บทที่ 130 พบแพะอ้วนอีกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นการหลอมกลั่นโอสถหรือหลอมสร้างยุทธภัณฑ์ ก็ล้วนแล้วแต่มีความเสี่ยง ความเสี่ยงยังไม่ได้จำกัดแค่ความเสี่ยงที่จะล้มเหลว แต่ยังหมายถึงการเป็นอันตรายอีกด้วย!
พลังปราณเหือดแห้ง วิญญาณฉีกขาด พลังปราณไหลย้อนกลับ ถูกพิษร้าย...
สถานเบาที่สุดคืออาการบาดเจ็บสาหัสทางกาย สถานหนักที่สุดถึงขั้นดวงวิญญาณดับสลาย หากผู้ใดฝืนกระทำบางอย่างที่ไกลเกินกว่าขอบเขตความสามารถของตน ความเสี่ยงอันตรายเหล่านี้จะทวีคูณขึ้นอีกหลายต่อหลายเท่า
สัตว์อสูรที่ต้องใช้ผู้ฝึกตนในการสังหาร พืชหญ้าปราณหรือสมุนไพรปราณที่มีชีวิตมาหลายร้อยหลายพันปี พวกมันยังจะปล่อยให้ผู้คนเชือดเฉือนตามใจชอบหรือ? สิ่งมีชีวิตทั้งมวลในโลกแห่งธรรมชาติมีขีดความสามารถในการป้องกันตัวเอง บรรดาชีวิตที่ดูเหมือนอ่อนแอเหล่านั้น ในร่างกายที่อ่อนแอกลับแอบซ่อนอันตรายและความอำมหิต อาจนำไปสู่ความตายได้อย่างง่ายดาย
จริงอยู่จั่วม่อมักกระทำบางสิ่งที่เสี่ยงภัย แต่โดยเนื้อแท้แล้ว มันเป็นคนระมัดระวังจนแทบเรียกได้ว่าหวาดระแวง เพียงแต่มันยากจนเกินไป ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากการเสี่ยงภัย กับซิวเจ่อชั้นต่ำเยี่ยงมัน หากไม่เดิมพันชีวิต พวกมันยังจะมีสิ่งใดให้เดิมพันอีก?
แต่ตอนนี้ ความต้องการของมัน และเงื่อนไขที่ผู้อื่นเสนอมา ยังไม่ถึงจุดที่มันต้องเสี่ยง
“ขออภัยด้วย เวลานี้ข้ายุ่งมาก” จั่วม่อปฏิเสธด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
“พี่จั่ว” ทันใดนั้นเสียงที่คุ้นหูอยู่บ้างดังมาจากด้านหลังมัน จั่วม่อชะงัก หมุนตัวกลับไปมอง ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด บุรุษชุดขาวยืนอยู่เบื้องหลังของมัน รูปโฉมของของคนผู้นี้คลับคล้ายคุ้นตาอยู่บ้าง มันเคยเห็นที่ใด?
ฮะ นี่ไม่ใช่หลินเชียนผู้นั้นหรอกหรือ? จั่วม่อนึกออกทันทีว่าเคยเห็นคนผู้นี้ที่ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุรุษที่หล่อเหลาเทียบเท่าผูเยานั้นมีไม่มากนัก
นี่มันคุณชายร่ำรวย พี่ชายแพะอ้วนผู้นั้นไม่ใช่หรือ? คนผู้นี้ยังไม่ไปจากตงฝูอีก?
“หลินเชียน เจ้ายังไม่จากไปหรอกหรือ?” จั่วม่อมีความรู้สึกที่ดีต่อคุณชายหน้าหยกนี้ไม่น้อย ได้พบมันอีกครั้ง อดยินดีไม่ได้
“ฮ่าฮ่า งานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่น่าสนใจถึงเพียงนี้ หากข้าจากไปก่อน ไยมิใช่พลาดชมการสำแดงฝีมืออันน่าประทับใจของพี่จั่ว เช่นนั้นข้าคงต้องเสียใจไปชั่วชีวิตแล้ว” หลินเชียนกล่าวอย่างยิ้มแย้ม สุ้มเสียงของมันสุภาพอ่อนโยน ช่วยย่นระยะห่างระหว่างพวกมันทั้งสองไม่น้อย
ฟังหลินเชียนกล่าวเช่นนี้ จั่วม่อกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง รีบกล่าวถ่อมตนว่า “ข้าเพียงโชคดีเท่านั้น” ความรอบรู้ของหลินเชียนเหนือล้ำกว่ามันมาก ถึงแม้ว่ากลอุบายเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะดูฉลาด แต่ยังขึ้นอยู่กับว่าผู้คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าเป็นผู้ใด
อย่างไรก็ตาม ใบหน้าผีดิบของจั่วม่อไม่สามารถเปลี่ยนสีหน้าได้
“โชคดีก็นับเป็นพลังชนิดหนึ่ง” หลินเชียนหัวร่ออย่างเปิดเผย จากนั้นหันไปทางคนสวมหมวกแพรดำ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่คิดว่าจะพบศิษย์น้องหญิงซู่ที่นี่ ฝากคารวะจากข้าไปยังเหวินซ่านเหริน ซือฟู่ของเจ้าด้วย”
“เจ้าเป็นใคร?” ซู่ถามเสียงเย็นเยียบ ดวงตาน้ำแข็งสาดประกายลอดม่านตาข่ายแพรดำที่ปิดบังใบหน้า อาภรณ์บางเบาพลิ้วสะบัดโดยไม่มีลม ราวกับว่านางพร้อมจะจู่โจมได้ทุกขณะ จู่ๆ ก็ถูกเอ่ยนามโดยคนแปลกหน้าผู้หนึ่ง ความตื่นตระหนกและโกรธกริ้วของนางเป็นที่คาดคิดได้ เหล่าเสมียนร้านค้าใบหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
จั่วม่อเพียงรู้สึกว่าอุณหภูมิรอบข้างลดวูบ ในใจแตกตื่นไม่น้อย ซู่ผู้ลึกลับอยู่แล้วในสายตามัน กลับกลายเป็นลี้ลับและร้ายกาจมากขึ้น
ที่แท้มันไม่ใช่บุรุษ แต่เป็นสตรีผู้หนึ่ง วิธีการที่นางใช้ปกปิดตัวตนนับว่าร้ายกาจไม่น้อย
หลินเชียนกลับไม่สะทกสะท้าน แย้มยิ้มพลางกล่าว “ศิษย์น้องหญิงไม่เคยพบข้ามาก่อน ย่อมไม่รู้จักข้าเป็นธรรมดา”
มันคล้ายไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้นัก หันไปกล่าวยิ้มๆ กับจั่วม่อแทน “พี่จั่ว ไฉนเจ้าไม่สนใจเงื่อนไขของศิษย์น้องหญิงซู่? เท่าที่ข้าทราบมา นอกจากรางวัลแล้ว หากสามารถเข้าเป็นสิบลำดับแรก ศิษย์ของเมืองตงฝูอย่างเจ้า ยังจะได้รับผลประโยชน์อื่นๆ อีกด้วย”
“ผลประโยชน์อื่น?” จั่วม่อชะงัก เกาศีรษะแกรกกราก “ไฉนข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้?”
“ฮ่าฮ่า ความลับสวรรค์มิอาจแพร่งพราย” หลินเชียนหัวร่อ
“แม้ว่าจะได้รับประโยชน์อันยิ่งใหญ่ แต่ผู้คนยังต้องมีชีวิตอยู่จึงจะสามารถเพลิดเพลินกับมันได้” จั่วม่อยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ การหลอมสร้างแม่เหล็กเย็นระดับสี่มันในตอนนี้แทบจะไม่สามารถทำได้ ไหนจะต้องสลักค่ายกลลงบนชิ้นส่วนกระบี่แต่ละชิ้น ทั้งยังต้องใช้คลื่นอาสัญจันทร์ทรงกลดในกระบวนการนี้ด้วย สิ่งเหล่านี้เกินความสามารถของมันไปไกลโข พวกมันสองคนนับว่ารู้จักกันมาก่อน ดังนั้นจั่วม่อกล่าวไม่เกรงอกเกรงใจกว่าเดิม
หลินเชียนคล้ายชมชอบท่าทีไม่เกรงอกเกรงใจของจั่วม่อ ได้ยินมันหัวร่อ ย้อนถามว่า “พี่จั่วไม่มีความมั่นใจหรือ?”
ขณะที่จั่วม่อกับหลินเชียนสนทนากัน ซู่ก็เงียบงันไป นางไม่ได้โง่เง่า สามารถเห็นได้ว่าหลินเชียนกำลังช่วยเหลือนาง จากข้อนี้ก็พอจะมองออกว่าหลินเชียนไม่ได้มีเจตนาร้าย
จั่วม่อหัวร่อฮิฮะ “จะอย่างไรก็ไม่มีทาง ไม่ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงแล้ว ข้าเพียงอยู่ในด่านจู้จีเท่านั้น รอจนข้าสามารถผ่านเข้าไปยังด่านหนิงม่ายเสียก่อน ค่อยมาเสาะหาข้าอีกครั้ง ตราบเท่าที่ราคาเหมาะสม รับรองว่าไม่มีปัญหา”
ผ้าแพรตาข่ายดำของซู่สั่นไหว รอจนจั่วม่อเข้าสู่ด่านหนิงม่าย นั่นนางต้องรออีกนานเท่าใด? มรรคาแห่งการบำเพ็ญเพียรมีความไม่แน่นอนมากเกินไป ไม่มีผู้ใดสามารถรับประกันได้ว่าจะไปถึงขอบเขตด่านหนึ่งในช่วงระยะเวลาที่แน่นอน ในขั้นตอนการบำเพ็ญเพียร มีเงื่อนไขที่แปลกประหลาดมากมายเกินไป แม้แต่อัจฉริยะชั้นยอดยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงหลักการข้อนี้ได้
“ที่แท้พี่จั่วกังวลเรื่องนี้ ที่จริงข้าพอจะมีหนทางแก้ไขอยู่” หลินเชียนกล่าวเสียงหนัก
“ลองบอกมาฟังดู” จั่วม่อกล่าว หลินเชียนอาจมีความรอบรู้กว้างใหญ่ไพศาล แต่ปัญหาเรื่องพลังบำเพ็ญเพียรไม่ใช่สิ่งที่สามารถแก้ไขได้โดยง่าย
“จิตสำนึกของพี่จั่วแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ไฉนไม่ลองพิจารณาค่ายกลเพลิงสี่หวน ก่อตั้งเป็นสองห่วงโซ่ดูบ้าง?”
วาจาของหลินเชียนไม่ผิดอันใดกับสายฟ้าฟาดข้ามท้องนภา ราวกับมีคนร่ายเวทวิชาอัมพาตตรึงร่างจั่วม่อ มันชะงักค้าง ไม่ไหวติง
“ค่ายกลเพลิงสี่หวนสองห่วงโซ่ ... ค่ายกลเพลิงสี่หวน...สองห่วงโซ่...”
จั่วม่อดวงตาเลื่อนลอย ประหนึ่งกลายเป็นสติฟั่นเฟือนขึ้นมาอย่างฉับพลัน เอาแต่รำพึงพึมพำกับตัวเอง มันนั่งลงบนพื้น จิงสือจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ เริ่มก่อตั้งค่ายกลบนพื้น
หลินเชียนโบกมือไปยังหนึ่งในเสมียนร้าน เสมียนผู้นั้นเข้าใจทันที และรีบวิ่งไปปิดประตูร้าน ซู่เหลือบมองหลินเชียนอย่างตกใจอยู่บ้าง แต่ยังคงรักษาความเงียบของนางไว้ นางย่อมทราบว่าจั่วม่อตกอยู่ในห้วงการรู้แจ้งอันศักดิ์สิทธิ์ การรู้แจ้งอันศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สภาวะที่สามารถประสบพบเจอได้ด้วยฝีมือ ได้แต่พบพานด้วยความโชคดีเท่านั้น หากถูกขัดจังหวะ ก็ยากที่จะเข้าสู่ภาวะผิดปกติอันยอดเยี่ยมนี้อีกครา
หลินเชียนจู่ๆ กวักมือเรียกนาง แล้วหมุนตัวเดินออกไปยังห้องอื่น
ซู่ลังเลแวบหนึ่ง แต่ยังคงติดตามมันไป
ครั้นเมื่อซู่เดินเข้าไปในห้อง แสงไฟในห้องกระพริบอย่างกะทันหัน เสียงจากด้านนอกห้องก็หายไปอย่างฉับพลัน นางแตกตื่นจนขวัญหาย พลังบำเพ็ญเพียรของบุรุษตรงหน้านาง ไม่ทราบว่าลึกล้ำถึงเพียงไหน
“ศิษย์น้องหญิงซู่ไม่ต้องวิตก นี่เป็นเพียงอาคมหวงห้ามที่ใช้ปิดกั้นเสียง” หลินเชียนกล่าวพลางแย้มยิ้ม “ศิษย์น้องหญิงยังคงสงสัยในตัวตนของข้าใช่หรือไม่?” กล่าวจบก็นำป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมา “ศิษย์น้องหญิงรู้จักของสิ่งนี้หรือไม่?”
ซู่เพ่งพิศป้ายหยกในมือหลินเชียน จากนั้นสะท้านขึ้นทั้งร่าง ไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นไว้ได้อีกต่อไป “ป้ายหยกหัวใจทะเลสาบ!”
หลินเชียนแย้มยิ้มอีกครา ยื่นป้ายหยกในมือให้แก่ซู่อย่างใจกว้าง
ซู่รับป้ายหยกมาส่องดู ทะเลสาบเล็กๆ อันงดงามบนป้ายหยกดุจดั่งมีชีวิต แปรเปลี่ยนเป็นครั้งคราว บางครั้งลมจะพัดพาจนเกิดระลอก บางคราวก็ราบเรียบประหนึ่งผิวกระจก จากป้ายหยกสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่คุ้นเคยและอาคมหวงห้ามพิเศษเฉพาะของสำนักของนาง นางตระหนักในทันทีว่าป้ายหยกที่ถืออยู่ เป็นตราสัญลักษณ์ของสำนัก ป้ายหยกหัวใจทะเลสาบ!
แต่นางไม่เคยได้ยินว่าผู้อาวุโสคนใดในสำนักยังมีศิษย์อื่นที่นางไม่รู้จัก ทว่าป้ายหยกหัวใจทะเลสาบนี้ก็เป็นของจริงไม่แปลกปลอม! ผู้ที่ครอบครองป้ายหยกหัวใจทะเลสาบเป็นเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดในสำนัก ซือฟู่ของนาง เหวินซ่านเหริน ก็มีอยู่หนึ่งป้าย แต่กระทั่งศิษย์ลำดับต้นๆ ของสำนักเช่นนางกับกู่หรงผิง ยังไม่มีสิทธิ์ครอบครองป้ายหยกหัวใจทะเลสาบนี้ ในสำนักยังมีกฎข้อหนึ่ง เห็นหยกเท่ากับเห็นซ่านเหริน
นางประสานมือ ค้อมกายคารวะอีกครั้ง “อาจารย์อา!”
“ศิษย์น้องหญิงไม่ต้องเกรงใจ” หลินเชียนคารวะตอบ พลางกล่าว “ศิษย์น้องหญิงกับข้าอายุไล่เลี่ยกัน เรียกศิษย์พี่ศิษย์น้องจะดีกว่า ข้ายังไม่เคยกลับไปที่สำนัก ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองไป คำเรียกอาจารย์อานี้ยังไม่สามารถกล่าวถึงได้”
ซู่ไม่รู้ว่าจะกล่าวกระไร จึงรักษาความเงียบของนางต่อไป ในใจยังคงตื่นตระหนกไม่คลาย นับตั้งแต่ศิษย์พี่หลินปรากฏกายขึ้น จนกระทั่งถึงตอนนี้ นางยังมองไม่เห็นพลังฝีมือที่แท้จริงของศิษย์พี่ ยิ่งเพ่งมองมากเท่าใด นางก็ยิ่งตะลึงลานมากเท่านั้น นี่แสดงให้เห็นว่าระดับพลังบำเพ็ญเพียรของศิษย์พี่หลิน สูงส่งกว่านางไม่ต่ำกว่าสองขั้น
ไม่ทราบว่าเป็นผู้อาวุโสท่านใด ฝึกอบรมศิษย์ที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ออกมา!
นางทันใดนั้นรู้สึกโชคดีที่ศิษย์พี่หลินเป็นศิษย์ของสำนักนาง! ไม่เช่นนั้น...
เหล่าเสมียนร้านพอเห็นแสงประกายวาบผ่านด้านนอกห้อง ก็พากันเบนสายตาไปทางอื่นอย่างรู้ความ
ครั้นเมื่อจั่วม่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบซู่กับหลินเชียนยืนรอคอยอยู่ในครรลองสายตาของมัน
“ยินดีด้วย พี่จั่ว!” หลินเชียนกล่าวยิ้มๆ “นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เส้นทางสู่ความมั่งคั่งของพี่จั่วกลายเป็นกว้างขวางกว่าเดิมแล้ว”
วาจาของหลินเชียนนี้ จั่วม่อผู้เพิ่งจะฟื้นสติพอฟังก็เบิกบานใจยิ่ง มันประสานมือคำนับ “นี่ต้องขอบคุณพี่หลินประทานให้ หากไม่มีคำชี้แนะของพี่หลิน ต่อให้ตายข้าก็ไม่สามารถคิดวิธีนี้ได้”
“นี่เป็นความสามารถของพี่จั่วเอง ข้าเพียงพูดจาเรื่อยเปื่อย ไม่ได้คาดหวังว่าพี่จั่วจะบรรลุเป้าหมายได้จริงๆ ทำเอาข้าประหลาดใจไม่น้อย” หลินเชียนสั่นศีรษะอย่างยิ้มแย้ม
จั่วม่อไม่ได้กล่าวต่อ มันก้มหน้าดื่มด่ำในสภาวะอันน่าอัศจรรย์ที่เพิ่งจะผ่านเข้ามา นี่เป็นสภาวะพิเศษเฉพาะที่ยากจะบ่งบอกบรรยาย ในเวลาเดียวกัน มันพบว่ายากจะจดจำสิ่งที่รู้แจ้งในสภาวะนั้น แต่มันรู้สึกเหมือนกระดาษหน้าต่างบางๆ ถูกเจาะ หลายเรื่องที่ไม่เคยสังเกตเห็น หลายจุดที่คลุมเครือไม่ชัดเจน เวลานี้ล้วนทะลุปรุโปร่ง เห็นชัดเจนยิ่งกว่าที่เคย
ความรู้สึกนี้ช่างยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง!
จั่วม่อยืนนิ่งอยู่กับที่ ค่อยๆ ดื่มด่ำอย่างช้าๆ จนกระทั่งจิตใจกลับมาสงบเยือกเย็น ค่อยเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
ในเวลานี้มันพลันพบว่า เวลาล่วงผ่านไปสองชั่วยามโดยที่มันไม่รู้ตัว มองไปยังเศษจิงสือที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น พลันรู้สึกอับอายมาก มันถึงกับทดลองค่ายกลในร้านค้าของผู้อื่น ทั้งยังไม่ถูกโยนออกไปนอกร้าน ร้านนี้ช่างไม่อินังขังขอบจริงๆ แต่พอเหลือบเห็นประตูร้านที่ปิดสนิท ในใจประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นเห็นหลินเชียนโบกมือให้สัญญาณเสมียนร้านไปเปิดประตู มันค่อยเข้าใจกระจ่าง
จั่วม่อยิ่งใคร่รู้ที่มาของหลินเชียนมากกว่าเดิม
จากวาจาของหลินเชียนที่ผ่านๆ มา จั่วม่อก็ทราบว่าแพะอ้วนตัวนี้แน่นอนว่ามีพื้นหลังสูงส่ง แต่มองจากตอนนี้ เกรงว่าอีกฝ่ายยังยิ่งใหญ่กว่าที่มันเคยจินตนาการไว้เสียอีก สังเกตเห็นท่าทางเคารพนอบน้อมที่เหล่าเสมียนร้านมีต่อหลินเชียน จั่วม่ออดคาดเดาไม่ได้ หลินเชียนใช่เป็นเจ้าของหอลอยร้อยวิเศษแห่งนี้หรือไม่? แต่ในตอนที่มันกับหลินเชียนพบกันเป็นครั้งแรก อีกฝ่ายมีท่าทางอย่างชัดเจนว่าไม่เคยมายังตงฝูมาก่อน
สังเกตเห็นสายตาของจั่วม่อ หลินเชียนหัวร่ออย่างใจเย็น กล่าวว่า “ตอนนี้พี่จั่วเห็นว่ามีโอกาสในการหลอมสร้างกระบี่ของศิษย์น้องหญิงซู่แล้วหรือไม่? หากพี่จั่วยินยอมตกลง เจดีย์ห้าสีองค์นี้ก็ยกให้แก่พี่จั่ว ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าตอบแทน และนอกเหนือไปจากที่ศิษย์น้องหญิงให้คำมั่นสัญญาไว้กับพี่จั่วแล้ว ข้าสามารถเพิ่มบางอย่างให้ได้อีก ต่อไปหากพี่จั่วมาที่นี่ สินค้าทุกชิ้นที่ซื้อจะได้รับส่วนลดยี่สิบส่วนจากร้อยส่วน เป็นอย่างไร คราวนี้พี่จั่วสามารถพอใจกับเงื่อนไขเหล่านี้ได้หรือไม่?”
เงื่อนไขที่ใจกว้างมาก! ไม่ต้องกล่าวถึงมูลค่าของเจดีย์ห้าสี เพียงแค่ส่วนลดยี่สิบส่วนจากร้อยส่วนก็มีค่ามหาศาลแล้ว
ในขณะที่ทุกคนคิดว่าเงื่อนไขเหล่านี้เพียงพอที่จะสร้างความหวั่นไหวใจให้แก่จั่วม่อ จั่วม่อกลับสั่นศีรษะ
“อ้อ หากพี่จั่วยังต้องการสิ่งอื่น ลองบอกมาฟังดูเป็นไร” หลินเชียนแสดงท่าทีวิงวอน
“ไม่ใช่เช่นนั้น ข้ารับทำการค้าครั้งนี้” จั่วม่อสร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้คนอีกครั้ง “สำหรับค่าตอบแทน พี่หลินได้จ่ายให้แก่ข้าเรียบร้อยแล้ว”
ขณะที่ทุกผู้คนมีสีหน้าโง่งม จั่วม่อชี้ไปยังเจดีย์ห้าสี “ส่วนเจดีย์ห้าสีนี้ข้าจะซื้อเอง”
จบคำมันก็นำจิงสือออกมา
ทุกผู้คนสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างพร้อมเพรียง ด้วยใบหน้าแข็งทื่อดุจผีดิบ กับพลังบำเพ็ญเพียรอันต่ำต้อย จั่วม่อในใจพวกมัน ทันใดนั้นกลายเป็นโอ่อ่าผ่าเผยอย่างบอกไม่ถูก เบื้องหลังผ้าแพรดำ ใบหน้าของซู่ทอแววประหลาด จั่วม่อคนที่อยู่ตรงหน้านาง กับจั่วม่อคนที่นางมีความรู้ความเข้าใจมาก่อนหน้านี้ ราวกับเป็นคนละคนกัน
จั่วม่อในเวลานี้ ไม่สามารถมองเห็นวี่แววความโลภหรือความร้ายกาจที่มันเคยแสดงออกมาแม้แต่น้อย
นี่คือรูปลักษณ์ที่แท้จริงของบุรุษหนุ่มผู้นี้หรือไม่? เป็นไปตามที่คาด ซือฟู่กล่าวไว้ไม่ผิด เจ้าไม่สามารถตัดสินผู้คนจากรูปลักษณ์ภายนอกของมัน
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอย่างเคลิบเคลิ้ม พลันได้ยินจั่วม่อรีบกล่าวเสริมอย่างเจ็บปวดใจว่า
“อย่าลืมส่วนลด!”