ตอนที่ 292 - เจ็ดทองแท่ง
ตอนที่ 292 - เจ็ดทองแท่ง
สือเหล่ยมีโอกาสเพียงสองครั้งต่อเดือนในการใช้บัตรวาดภาพ และมันก็มีระยะเวลาหนึ่งชั่วโมงต่อครั้ง นั่นหมายความว่าเขาสามารถใช้บัตรภาพวาดและถูกสิงสู่โดยจิตรกรชั้นปรมาจารย์ได้เป็นเวลา 2 ชั่วโมงต่อเดือน
แน่นอนว่าเขาจะไม่ใช่มันในทันที เพราะเขาต้องใช้มันก่อนหนึ่งชั่วโมง
เว่ยชิงเยว่ยืนอยู่ไม่ไกลจากห้องน้ำเพื่อรอเขาหลังจากที่เขาเดินออกมา
เว่ยชิงเยว่ควงแขนสือเหล่ยด้วยความเคยชินเมื่อเขากลับมาและถามติดตลก "นายล้างมือรึยัง?"
สือเหล่ยดึงแขนออกมาด้วยอาการแกล้งทำเป็นรังเกียจและตอบกลับไปอย่างจริงจัง "ไม่"
เว่ยชิงเยว่หัวเราะก่อนที่จะควงแขนเขา สือเหล่ยถึงกับหมดคำพูด
พวกเขาเดินผ่านทางเดิน หญิงสาวสองคนในชุดกี่เผ้ากำลังยืนอยู่หน้าห้องจัดแสดงเพื่อทักทายแขก
เว่ยชิงเยว่นำสือเหล่ยไป เมื่อพวกเขาเดินเข้าไป หญิงสาวทั้งคู่ก็โค้งตัวเล็กน้อยและทักทายพวกเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "ยินดีต้อนรับค่ะ"
สือเหล่ยพยักหน้าให้และมองไปข้างหน้า ฉากกันบังหลายอันในห้องจัดแสดงถูกสร้างขึ้นไว้บนกำแพงซึ่งแยกห้องออกเป็นพื้นที่ขนาดเดียวกันหลายๆส่วน
มันมีโต๊ะยาวอยู่ตรงหน้า ซึ่งถูกคลุมไว้ด้วยผ้าปูโต๊ะสีขาว มีกล่องผ้าสี่เหลี่ยมถูกตั้งไว้ข้างบน
แม้ว่าสือเหล่ยจะไม่ได้มีความรู้ด้านศิลปะมากนัก แต่เขาก็รู้ว่ากล่องผ้าเหล่านี้ถูกใช้เพื่อเก็บภาพวาดเอาไว้
หยานวี่ยืนอยู่ข้างโต๊ะด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าของเธอในขณะที่เธอพยักหน้าทักทายแขกทุกๆคนที่เดินผ่านมา
มันมีโต๊ะสี่เหลี่ยมตั้งไว้ที่ข้างของโถงจัดแสดงพร้อมด้วยชาและเครื่องดื่มอื่นๆ
เว่ยชิงเยว่คว้าแขนสือเหล่ยและลากเขาไปที่ด้านหน้าของโต๊ะยาว เมื่อเขาเดินผ่านฉาก เขาก็เห็นภาพวาดบางส่วนถูกแขวนไว้บนผนัง นอกจากนั้นยังมีของโบราณจำพวกภาชนะต่างๆถูกตั้งไว้บนผนัง พร้อมกับมีกระจกครอบไว้อีกชั้น เห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นของเก่าที่มีคุณค่า
"พี่นวี่ ผู้อาวุโสไป่มารึยัง?" เว่ยชิงเยว่ถามพร้อมกับกอดแขนสือเหล่ย
เฉินหยานวี่พยักหน้าและทำท่าทางด้วยมือของเธอ มันไม่ใช่ภาษามือ แต่เป็นท่าทำมือง่ายๆที่แม้แต่สือเหล่ยก็เข้าใจได้ เธอบอกว่าผู้อาวุโสไป่มาถึงแล้ว แต่เขากำลังคุยกับเพื่อนอยู่และจะเข้ามาในไม่ช้า
"นี่เป็นงานศิลปะอื่นๆที่จัดแสดงไว้นอกเหนือจากสำเนาผลงานของซานเซิ่งจูเหรอ?" เว่ยชิงเยว่ก้มหัวลงและมองไปที่โต๊ะยาว สือเหล่ยก็สังเกตเห็นว่ามีแผ่นกระดาษอยู่ใต้กล่องผ้า แต่ละแผ่นเป็นชื่อของงานศิลปะและจิตรกร
มันมีเพียงแค่หกกล่องเท่านั้น สือเหล่ยเหลือบมองไปที่แผ่นป้าย นอกจากชื่อ "สืออัน" ที่เขาคุ้นอยู่บ้าง เขาก็ไม่เคยได้ยินชื่ออื่นเลย
เว่ยชิงเยว่มองไปที่สือเหล่ยและเห็นว่าเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอไม่สามารถบอกได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
สือเหล่ยจู่ๆก็ยิ้มออกมาราวกับว่าเขาเข้าใจอะไรบางอย่างและพึมพำบางสิ่งภายใต้ลมหายใจของเขา
“อะไรเหรอ? มีอันที่นายชอบจากทั้งหกอันนี้เหรอ?” เว่ยชิงเยว่ถาม
สือเหล่ยคิด 'ใช่แล้ว เหมือนว่าฉันชอบภาพวาดงั้นเหรอ ฉันแค่นึกขึ้นมาได้ว่าสืออันคือชื่อเล่นของหลิวหลู่กัว ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันฟังดูคุ้นๆ'
ตอนแรก เขาคิดว่าเขาคุ้นๆมันเพราะเขาและจิตรกรมีแซ่เดียวกัน แต่จู่ๆเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาเคยได้เห็นชื่อของจิตรกรคนนี้มาก่อน
"ฉันไม่เข้าใจของพวกนี้หรอก ดังนั้นจึงทั้งไม่มีความชอบหรือความไม่ชอบ ฉันก็แค่นึกได้ว่าสืออันเป็นใคร"
เว่ยชิงเยว่กรอกตาของเธอและไม่รู้ว่าจะเชื่อเขาดีไหม แม้ว่าภาพวาดเหล่านี้จะไม่ได้เป็นของจิตรกรชั้นยอด แต่พวกมันก็ยังเป็นของจิตรกรที่มีชื่อเสียงซึ่งเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เมื่อสือเหล่ยบอกว่าเขาแค่รู้สึกสืออัน เว่ยชิงเยว่จึงไม่รู้ว่าเธอควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เมื่อเธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา ห้องจัดแสดงที่เงียบ จู่ๆก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมา เฉินหยานวี่เดินไปรอบๆโต๊ะในขณะที่เธอมองไปที่ประตูด้วยรอยยิ้ม
เสียงของผู้คนเรียกชายคนนั้นด้วยความสุภาพว่า "ผู้อาวุโสไป่" ดังมาถึงหูพวกเขา เว่ยชิงเยว่หันไปทางประตูด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอและคว้าตัวสือเหล่ยไปที่ประตู
สือเหล่ยมองตามเธอและเห็นชายชราสวมเสื้อผ้าในสไตล์ราชวงศ์ถุงพร้อมกับมีไม้เท้าสั้นที่มีหัวเป็นมองการอยู่ในมือขวาและมีลูกแก้วขนาดเล็กสีแดงเข้มอยู่ในมือซ้ายของเขา เขชายคนนั้นยิ้มให้กับผู้คนต่างๆ
"ผู้อาวุโสไป่" เว่ยชิงเยว่ลากสือเหล่ยเข้าไปหาและทักทายชายชรา
ผู้อาวุโสไป่ยิ้มเล็กน้อย ริ้วรอยของเขาเหมือนจะแสดงให้เห็นถึงสติปัญญาของเขา
"เธอมาด้วยเหรอ? ฉันจะให้ความเห็นเกี่ยวกับภาพวาดของฉันกับเธอในภายหลังละกัน" หลังจากพูดเช่นนั้น สายตาของผู้อาวุโสไปก็มองไปที่สือเหล่ย
สือเหล่ยโค้งคำนับให้กับผู้อาวุโสด้วยความสุภาพ "สวัสดีครับ ผู้อาวุโสไป่ ผมชื่อสือเหล่ย ผมเป็นเพื่อนกับเว่ยชิงเยว่"
เว่ยชิงเยว่รีบช่วยสือเหล่ยแนะนำตัวอย่างรวดเร็ว "ผู้อาวุโสไป่คะ เขาเป็นเพื่อนสนิทของฉัน ดังนั้นฉันจึงพาเขามาเปิดหูเปิดตา"
ผู้อาวุโสไป่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม "สวัสดีสหาย หยานวี่พูดถึงนายก่อนหน้านี้ว่านายมีสัมผัสที่ยอมเยี่ยม ดูเหมือนว่าฉันจะใช้โชคของหยานวี่เพื่อรับภาพนี้มา"
"ผมก็พูดไปทั่วแค่นั้นแหละครับ" สือเหล่ยรีบตอบ
"ฮ่าฮ่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทุกๆสิ่งล้วนถูกกำหนดไว้โดยโชคชะตาหมดแล้ว ฉันเองก็คิดว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับที่พ่อหนุ่มพูดเหมือนกัน" ผู้อาวุโสไป่มองไปที่ผู้คนที่อยากจะเข้ามาทักทายเขาและก็อยากไม่จะรบกวนการสนทนาของเขากับเว่ยชิงเยว่และสือเหล่ย "ชิงเยว่และสหายน้อยของฉัน ลองไปหาอะไรดูกันก่อน ฉันต้องทักทายแขกทุกคนในวันนี้ก่อนที่ฉันจะทำเช่นนั้นได้ เราสามารถเริ่มการชมภาพวาดได้ในอีกประมาณ 10 นาที"
เว่ยชิงเยว่พยักหน้า "จัดการธุระของผู้อาวุโสก่อนได้เลยค่ะ"
พวกเขาเดินเข้าและออกจากพื้นที่ต่างๆ เห็นได้ชัดว่าเว่ยชิงเยว่คุ้นเคยกับงานศิลปะมากๆ เนื่องจากเธอไม่ได้มองดูพวกมันใกล้ๆเลย สือเหล่ยไม่ได้มองไปที่พวกมันอย่างจริงจังเช่นกันเพราะเขาไม่ได้เข้าใจอะไรเลย เขายืนอยู่หน้าภาพวาดของฉีไป่สือและแค่พักอยู่ที่นั่นสักพัก อืม คนอย่างสือเหล่ยที่ไม่ได้รู้อะไรในเรื่องศิลปะรู้จักเพียงแค่ฉีไป่สือเท่านั้น กุ้งของฉีไป่สือมีชื่อเสียง แต่สือเหล่ยก็ไม่เข้าใจถึงรูปร่างของมัน แม้หลังจากมองอยู่เป็นเวลานานแล้วก็ตาม เขาเพียงแค่นับจำนวนกุ้งอย่างเงียบๆ เขาเคยได้ยินเรื่องเล่าว่ากุ้งๆทุกตัวที่ฉีไป่สือวาดสามารถเปลี่ยนเป็นปลาสีเหลืองตัวเล็กๆได้ในเวลาเดียวกัน เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่ปลาสีเหลืองจริงๆ แต่เป็นแท่งทอง
เว่ยชิงเยว่กำลังจะพูดขึ้นมาเมื่อเธอเห็นว่าสือเหล่ยเหมือนจะถูกภาพวาดดึงดูด จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงพึมพำของสือเหล่ย
"ทองแท่งเจ็ดอัน!" สือเหล่ยอุทานออกมาด้วยเสียงนุ่ม
เว่ยชิงเยว่รู้สึกหน้ามืดในทันใด ภาพวาดศิลปะมันจะกลายเป็นของแบบนั้นไปได้ยังไง?
มีคนเริ่มมารวมตัวกัน ทุกๆคนเดินมายังโต๊ะยาว
ผู้อาวุโสไป่พูดออกมาสองสามคำซึ่งเป็นคำทักทายตามปกติและการต้อนรับอย่างสุภาพ จากนั้นเขาก็เริ่มนำเสนอภาพวาดหกภาพบนโต๊ะ สำหรับภาพสำเนาของซานเซิ่งโจว ผู้อาวุโสไป่จะนำมันออกมาในภายหลัง หลังจากที่ทุกคนได้เห็นภาพทั้งหกแล้ว