ตอนที่แล้วบทที่ 125 ท่าไม้ตายสุดยอด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 127 ทุกผู้คนล้วนมีปัญหา

บทที่ 126 สอบสวน


ตูม ตูม ตูม!

เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นโลก ลานประลองเปลี่ยนเป็นทะเลเพลิง

เปลวไฟสีแดงเข้มสูงหลายจั้ง ปะทุเต้นเร่า คู่ประลองทั้งสองถูกทะเลแห่งไฟท่วมทับ ไม่สามารถมองเห็นตัวแม้แต่น้อย

ทันใดนั้น ท่ามกลางทะเลเพลิง เกล็ดหิมะจำนวนหนึ่งล่องลอยขึ้น

เงาร่างรางเลือนสายหนึ่งปรากฏขึ้นในทะเลเพลิง มันเดินทีละก้าวๆ ภาพพร่าเลือนกลายเป็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

เป็นผู้ใด?

ทุกผู้คนอดยืดคอรอชมไม่ได้ ตื่นเต้นจนแทบกลั้นหายใจ แม้แต่คนที่โง่เง่าที่สุด ยังทราบว่าผู้ที่เดินออกมาจะเป็นผู้ชนะการประลอง

ฝนลูกไฟที่ตกกระทบพื้นในท้ายที่สุดนั้นปิดกั้นสายตาของผู้ชม ภาพสุดท้ายที่ตราตรึงอยู่ในดวงตาของพวกมัน เป็นกระบี่น้ำเล่มยักษ์ที่มีรูปลักษณ์เสมือนไฟ กรีดจากล่างขึ้นบน ฟาดฟันใส่เฉาอันอย่างหักโหม!

มันถูกฟันหรือไม่? ผลเป็นอย่างไร?

ทุกอย่างที่สงสัย ดูเหมือนจะมาถึงเวลาตัดสินแล้ว

เงาดำยิ่งเดินออกมาก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ มันในที่สุดก็มาถึงชายขอบทะเลเพลิง มันไม่ได้หยุด ยังคงก้าวตรงมาข้างหน้า

เงาร่างที่มีเท้าเปลือยเปล่าสีทองเข้ม มีรอยไหม้ประปราย ก้าวออกมาจากทะเลไฟ

ท้องฟ้ากระจ่างใส แสงแดดอบอุ่นทาบทอลงบนพื้น อาณาจักรนภาจันทร์สภาพอากาศน่ารื่นรมย์ แม้ว่าฝนจะตกชุก แต่ตลอดทั้งปีมีแสงแดดเป็นส่วนใหญ่ ตงฝูซึ่งสร้างขึ้นตรงกึ่งกลางของภูเขายุ่งวุ่นวายไม่น้อย เห็นซิวเจ่อเดินทางไปมาไม่ขาดสาย บ้างขี่กระบี่บิน บ้างเหาะเหิน อยู่บนหลังสัตว์ปราณ หรือควบคุมยุทธภัณฑ์เวท จากทุกทิศทางมารวมตัวกันที่นี่

ณ ภูเขาสุญตา ไม่ไกลจากตงฝูเท่าใดนัก

เปลือยเปล่าอย่างสมบูรณ์ จั่วม่อแช่อยู่ในถังน้ำยาสมุนไพร มีเพียงศีรษะโผล่ขึ้นมา บางครั้งคราวมันจะสูดปากคร่ำครวญ แม้ว่ามันจะได้ชัยในการประลอง แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อก้าวออกมาจากทะเลเพลิง มันก็หมดสติไปในทันที ครั้นเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง พบว่าตัวเองแช่อยู่ในน้ำยาสมุนไพร ด้านข้างถังไม้ยังวางอินกุยไว้เครื่องหนึ่ง แผ่นจานหยกบนอินกุยปรากฏแสงไหลเวียนไปมา นี่เป็นของที่จั่วม่อขอให้เสี่ยวกั่วไปเสาะหามาให้แก่มัน

ในไม่ช้ามันก็ถูกดึงดูดโดยเนื้อหาที่ออกอากาศทางอินกุย

“แม้ว่าการประลองในสองวันมานี้จะน่าตื่นตาตื่นใจไม่เบา แต่ต้องบอกว่ายังไม่อาจเทียบกับการประลองนัดแรกได้! ทำให้ข้าไม่อาจปลุกปลอบความสนใจขึ้นมาจริงๆ สวีซือ(อาจารย์สวี) ท่านเห็นอย่างไร?”

“ใช่แล้ว ข้าก็รู้สึกเช่นเดียวกัน แม้ว่าการประลองสองวันมานี้ มีเวทวิชาหลากหลายโผล่ออกมาไม่มีที่สิ้นสุด แต่ก็ไม่น่าอัศจรรย์ใจเหมือนฝีมือของจั่วม่อในการประลองนัดแรก อย่างไรก็ตาม หลังจากวิเคราะห์เจาะลึกดูแล้ว มีหลายปัจจัยที่ทำให้การประลองของจั่วม่อกับเฉาอัน ทำให้ผู้คนเกิดความประทับใจอย่างลึกล้ำ”

“แน่นอน การประลองที่เป็นผลงานชิ้นเอก ตามธรรมชาติแล้วต้องมีเหตุผลบางอย่าง จึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอก อย่างเช่นพลังที่ต่างชั้นกันอย่างใหญ่หลวง และทักษะการใช้ค่ายกลกับแผ่นจานค่ายกลอันพิเศษเฉพาะของจั่วม่อ เป็นต้น ที่กล่าวมาล้วนเป็นปัจจัยที่หนุนเสริมให้การต่อสู้ครั้งนี้ กลายเป็นผลงานชิ้นเอก ในการต่อสู้ครั้งนี้ สิ่งที่ผู้คนกล่าวขวัญถึงมากที่สุด เป็นความสำเร็จเชิงค่ายกลกับแผ่นจานค่ายกลของจั่วม่อ กล่าวกันว่าคนทั่วไปชมดูภาพอันสวยงาม ยอดฝีมือดูทักษะ ข้าไม่ล่วงรู้เรื่องวิชาค่ายกลแม้แต่น้อย สวีซือ ท่านเป็นยอดฝีมือทางด้านนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องเห็นได้ชัดเจนกว่าข้าและเหล่าผู้ชม ช่วยอธิบายให้พวกเราฟังได้หรือไม่”

“เกรงว่าข้าไม่ใช่ยอดฝีมือตัวจริงแล้ว กล่าวตามความสัตย์ ข้าเองก็อยู่ที่นั่น ชมดูการต่อสู้พร้อมกับพวกท่าน แต่ความตกใจที่ข้าได้รับ ยังมากมายกว่าพวกท่านมาก อาจเป็นเพราะข้าสนใจวิชาค่ายกลอยู่เป็นทุนเดิม วิธีใช้ค่ายกลกับแผ่นจานค่ายกลของจั่วม่อ ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตามากจริงๆ เชื่อว่าหลายคนมีคำถามเดียวกัน จั่วม่อที่แท้ขว้างแผ่นจานค่ายกลออกไปกี่แผ่นกันแน่?”

“นั่นก็ใช่แล้ว! ข้าอยากถามคำถามนี้ตลอดมา”

“หากข้าเข้าใจไม่ผิด สมควรเป็นสิบเอ็ดแผ่นจานค่ายกล!”

“มากมายถึงเพียงนั้น?”

“แผ่นแรกที่มันซัดออกมาคือค่ายกลเส้นทางสับสน จากนั้นโยนออกมาพร้อมกันสามแผ่นจานค่ายกล คือค่ายกลปราณปฐพี ค่ายกลทองคำพรั่งพรู และค่ายกลมหานที ทั้งสามค่ายกลนี้ก่อเกิดค่ายกลสามห่วงโซ่อันน่าสะท้านใจ ต่อมา พวกท่านสมควรจดจำโซ่สีน้ำเงินสามเส้นที่รัดพันเฉาอันไว้ได้กระมัง ข้ามาตรวจสอบในภายหลัง นั่นเรียกว่าค่ายกลกักมังกร เป็นค่ายกลที่ไม่เลวเลย ส่วนค่ายกลสีทองที่ปรากฏขึ้นในตอนท้าย เป็นค่ายกลหัวใจจักรพรรดิเพลิง ทั้งยังก่อเกิดเป็นค่ายกลสองห่วงโซ่ โดยประสานกับค่ายกลหัวใจจักรพรรดิเพลิงบนป้ายหยกที่เอวของจั่วม่อ”

“แต่นั่นก็แค่หกแผ่นจานค่ายกลเองมิใช่หรือไร?”

“ฮ่าๆ หกแผ่นจานนั้นผ่านการวางแผนมาอย่างรอบคอบ แต่จุดที่ชาญฉลาดของจั่วม่อไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น มันยังมีแผ่นจานค่ายกลอีกห้าแผ่น ทั้งห้าแผ่นล้วนเป็นค่ายกลห้าปฐมปราณเสริมพลัง!”

“ห้าค่ายกลห้าปฐมปราณเสริมพลัง!”

“ถูกต้อง ท้ายที่สุดจั่วม่อก็ยังเป็นเพียงซิวเจ่อด่านจู้จี พลังปราณของมันไม่ลึกล้ำเท่าเฉาอัน ดังนั้นจำเป็นต้องเติมพลังปราณ สิ่งที่ทุกผู้คนสมควรชมเชย คือมันขว้างแผ่นจานค่ายกลห้าแผ่นไปยังตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจงเป็นอย่างยิ่งห้าแห่ง โดยทั่วไปไม่ว่ามันจะก้าวไปยังตำแหน่งใดบนสนามประลอง ก็จะเข้าสู่อาณาบริเวณของค่ายกลห้าปฐมปราณเสริมพลังค่ายใดค่ายหนึ่งทั้งสิ้น ...”

จั่วม่อที่อยู่ในถังสมุนไพรเต็มไปด้วยความนับถือเลื่อมใส มันไม่ทราบว่าสวีซือเป็นใคร แต่ลูกไม้ทั้งหมดของมันถูกสวีซือมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง มันอดภาคภูมิใจอยู่บ้างไม่ได้ ฟังผู้คนชมเชยมันจากอินกุย ความรู้สึกนี้ไม่เลวจริงๆ อ้า!

ความเจ็บปวดในการถูกพลังยาแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายดูเหมือนว่าลดน้อยลงไป เมื่อมันคิดถึงจิงสือที่มันทำกำไรได้ในคราวนี้ จิตวิญญาณก็แทบจะโบยบิน...

“เจ้าภาคภูมิใจมากสินะ!” สือฟ่งหรงกล่าวอย่างเย็นชา สีหน้าเย็นเยือก

จั่วม่อหดศีรษะลงไปในถังไม้ มันแทบลืมเลือนไป ว่ากำลังถูกสอบสวนอยู่ในตอนนี้ ทั้งท่านเจ้าสำนัก อาจารย์ลุงซินหยาน อาจารย์ลุงหยานเล่อ รวมทั้งซือฟู่ ล้วนยืนเรียงรายอยู่ด้านหน้าถังน้ำยาสมุนไพรของมันอย่างพรักพร้อม กำลังจ้องมองมันเป็นตาเดียว

“ศิษย์ไม่กล้า!” มันตอบอย่างระมัดระวัง

“ไม่กล้า? อะไรบ้างที่เจ้าไม่กล้า?” สือฟ่งหรงเสียงสูงขึ้นทันที ถามอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าบอกมา อะไรที่เจ้าไม่กล้าทำบ้าง?”

จั่วม่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี ซือฟู่มีโทสะจริงๆ แต่มันย่อมไม่ทราบว่ามันกระทำความผิดที่ใด จึงได้แต่ครางหงิง รับคำท่าเดียว

เห็นจั่วม่อครางหงิง ไฟโทสะในใจสือฟ่งหรงยิ่งลุกฮือโหม “เห็นว่าเจ้าดูว่านอนสอนง่าย ท่าทีสัตย์ซื่อ แต่ในบรรดาศิษย์ทั้งหมด เจ้ากลับเกกมะเหรกเกเรที่สุด เจ้าเล่ห์ที่สุด เกียจคร้านที่สุด! วันนี้ข้าหากไม่จัดการเจ้า ในฐานะซือฟู่ ข้ายังจะต้องถูกเจ้าปั่นหัวอีกเท่าใด...”

จั่วม่อไม่เข้าใจอะไรเลยแม้แต่น้อย ในใจมันลอบร่ำไห้ ยิ่งแน่ใจว่ามันทำบางสิ่งผิดพลาดไป แต่ก็มีหลายสิ่งเหลือเกินที่มันกระทำโดยไม่ได้รับอนุญาต เห็นซือฟู่ชี้หน้าด่าทอมัน แต่มันกลับไม่ทราบว่าเป็นเรื่องราวใด

ถึงกับตอแยให้ซือฟู่ที่เงียบขรึมเยือกเย็น ต้องออกอาการโมโหโกรธาถึงเพียงนี้ สิ่งที่มันทำผิดไปอาจไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้ว!

หลี่อิงฟ่งกับเสี่ยวกั่วที่ด้านข้างไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ อย่างไรก็ตาม พอถึงตอนท้ายๆ พวกนางต้องกลั้นหัวร่อเสียแทบแย่

“อะแฮ่ม” รอจนสือฟ่งหรงดุด่าจนหนำใจ เผยเหยียนหรานค่อยก้าวออกมา

“เสี่ยวม่อ เจ้าบรรลุเจตจำนงกระบี่ในด่านเลี่ยนชี่ ไฉนไม่ยอมบอกเรา?” สุ้มเสียงของท่านเจ้าสำนักอ่อนโยนเป็นกันเอง อบอุ่นเป็นที่สุด แต่จั่วม่อที่แช่อยู่ในน้ำยาสมุนไพรเดือดๆ ถึงกับหนาวสันหลังวาบ อดตัวสั่นสะท้านไม่ได้

กล่าวตามความสัตย์ จั่วม่อไม่เกรงกลัวซือฟู่ ท่านอาจารย์ของมันอาจใบหน้าเย็นชาแต่จิตใจอบอุ่น แม้ว่านางดุด่ามันอย่างรุนแรง แต่ก็ห่วงใยมันอย่างแท้จริง ในบรรดาสี่ผู้อาวุโส จั่วม่อรู้สึกว่าท่านเจ้าสำนักน่ากลัวที่สุด ท่านเจ้าสำนักมักกล่าววาจาพอเหมาะพอดี อบอุ่นเป็นกันเอง แต่ด้วยเหตุผลบางประการ จั่วม่อมักหวาดหวั่นพรั่นพรึงท่านเจ้าสำนักที่เป็นคนเก็บมันกลับมาอยู่เสมอ

ที่แท้เป็นเรืองการบรรลุเจตจำนงกระบี่ในด่านเลี่ยนชี่ จั่วม่อผ่อนคลายลงเล็กน้อย เรื่องนี้ไม่ควรมีปัญหาใด

“ศิษย์รู้สึกว่าเจตจำนงกระบี่ไม่สามารถทำกำไรจิงสือ มันไม่ได้มีประโยชน์เท่ากับการเป็นเกษตรกรปราณ...ก็เลย...” จั่วม่อแสร้งตะกุกตะกักออกมา

ลานอันกว้างใหญ่เงียบกริบในบัดดล

ฟังคำตอบของจั่วม่อ ถึงแม้ว่าทั้งสี่คนจะมีพลังบำเพ็ญเพียรด่านจินตัน ยังคงยืนตะลึงงัน ทั้งสี่เหลียวมองหน้ากันและกัน ไม่ทราบจะหัวร่อหรือร่ำไห้ดี เสี่ยวกั่ว หลี่อิงฟ่งและศิษย์อื่นๆ พยายามกลั้นหัวร่อสุดชีวิต จนร่างกายของพวกนางสั่นสะเทือนไปทั้งร่าง

อย่าว่าแต่ในเวลานั้น นี่ก็เป็นความคิดที่แท้จริงของจั่วม่อจริงๆ ดังนั้นมันจึงสามารถกล่าวออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติถึงที่สุด

จั่วม่อเป็นคนเช่นไร ดูจากพฤติกรรมของมัน ทุกคนย่อมทราบกระจ่าง คนที่กล้าเสี่ยงตายวิ่งไปยังพรรคอัจฉริยะปราณ เพียงเพื่อฉกชิงยุทธภัณฑ์เวท กล่าวออกมาเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องปกติมาก

“ทำกำไรจิงสือ! เจ้ารู้จักแต่ทำกำไรจิงสือ!  วันหนึ่งเจ้าจะถูกทุบตีจนตายเพราะจิงสือ...” สือฟ่งหรงพอฟัง ว่าจั่วม่อปล่อยพรสวรรค์ของมันให้สูญเปล่าด้วยเหตุผลไร้สาระเช่นนี้ นางโกรธจนแทบกระอัก!

“ถูกทุบตีด้วยจิงสือก็คุ้มค่า...” จั่วม่อกระซิบรำพึงไปตามจิตใต้สำนึก ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมาจากปาก มันค่อยรู้สึกตัวว่าย่ำแย่แล้ว ซือฟู่กับผู้อาวุโสอื่นๆ โสตประสาทดีมาก นี่ไม่ใช่ว่ามันหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ?

เมื่อได้รับบาดเจ็บ ความสามารถในการควบคุมตนเองของมนุษย์ก็ลดน้อยลง!

สือฟ่งหรงโกรธจนตัวสั่น กระทั่งนิ้วที่ชี้หน้ามันก็ยังสั่นระริก

หยานเล่อสีหน้าอับจนปัญญา ศิษย์ที่หมกมุ่นอยู่กับเงินตราเช่นนี้ แต่พรสวรรค์ของมันกลับยอดเยี่ยมมาก...

มีเพียงเผยเหยียนหรานที่สีหน้ายังเป็นปกติ สุ้มเสียงก็ยังอบอุ่นมาก “อ้อ หากข้าจำไม่ผิด เจ้าเพิ่งจะฝึกเพลงกระบี่เพลิงธาราหลังจากเข้าสู่ด่านจู้จีแล้ว เช่นนั้น ก่อนหน้านั้นเจ้าบรรลุเจตจำนงกระบี่อันใด?”

จั่วม่อตื่นตระหนกในบัดดล!

บัดซบ! มันหลงลืมเรื่องสำคัญเช่นนี้ไปได้อย่างไร!

เคล็ดกระบี่เพลิงธารา เป็นมันเข้าสู่ด่านจู้จีแล้วจึงได้วิ่งไปยังหอคัมภีร์ เพื่อหาวิชากระบี่มาฝึกปรือ มันไม่เคยคิดท่านเจ้าสำนึกซึ่งปกติไม่ค่อยแสดงท่าที จะคอยสังเกตสังกา จนทราบชัดเจนว่ามันเริ่มฝึกปรือเคล็ดกระบี่เพลิงธาราตั้งแต่เมื่อใด

หากท่านเจ้าสำนักค้นพบผูเยา...

จั่วม่อในใจตื่นตระหนกจนยากจะบ่งบอกบรรยาย รู้สึกตึงเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หัวใจแทบจะกระดอนขึ้นมาถึงคอหอย

มันกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ กล่าวเสียงลังเลว่า “เป็น...เจตจำนงกระบี่มังกรน้ำแข็งของอาจารย์ลุง...”

นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจปกปิดได้ หากมันโป้ปด แล้วท่านเจ้าสำนักสั่งให้ลองแสดงออกมา เช่นนั้นก็ย่ำแย่แล้ว

ซินหยานในดวงตาครึ่งหลับครึ่งลืมพลันทอแสงเย็นเยียบขึ้นสองจุด อีกสามคนก็ไม่คาดฝันในคำตอบของจั่วม่อ กระทั่งเผยเหยียนหรานยังตกใจ

“โอ้ นำออกมาให้อาจารย์ลุงรองของเจ้าชมดู” หยานเล่อรีบกล่าว

อย่างที่คาดไว้...

จั่วม่อระงับความประหวั่นพรั่นพรึงในใจ ผนึกจิตใจส่งเจตจำนงกระบี่กระแสธารออกมา เจตจำนงกระบี่อ่อนแอมาก แต่มีความเย็นเยือกแฝงอยู่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือเจตจำนงกระบี่มังกรน้ำแข็งจริงๆ

“เจ้าร่ำเรียนมาจากที่ใด?” เจ้าสำนักเผยเหยียนหรานดวงตาสาดประกายเจิดจ้า จ้องมองจั่วม่อเขม็งนิ่ง

อีกสามคนก็บังเกิดปฏิกิริยาในบัดดล ซินหยานไม่เคยสอนเจตจำนงกระบี่มังกรน้ำแข็งให้แก่จั่วม่อ หอคัมภีร์ของสำนักก็เพิ่งจะเปิดกว้างเมื่อไม่นานมานี้ แต่จั่วม่อสำเร็จเจตจำนงกระบี่มังกรน้ำแข็งตั้งแต่ยังอยู่ในด่านเลี่ยนชี่ เช่นนั้นมันได้มาด้วยวิธีการใด?

ผู้อาวุโสทั้งสี่ใบหน้ามืดทะมึน ดวงตาเรืองรองดุจลำแสง จั่วม่อรู้สึกเย็นวาบไปถึงไขสันหลัง แขนขาแข็งทื่อ

บัดซบ! จะโกหกอย่างไรจึงจะสมจริงที่สุด?

ความเงียบของจั่วม่อ ทำให้ใบหน้าของคนทั้งสี่ยิ่งดูน่าเกลียด

บรรยากาศอันเขม็งเกลียวบันดาลให้หลี่อิงฟ่งกับพวกหน้าซีดเผือด ลักลอบขโมยร่ำเรียนเวทวิชาเป็นความผิดอันร้ายแรง ไม่ว่าสำนักใดล้วนลงโทษประหารชีวิต! ไม่มีผู้ใดจะเมตตาต่อคนที่กระทำความผิดเช่นนี้

ในขณะนั้นจั่วม่อรู้สึกสิ้นหวังและอับจนหนทาง แต่แล้วกลับฉุกคิดขึ้นมาในฉับพลัน

มันตะกุกตะกักว่า “เป็น...เป็นในคืนที่ศิษย์พี่ใหญ่เข้าสู่ด่านจู้จี...ข้า...ข้าเห็นกระบี่มังกรน้ำแข็งของอาจารย์ลุง...”

ใบหน้าที่มืดมนของคนทั้งสี่นั้นดูแปลกพิกล คล้ายแฝงแววตกตะลึง พวกมันเวลานี้นึกขึ้นได้ ในราตรีนั้น ซินหยานเพื่อขับไล่เหล่าอาคันตุกะไม่ได้รับเชิญ ได้เปิดเผยเพลงกระบี่มังกรน้ำแข็งอันเลื่องชื่อของมันออกมา!

“เจ้าเข้าใจมัน หลังจากมองครั้งเดียวในคืนนั้นอย่างนั้นหรือ?” ซินหยานผู้มักเยือกเย็นอยู่เสมอ ในที่สุดอดถามไม่ได้

“ใช่...ใช่...” จั่วม่อรู้สึกเพิ่งเก็บกู้ชีวิตน้อยๆ ของมันกลับคืนมา กล่าวไปด้วย สั่นไปด้วย

สือฟ่งหรงใบหน้าปิติยินดีและรู้สึกผิดอยู่บ้าง ส่วนอีกสามคนมีเพียงความตะลึงพรึงเพริด เป็นความตื่นตะลึงอย่างลึกล้ำ!แม้แต่ท่านเจ้าสำนักที่มักสงบเยือกเย็น ยังตกตะลึงจนไม่ทราบจะกล่าวอันใด

มองเพียงครั้งเดียว มันก็บรรลุเจตจำนงกระบี่ พรสวรรค์เชิงกระบี่นี่มัน...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด