสร้าง มันจึงยังไม่ถูกสร้างขึ้น มีเพียงหินจำนวนมากที่ถูกนำมาเตรียมไว้ทั้งสองฝั่งของหุบเขา คนงานส่งหินขนาดใหญ่มาจากเหมือง ก่อนจะตัดมันเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วฝนให้มันเป็นแท่ง เพื่อใช้ในการสร้างสะพาน

หลังจากที่พิจารณาแล้วว่า เรือรบต้องผ่านแม่น้ำสายนี้ การออกแบบสะพานจึงซับซ้อนมากกว่าสะพานโค้งที่อยู่ในเมือง จากแบบร่างแรกของสถาปนิกหวู่ชี่ มันต้องใช้ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นสูงถึง 500 เหรียญทอง

ส่วนที่ยากที่สุดในการสร้างสะพานก็คือ การสร้างเสาค้ำสะพาน แม่น้ำด้านล่างของหุบเขาไหลมาจากทั้งแม่น้ำมิตรภาพและแม่น้ำฉิวซุ่ย มันจึงเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกรากมาก ดังนั้น เสาค้ำสะพานที่ใช้มาตรฐานการก่อสร้างแบบดั้งเดิมจึงยากที่จะทำ

โอหยางโชวแวะตรวจสอบความคืบหน้าของสะพานอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเดินทางต่อ โดยขึ้นเรือจากท่าเรือและข้ามแม่น้ำไป กำแพงเมืองฉิวซุ่ยได้ถูกสร้างขึ้นแล้ว และเมื่อมองจากที่ไกลๆ จะมองเห็นเมืองเล็กๆนี้จากที่ราบอันกว้างใหญ่ได้

ด้านนอกเมืองมีพื้นที่เพาะปลูกที่เต็มไปด้วยทุ่งนา ตอนนี้เหล่าเกษตรกรกำลังยุ่งอยู่กับการทำนา

“คนโง่ พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ในทุ่งนาหรือ? พวกเขากำลังถอนต้นกล้าออกหรือ? ไม่ใช่ซิ พวกเขากำลังปลูกมันหรือ?” ซ่งเจี๋ยไม่เข้าใจการกระทำของพวกเขา

โอหยางโชวหัวเราะ “เกษตรกรกำลังถอนวัชพืชและดำนา มันเป็นเรื่องง่ายที่วัชพืชและหญ้าป่าจะเติบโตในพื้นที่เพาะปลูก ถ้าเราไม่ถอนพวกมันออก พวกมันก็จะแย่งพื้นที่และสารอาหารของพืชที่เราปลูก แล้วมันก็จะส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยว”

“โอ้!” ซ่งเจี๋ยหัวเราะอย่างอายๆ

โอหยางโชวไม่ได้เลือกที่จะเข้าไปในเมืองฉิวซุ่ย และแทนที่จะไปทางใต้ตามขอบของหุบเขา เขาเดินทางไปทางตะวันออกตามแนวเทือกเขา ในความเป็นจริง หลังจากที่รู้ว่าซ่งเจี๋ยต้องการสร้างนิกายที่นอกเมือง เขาก็ได้ไปตรวจสอบแผนที่เหลียนโจวที่มีพิกัดชัดเจนไว้แล้ว

แตกต่างจากเมืองหลัก ด้านนี้ของเมืองฉิวซุ่ยไม่มีภูเขาหิน แต่เป็นป่าที่กว้างใหญ่ตัดกับพื้นที่ราบ เกิดเป็นสภาพแวดล้อมที่เป็นเอกลักษณ์ เมื่อเดินบนที่ราบ จะมีโอกาสพบกับสัตว์ป่า อย่างเช่นกระต่ายป่า

เมื่อเห็นกระต่ายป่า สัญชาตญาณนักล่าของโอหยางโชวก็ถูกปลุกให้ทำงาน เขาหยิบธนูขึ้นมาแล้วยิงใส่มันทันที แต่ด้วยทักษะการยิงขั้นต้นของเขา เว้นแต่จะโชคดีจริงๆ แทบจะไม่มีโอกาสที่เขาจะยิงโดยกระต่ายป่าที่กระโดดไปมาได้เลย

ลูกศรของเขาพลาดเป้า ทำให้เขารู้สึกอับอาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าคนรักของเขาเช่นนี้ และมันก็กลายเป็นความโกรธ เขาสั่งให้ทหารองครักษ์ยิงกระต่ายป่าทุกตัวที่พบ แล้วนำพวกมันไปด้วย

ซ่งเจี๋ยหัวเราะคิกคักอยู่ด้านข้าง ดูเหมือนว่าโอหยางโชวจะมีนิสัยบางอย่างที่ไม่ค่อยดีนัก

หลังจากเดินทางไปทางตะวันออกได้ 10 กิโลเมตร โอหยางโชวก็ส่งสัญญาณให้พวกเขาหยุด เขาชี้ไปที่ยอดเขาแห่งหนึ่ง แล้วถามว่า “เจ้าเห็นยอดเขาข้างหน้านั้นหรือไม่?”

ซ่งเจี๋ยมองตามนิ้วของโอหยางโชว เธอเห็นหมอกปกคลุมรอบๆ และเห็นยอดเขาโดดเดี่ยวตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็คือ ยอดเขาที่โดดเดี่ยวนี้เหมือนถูกทุบโดยยักษ์ จนมันเหลือเพียงครึ่งเดียว และส่วนกลางของภูเขาก็กลายเป็นที่ราบขนาดใหญ่

“ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ดี” ซ่งเจี๋ยกล่าวอย่างมีความสุข

โอหยางโชวพยักหน้า “ไปดูกันเถอะ”

“อื้อ!” ซ่งเจี๋ยไม่สามารถรอได้อีก

เนื่องจากไม่มีใครเคยเดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่แห่งนั้นมาก่อน จึงมีเพียงเส้นทางเล็กๆที่พวกเขาพอจะเดินไปได้ โอหยางโชวและคนของเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทิ้งม้าฉิงฟู่ไว้ที่เชิงเขา แล้วเดินขึ้นไปข้างบน

ทหารองครักษ์ทั้ง 4 ใช้กระบี่ถังตัดแต่งเส้นทาง เพื่อเปิดทางให้พวกเขาเดินขึ้นไปได้โดยสะดวก หลังจากเดินมาได้ 2 ชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงพื้นที่ด้านบน โอหยางโชวและซ่งเจี๋ยหมุนวนพลังภายใน เพื่อลดความเหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย

พื้นที่ตรงนี้กว้างใหญ่มาก อย่างน้อยที่สุดก็คงจะมากกว่า 10 ตารางกิโลเมตร ซึ่งใหญ่กว่าเมืองซานไห่สมัยเมืองขนาดเล็กเสียอีก มีน้ำตกไหลลงมาจากยอดเขา ก่อให้เกิดเป็นทะเลสาบขนาดเล็กที่ขอบของพื้นที่ น้ำที่ไหลลงมายังก่อให้เกิดละอองน้ำ เมื่อมันสะท้อนแสงอาทิตย์ ก็เกิดเป็นสายรุ้งที่งดงาม

ข้างๆทะเลสาบเป็นต้นไม้เก่าแก่ และบนกิ่งของมันก็มีนกที่ไม่รู้จักบินอยู่รอบๆ เมื่อเห็นโอหยางโชวและคนอื่นๆ พวกมันไม่ได้หวาดกลัวและยังบินลงมาจากบนต้นไป วนรอบๆหัวของพวกเขา พร้อมกับส่งเจียงร้องเจี๊ยบๆ

ซ่งเจี๋ยตกหลุมรักสถานที่แห่งนี้ในทันที เธอพึมพำออกมาว่า “มันสวยมากเลย!”

โอหยางโชวมองไปรอบๆ และพบว่าที่นี่ไม่มีไม้ บนพื้นที่แห่งนี้มีแหล่งน้ำที่สามารถปลูกพืชได้ แต่เพียงแต่ส่งธัญพืชมาให้ทันเวลาก็เพียงพอแล้ว ในฐานะผู้เล่น การขนส่งธัญพืชเป็นเรื่องที่ง่ายมาก

“เจี๋ยเจี๋ย พรุ่งนี้เจ้าพาเสี่ยวเยว่มาที่นี่ซิ นางเป็นที่ปรึกษาด้านสถาปัตยกรรม เจ้าสามารถขอให้นางออกแบบสิ่งก่อสร้างต่างๆของนิกาย รวมถึงถนนที่จะลงจากภูเขาไปยังเมืองด้วย เมื่อเขียนแบบแปลนเสร็จแล้ว ข้าจะให้ฝ่ายก่อสร้างมาก่อสร้างมันให้เอง”

เมื่อได้ยินว่าโอหยางโชวได้วางแผนต่างๆไว้ให้กับเธอแล้ว ซ่งเจี๋ยก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข “คนโง่ ท่านเป็นคนที่ดีที่สุดจริงๆ”

“โอเค ผู้นำนิกายซ่ง ตั้งชื่อให้นิกายของเจ้าซิ”

“โอ้” ซ่งเจี๋ยรู้สึกตื่นเต้นในทันที “คนโง่ ทำไมเราไม่ตั้งชื่อมันว่า นิกายกระบี่แห่งความฝันล่ะ?”

โอหยางโชวปวดหัว “ชื่อของเจ้าคือ เจี๋ยฉีรู่เมิ่ง อาคารที่เจ้าอาศัยอยู่ก็ชื่อศาลาแห่งความฝัน และตอนนี้ เจ้ายังต้องการตั้งชื่อนิกายว่า นิการกระบี่แห่งความฝัน? มันไม่ดูจำเจไปหน่อยหรือ”

ซ่งเจี๋ยขุ่นเคือง “หื้ม ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ช่วยข้าตั้งชื่อให้มันได้หรือไม่?”

การตั้งชื่อไม่ใช่เรื่องยากสำหรับโอหยางโชว เขาคิดออกมาได้ 1 ชื่อ ก่อนจะกล่าวออกไป “มันตั้งอยู่บนยอดเขาโดดเดี่ยวทางตะวันออกของเมืองซานไห่ ทำไมเราไม่ตั้งชื่อมันว่า ‘นิกายกระบี่ตงหลี่’ ล่ะ เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง?”

ซ่งเจี๋ยกล่าวตอบในทันทีว่า “คนโง่ ข้าไม่อยากจะบอกเลยว่าเจ้ามีพรสวรรค์มาก เอาล่ะ เอาตามที่เจ้าว่าก็ได้ ชื่อของมันจะเป็น ‘นิการกระบี่ตงหลี่’”

เมื่อเห็นว่าใกล้เที่ยงแล้ว พวกเขาก็เลือกที่จะทานอาหารกันบนภูเขา ทหารองครักษ์ทำความสะอาดกระต่ายป่าที่ทะเลสาบ แล้วเริ่มก่อไฟเพื่อทำบาร์บีคิว

โอหยางโชวซึ่งเคยเป็นผู้เล่นนักผจญภัยในชีวิตที่แล้ว มักจะทานอาหารในเขตทุรกันดาร และกระต่ายป่าก็เป็นเนื้อทั่วๆไป เขาแสดงทักษะของเขาให้ซ่งเจี๋ยได้เห็น โดยย่างกระต่ายให้กรอบนอกและนุ่มใน

เมื่อได้ทานเนื้อกระต่ายป่าที่แสนอร่อย ซ่งเจี๋ยก็๋อดไม่ได้ที่จะชื่นชมเขา หลังจากทหารองครักษ์ทั้ง 4 เก็บกวาดทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาก็ลงจากภูเขา

กว่าพวกเขาจะกลับมาถึงคฤหาสน์ของลอร์ด เวลาก็ล่วงเลยมาถึง 16.00 น. แล้ว

หลังจากผ่านไป 2 วัน ได้มีคนมากมายมาลงทะเบียนที่คฤหาสน์ของลอร์ด ฉีสือบันทึกรายชื่อของพวกเขาทั้งหมด และประกาศออกไปว่า ในวันที่ 1 ของเดือนที่ 9 จะมีการทดสอบในคฤหาสน์ของลอร์ด

ในขณะที่ทานอาหารค่ำ ขุ่ยหยิงหยูก็กล่าวออกมาว่า “พี่ใหญ่ เอ้อหว้าฉีบอกข้าว่า เขาต้องการจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ และไม่อยากไปโรงเรียน เขาขอร้องให้ข้าช่วยพูดกับท่านในเรื่องนี้ ท่านคิดเช่นไร?”

เอ้อหว้าฉีเคยอยู่รอบๆตัวเขาในช่วงต้นเกมส์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ขุ่ยหยิงหยูก็ได้เป็นผู้ปกครองของเขา และเมื่อเขาถูกส่งไปโรงเรียน อาหารและส่งต่างๆของเขาก็ได้ถูกจัดการโดยขุ่ยหยิงหยู

อย่างไรก็ตาม เอ้อหว้าฉีก็ยังคงถือว่าเป้นสมาชิกในคฤหาสน์ของลอร์ด ในระหว่างการลงทะเบียนของฝ่ายทะเบียน เขาไม่ได้ถูกมอบหมายให้เป็นเกษตรกร ยังคงถูกเก็บไว้สำหรับคฤหาสน์ของลอร์ด ตอนนี้ เอ้อหว้าฉีต้องการจะออกจากโรงเรียน เพื่อเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ เขาจึงต้องขออนุญาติจากโอหยางโชวก่อน

โอหยางโชวพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าหลังจากผ่านไปครึ่งปี ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ได้อะไรจากโรงเรียนเลย อย่างน้อยเข้าก็เรียนรู้เรื่องมารยาทการของอนุญาติ

โอหยางโชวเห็นใจเขา และกล่าวกับขุ่ยหยิงหยูว่า “เมื่อเขาต้องการเช่นนั้น ข้าก็จะไม่หยุดเขา อนุญาติให้เขาไปอยู่ภายใต้การดูแลของเจี๋ยเจี๋ย และให้เขาเป็นศิษย์หลัก” โอหยางโชวมองไปที่ซ่งเจี๋ย เพื่อขอความเห็นจากเธอ เธอพยักหน้าตอบรับ แน่นอนว่าเธอย่อมตอบรับคำขอของเขา

เมื่อเห็นว่าโอหยางโชวอนุญาติ ปานเซี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างก็แสดงความรู้สึกแปลกๆบนใบหน้าของเธอ

ขุ่ยหยิงหยูดูแลเอ้อหว้าฉีดุจเป็นน้องชายแท้ๆของเธอ หลังได้ยินว่าเขาได้รับการวางแผนที่ดี เธอจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีพื้นฐานด้านศิลปะการต่อสู้ แต่เธอก็รู้ความแตกต่างระหว่างศิษย์หลักและศิกษย์ทั่วไป ศิษย์หลักเป็นทุกอย่าง และเป็นผู้สืบทอดของนิกาย ข้อกำหนดในการคัดเลือกจึงเข้มงวดมาก

โอหยางโชวกล่าวต่อว่า “เด็กนั่นเองก็อาจถือได้ว่าเป็นครอบครัวของพวกเราเช่นกัน เมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราคงไม่สามารถเรียกเขาว่าเอ้อหว้าฉีได้อีก เราควรจะมอบชื่อที่เหมาะสมให้กับเขา หยูเอ๋อ เจ้าและเขาสนิทสนมกันดุจพี่สาวและน้องชาย ข้าจะให้เจ้าเป็นคนตั้งชื่อให้กับเขา”

“อื้อ” ขุ่ยหยิงหยูพยักหน้าตอบรับ

แฟนเพจ : TWOแปลไทย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด