บทที่ 123 เปิดฉากการประลอง
เฉาอันโมโหโทโสแทบคลุ้มคลั่ง
เวลานี้การพนันขันต่อระหว่างมันกับจั่วม่อกลายหัวข้อร้อนแรงที่สุดในตงฝู ในความเห็นของมัน นี่เป็นการหยามหยันมันชัดๆ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่มันต้องถูกกล่าวถึงในระดับเดียวกับมือใหม่ด่านจู้จีผู้หนึ่ง?
ซิวเจ่อด่านจู้จีผู้หนึ่งยังจะก่อคลื่นลมอะไรได้? มันไม่เชื่อ
อย่างไรก็ตาม เฉาอันไม่ใช่คนบุ่มบ่ามไร้ปัญญา ยอดฝีมือลึกลับผู้นั้นถึงกับควักเอาคลื่นอาสัญจันทร์ทรงกลดออกมา นี่ย่อมไม่ใช่เพียงหยอกล้อกันเล่นอย่างแน่นอน แต่เมื่อมันลองสืบค้นข้อมูลดู กลับไม่ทราบจะหัวร่อหรือร่ำไห้ดี
จั่วม่อที่แท้เป็นซิวเจ่อซึ่งมีฝีมือหลักทางด้านหลอมกลั่นโอสถ
ลองดูสิ่งที่เฉาอันพบว่ามีความเกี่ยวข้องกับจั่วม่อ เกษตรกรปราณ เม็ดยาอีกาทองคำ แปรสภาพวัตถุดิบ...
อาศัยซิวเจ่อด่านจู้จีสายการผลิตเยี่ยงนี้คิดรับมือมันสิบกระบวนท่า ไยมิใช่น่าขบขันแทบตายแล้ว! คิดถึงเรื่องนี้ เฉาอันอดกำมือแน่นไม่ได้ หากจั่วม่อสามารถต้านรับมันได้สิบกระบวนท่าจริง เกรงว่ามันคงกลายเป็นตัวตลกใหญ่ไปตลอดทั้งงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ปีนี้ ไม่ใช่ ตลอดทั้งอาณาจักรนภาจันทร์เสียด้วยซ้ำ มันจะตกเป็นเป้าหมายของการซุบซิบเยาะเย้ยของคนนับไม่ถ้วนในมื้ออาหาร เมื่อผู้คนกล่าวถึงมัน จะไม่มีผู้ใดกล่าวว่านี่คือยอดอัจฉริยะจากป้อมตระกูลเฉา แต่เป็นสวะที่ไม่สามารถเอาชนะได้แม้แต่มือใหม่ด่านจู้จีผู้หนึ่ง!
แน่นอนว่ามันย่อมไม่อาจปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นตัวตลกใหญ่!
ไม่มีวัน!
ในดวงตาของเฉาอัน ลูกไฟบ้าคลั่งสองดวงเต้นระริก
“เป็นไร?” หลี่อิงฟ่งมองจิงสือที่จั่วม่อยื่นให้อย่างมึนงง “เจ้าต้องการลงเดิมพันว่าตัวเองชนะ? เสียสติไปแล้วหรือไร!”
สิ่งที่จั่วม่อยื่นให้แก่นางเป็นสามร้อยชิ้นจิงสือระดับสาม
“ฮ่าฮ่า! ศิษย์น้องกล้าหาญชาญชัยจริงๆ!” เสียงหัวร่ออย่างเปิดเผยดังเข้ามาจากภายนอกร้าน เห็นเหวยเสิ้งเดินเข้ามา กวาดตามองจั่วม่อ จากนั้นแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “ดูเหมือนศิษย์น้องจะเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในการต่อสู้รอบนี้! เช่นนี้ข้าก็วางใจ ฮ่าฮ่า ข้าทุ่มเดิมพันข้างเจ้าหมดหน้าตัก หากเจ้าพ่ายแพ้ ข้าก็สิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว! ฮ่าฮ่า!”
หลี่อิงฟ่งเหม่อมองจั่วม่อกับศิษย์พี่ใหญ่ราวกับกำลังมองคนฟั่นเฟือนสองคน
พวกมันล้วนเสียสติแล้ว...
จั่วม่อได้ยินวาจาของศิษย์พี่ ในใจพลันอุ่นระอุ ไม่ว่าผู้ใดก็คิดว่ามันจะต้องปราชัยอย่างไร้ข้อกังขา มีเพียงศิษย์พี่ที่เชื่อว่ามันสามารถเอาชัยได้! มันระงับความตื้นตันใจ กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ข้าได้ตระเตรียมไว้เป็นอย่างดี รับรองว่าท่านจะต้องแปลกใจ”
ดวงตาบนใบหน้าเยี่ยงผีดิบทอประกายพิสดาร
“ฮ่าฮ่า! ศิษย์น้องมักบันดาลให้ผู้คนประหลาดใจอยู่เสมอ ช่างน่าคาดหวังจริงๆ!” เหวยเสิ้งหัวร่อกระหึ่ม
พวกมันเสียสติไปแล้วจริงๆ...
หลี่อิงฟ่งส่ายศีรษะ เดินออกจากห้อง นางจะไปลงเดิมพันให้ก็ได้ จะอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่จิงสือของนาง
งานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่แห่งตงฝู ในที่สุดก็กำลังจะเปิดฉากขึ้น แรกเริ่มเดิมที ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจในการประลองนัดแรกมากนัก แต่การพนันขันต่อกลับร้อนแรงดุจเปลวเพลิง จำนวนผู้เข้าชมที่มาเฝ้ารอดูการประลองน่าแตกตื่นไม่เบา การจับคู่ประลองนี้มีความเหลื่อมล้ำเป็นอย่างมาก จำนวนจิงสือที่เกี่ยวข้องก็มาถึงระดับน่าขนพองสยองเกล้า เรื่องนี้ทำให้ทุกสายตาหันมาสนใจในการประลอง
ไม่ว่าผู้ใดได้ยินเรื่องการเดิมพันว่าจั่วม่อจะรับมือได้กี่กระบวนท่า ต้องอดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ ว่าจั่วม่อที่แท้สามารถผ่านได้กี่กระบวนท่ากันแน่
การประลองจะสิ้นสุดในกี่กระบวนท่า?
การประลองจะออกมาในรูปแบบใด?
แต่ไม่มีผู้ใดถามว่าฝ่ายไหนจะชนะ
การประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ครั้งนี้ เรียกอย่างเป็นทางการว่า งานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่แห่งตงฝู ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าการประลองนี้ จะดึงดูดยอดยุทธ์อายุเยาว์ทั่วทั้งอาณาจักรนภาจันทร์มากกว่าครึ่ง มันแทบจะสามารถเรียกว่างานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่แห่งอาณาจักรนภาจันทร์เสียด้วยซ้ำ สำหรับงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ครั้งนี้ ยังมีเสียงแสดงความกังขาอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำถามเกี่ยวกับพลังฝีมือที่แท้จริงของซิวเจ่อเจ้าถิ่น ในเมื่อเหล่าซิวเจ่อจากต่างถิ่นล้วนแสดงฝีมืออันยอดเยี่ยมออกมาในการประลองรอบคัดเลือก แต่จนกระทั่งถึงบัดนี้ คนจากตงฝูยังไม่เคยต่อสู้เลยสักครั้ง นี่ยังเป็นเหตุผลที่ทำให้ซิวเจ่อแห่งตงฝูทั้งหลายไม่ได้รับการจัดอันดับที่ดี ในใบรายการจัดลำดับแทบทุกฉบับ
เนื่องจากมีตำแหน่งว่างไว้สำหรับผู้เข้าประลองเจ้าถิ่น ซึ่งไม่ต้องผ่านการประลองรอบคัดเลือก ดังนั้นจึงมีซิวเจ่อด่านจู้จีเล็ดลอดเข้ามาปรากฏตัวในรอบจริง ในสายตาของหลายๆ คน นี่เป็นเรื่องน่าขบขันอย่างแท้จริง
ด้วยเหตุนี้เอง นับตั้งแต่เริ่มต้นการประลองรอบคัดเลือก เสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับชุมนุมวิจารณ์กระบี่นี้ไม่เคยหยุดลงเลย อย่างเช่นความไม่ยุติธรรมระหว่างซิวเจ่อเจ้าถิ่นกับซิวเจ่อต่างถิ่น และอื่นๆ อีกมากมาย...
แต่เจ้าภาพเทียนซงจื่อ ใช้ประโยคสั้นๆ ประโยคเดียว ปิดปากทุกผู้คนจนพากันพูดไม่ออก “การประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่นี้ คืองานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่แห่งตงฝู!” ความหมายแฝงก็คือ เราจัดงานประลองในหมู่พวกเราเอง เรายอมให้พวกเจ้าเข้าร่วมก็ดีมากแล้ว จงอย่าได้มากความไป
ซิวเจ่อต่างถิ่นไม่ทราบจะกล่าวอันใด แต่ความขุ่นเคืองของพวกมันก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย จั่วม่อซึ่งเป็นซิวเจ่อด่านจู้จีเพียงคนเดียวในชุมนุมวิจารณ์กระบี่ครั้งนี้ จึงกลายเป็นเป้าหมายวิพากษ์วิจารณ์ของสาธารณชนไป โดยที่ตัวมันเองไม่เคยทราบความนัยเหล่านี้เลย
หลายต่อหลายคนปรารถนาจะเห็นมันต้องอับอายขายหน้า การเดิมพันจำนวนกระบวนท่าอย่างครึกโครม หลักๆ แล้วเกิดจากเล่ห์เพทุบายของคนเหล่านี้เอง ที่คอยผลักดันอย่างลับๆ เรื่องของจั่วม่อพอดีเป็นเครื่องมือในการตอบโต้เพื่อระบายความไม่พอใจของพวกมัน
แน่นอนว่าจั่วม่อไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเหล่านี้แม้แต่น้อย
“ผู้คนมากมายจริงๆ” จั่วม่อมองฝูงชนอันล้นหลามรอบด้าน จากนั้นถามอย่างไร้หัวจิตหัวใจ “ศิษย์พี่หญิง ท่านลงเดิมพันจิงสือเรียบร้อยแล้วหรือไม่?”
หลี่อิงฟ่งต้องการหมุนตัวและเดินออกไปทันที ดูเสียบ้างว่านี่มันเวลาใด ศิษย์น้องยังคงพะวักพะวงอยู่แต่จิงสือ...
นางพยายามระงับแรงกระตุ้นอยากระเบิดอารมณ์ ตอบอย่างขุ่นข้องว่า “เรียบร้อยแล้วน่า! ตามคำขอของเจ้า แยกย้ายไปหลายๆ ที่”
“อ้อ เช่นนั้นข้าก็สบายใจ ฮี่ฮี่!” จั่วม่อหัวร่ออย่างวิปลาสสุดขั้ว เมื่อปรากฏอยู่บนใบหน้าตายด้าน ดูแล้วแปลกพิกลยิ่ง
อ๊า สวรรค์ของข้า! นางไฉนติดตามมาพร้อมเจ้าตัวประหลาดนี้? ช่างน่าอับอายขายหน้าเสียจริง!
หลี่อิงฟ่งสำนึกเสียใจเป็นที่สุด ไฉนนางไม่รีบหันหลังหนีออกไปให้เร็วนี้หนอ?
“พี่เฉา ที่แท้คู่ประลองของท่านยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ทีเดียว?” หนึ่งในสหายของเฉาอันกล่าวเกินจริง
เฉาอันสีหน้าขุ่นแค้นอัดอก สองมือกำแน่น เสียงกระดูกลั่นเกรียวกราว
บนเมฆมงคลที่ห่างไกลออกไป นั่งไว้ด้วยเหล่าเจ้าสำนักและผู้อาวุโสของสำนักค่ายพรรคมากมาย เจ้าสำนักกระบี่สุญตาเผยเหยียนหรานกับเหล่าศิษย์น้องของมันก็รวมอยู่ในนั้น เมฆมงคลก้อนนี้ใหญ่โตกว้างขวาง พื้นที่หลายหมู่ จัดวางโต๊ะเก้าอี้ รวมทั้งผลไม้ปราณและชาปราณพร้อมสรรพ ศิษย์ของแต่ละสำนักยืนก้มหน้านอบน้อมอยู่ด้านข้าง
“จั่วม่อของสำนักท่านน่าสนใจมาก! จริงดังคาด ช่างละโมบเงินตราอย่างแท้จริง ศิษย์สำนักท่านล้วนเป็นเยี่ยงนี้หรือ?” ประมุขพรรคอัจฉริยะปราณหัวร่อดังกระหึ่ม
พวกมันล้วนมีพลังบำเพ็ญเพียรน่าสะท้านใจ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้านล่าง สามารถล่วงรู้ได้อย่างง่ายดาย บทสนทนาระหว่างจั่วม่อกับหลี่อิงฟ่ง ยังส่งผ่านมาเข้าหู
สือฟ่งหรงหนังตากระตุก แทบจะซ่อนโทสะไว้ไม่อยู่ เผยเหยียนหรานกลับแย้มยิ้มเช่นดังปกติ กล่าวว่า“จั่วม่อนิสัยแปลกพิกล แต่เปิดเผยตรงไปตรงมา น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งจริงอย่างที่ท่านว่า ละโมบเงินตรา? ละโมบแล้วเป็นไร สำนักเราตั้งแต่เบื้องสูงถึงเบื้องต่ำ รวมทั้งข้าผู้เป็นเจ้าสำนักด้วย ทุกคนล้วนละโมบเงินตราทั้งนั้น สำนักท่านมั่งคั่งร่ำรวย อาจไม่เข้าใจปัญหาของพวกเราเหล่าคนยากจน ฮ่าฮ่า!”
“นั่นก็ใช่แล้ว ข้าผู้นี้เคยได้ยินมาประโยคหนึ่ง จงอย่าอวดโอ่เรื่องจิงสือเบื้องหน้าพรรคอัจฉริยะปราณ” บางคนอดเหน็บแนมอย่างไม่พอใจไม่ได้ “สำหรับพวกเราเหล่าคนยากจน ตระหนี่และละโมบเป็นเรื่องธรรมดามาก”
พรรคอัจฉริยะปราณร่ำรวยล้นฟ้า จนแทบจะทะลักออกมาจากรูขุมขน หลายคนอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง รวมกับการที่พวกมันมักจะเย่อหยิ่งถือดี ดังนั้นไม่ค่อยมีความสัมพันธ์ดีงามกับผู้ใด เผยเหยียนหรานเพียงกล่าวลอยๆ ไม่กี่คำ กลับอาศัยจุดนี้ ถีบส่งพรรคอัจฉริยะปราณไปอยู่ฝั่งตรงข้ามของทุกผู้คนในพริบตา
ประมุขพรรคอัจฉริยะปราณย่อมไม่ใช่คนโง่เขลา เห็นสายตาไม่เป็นมิตรจากผู้คนรอบข้าง มันก็เข้าใจในทันที
สีหน้ามันไม่แปรเปลี่ยน แย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “แต่ละครอบครัวย่อมมีปัญหาของตน นี่ย่อมไม่อาจตำหนิที่ข้าร่ำรวย ฟังว่าครั้งนี้มีการเดิมพันว่าจั่วม่อจะจบสิ้นในกี่กระบวนท่า เจ้าสำนักเผย ท่านสมควรคุ้นเคยกับศิษย์ของสำนักท่านมากที่สุด เจ้าสำนักเผยคาดว่าจั่วม่อจะต้านรับได้กี่กระบวนท่า? ข้าพนันว่าสาม!” จากนั้นเบะปาก กล่าวว่า “เจ้าสำนักเผยสามารถเปิดเผยข้อมูลภายในหรือไม่? สามกระบวนท่าไม่ควรมีปัญหากระมัง?”
สือฟ่งหรงเลิกคิ้วสูงชัน นางกำลังจะตอบโต้ แต่ซินหยานชิงกดมือ หยุดยั้งนางไว้เสียก่อน
ได้ยินเช่นนี้ เผยเหยียนหรานแสร้งทำเป็นตกใจ กล่าวว่า “ข้อมูลภายใน? ท่านไม่ทราบหรอกหรือ? หากข้าจำไม่ผิด คราวที่แล้วจั่วม่อไปเยี่ยมเยือนที่หน้าประตูพรรคท่าน ยังได้ประมือกับศิษย์พรรคท่านห้าคน ศิษย์ของท่านไม่ได้รายงานเรื่องนี้ให้แก่ท่านหรอกหรือ?”
“อ้อ มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วย?” ที่ด้านข้าง เทียนซงจื่อพอฟังก็อดสนใจไม่ได้ “ผลเป็นอย่างไร?”
เผยเหยียนหรานตอบอย่างเศร้าเสียดาย “พ่ายแพ้ต่อฉางเหิง”
ประมุขพรรคอัจฉริยะปราณหน้าเขียวคล้ำอย่างน่ากลัว ตอนแรกมันคิดใช้โอกาสนี้เสียดสีเผยเหยียนหรานกับพวก ไม่ทันคาดคิดว่าเผยเหยียนหรานจะผลักมันเข้ากองไฟอย่างทันควัน
ไม่ว่าเวลาใด ผู้คนมักชมชอบถมหินลงบ่อ โดยเฉพาะเป้าหมายยังเป็นพรรคอัจฉริยะปราณที่ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่มีความรู้สึกที่ดี
เจ้าสำนักกระบี่สีชาดแสร้งถามทั้งที่ทราบดี “เช่นนั้นก็หมายความว่าชนะสี่แพ้หนึ่งหรือ? ไม่เลวจริงๆ อ้อ ฉางเหิงไม่ใช่ว่าทะลวงไปยังด่านหนิงม่ายแล้วหรอกหรือ ไฉนลดตัวลงมาต่อสู้กับด่านจู้จี?”
“ฟังพวกท่านกล่าวไปกล่าวมา ข้าก็ชักสนใจจั่วม่อขึ้นมาเสียแล้ว” เจ้าสำนักอีกผู้หนึ่งรับลูก
“แค่โชคดี แค่โชคดีเท่านั้น!” เผยเหยียนหรานแสร้งถ่อมตนเป็นพัลวัน
ประมุขพรรคอัจฉริยะปราณยามนี้สำนึกเสียใจขึ้นมา แต่มันย่อมไม่อาจกล่าวแก้ได้ว่าเวลานั้นฉางเหิงยังไม่ได้ทะลวงผ่านไปยังด่านหนิงม่าย เรื่องน่าอับอายนี้ ยิ่งพูดมากเท่าใดก็ยิ่งเสียหน้ามากเท่านั้น มันได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน นับว่ามีปากยากจะกล่าวอย่างแท้จริง
จั่วม่อเดินเข้าสู่ลานประลอง เฉาอันรอคอยอยู่แล้ว
เฉาอันเมื่อเห็นจั่วม่อเดินส่ายอาดๆ ขึ้นมาบนลานประลอง มันสีหน้ากลับกลายเป็นน่าเกลียด ยิ่งเจ้าผู้นี้ยืนอยู่ต่อหน้ามันนานเท่าใด มันจะยิ่งกลายเป็นตัวตลกมากเท่านั้น เฉาอันแทบไม่อาจทนรอให้ผู้อาวุโสซึ่งรับผิดชอบในการตัดสินประกาศเริ่มต้นการประลอง จากนั้นมันจะได้ฟาดเจ้าตัวประหลาดนี้ให้แบนติดพื้น!
เนื่องจากว่านี่เป็นการประลองนัดแรก เพื่อแสดงความสำคัญ ผู้ตัดสินซึ่งดูแลการประลองนัดนี้เป็นปรมาจารย์ด่านจินตันผู้หนึ่ง
ดวงตาของมันมองไปยังคู่ต่อสู้ทั้งสองอย่างเฉยเมย ในสายตาของมัน ไม่ว่าจะจู้จีหรือหนิงม่ายก็ไม่มีความแตกต่างอันใด เมื่อดวงตาแฝงนัยตักเตือนเหลือบไปยังทั้งสอง ทั้งคู่อดสั่นสะท้านไม่ได้ แววตาขุ่นแค้นของเฉาอันหายไป อาการเดินส่ายอาดๆ ของจั่วม่อก็หยุดลง
“เจ้าสามารถใช้วิธีใดก็ได้ยกเว้นสัตว์ปราณ หากอีกฝ่ายยอมแพ้ เจ้าไม่สามารถจู่โจมสืบต่อ หากผู้ใดหมดสติ จะตัดสินให้แพ้ทันที อีกฝ่ายไม่อาจโจมตีซ้ำเติม...”
เฉาอันพร่ำย้ำกับตัวเอง เยือกเย็นไว้ มันต้องเยือกเย็นเข้าไว้
แต่มันมักจะรู้สึกว่าฝูงชนแออัดที่กำลังเฝ้าชมดู ทุกสายตากำลังมองมายังมันเป็นจุดเดียว เต็มไปด้วยการเยาะเย้ยขบขัน ไม่ผิดอันใดกับมองดูตัวตลก แต่ต่อหน้าผู้ตัดสิน มันไม่กล้าออกท่าออกทางอันใด ได้แต่ก้มหน้าลง สะกดกลั้นโทสะที่อัดแน่นอยู่ในทรวงอก
ผู้ตัดสินสุดท้ายประกาศกฏเกณฑ์ในการประลองเสร็จสิ้น สองมือของมันยกขึ้นแล้วทำท่าฟันลง “เริ่มประลอง!”
เฉาอันเงยหน้าขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวทะยานฟ้า มันประหนึ่งราชสีห์พิโรธตัวหนึ่ง น่าสะพรึงกลัวไม่น้อย!
ค้อนเพลิงคะนอง*ในมือมันเปล่งเสียงระเบิดตูม เปลี่ยนเป็นลูกไฟขนาดเท่าบ้านหลังหนึ่ง ลอยอยู่ข้างกายมัน เปลวไฟสีแดงเข้มปะทุแลบลั่นออกมาไม่ขาดสาย ความร้อนแรงของเพลิงไฟ แม้แต่ผู้ชมที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยจั้งยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน เฉาอันเมื่อเทียบกับลูกไฟยักษ์ที่ข้างกาย ตัวมันกลายเป็นเล็กกะจ้อยร่อย
(ขอเปลี่ยนจากค้อนเพลิงดาวเหนือคะนองในตอนก่อนๆ เป็นค้อนเพลิงคะนองนะครับ)
แสงเปลวไฟสะบัดเต้นเร่า สะท้อนผ่านใบหน้าของเฉาอัน ใบหน้าของมันเต็มไปเจตนาฆ่าฟัน!
จั่วม่อฉวยโอกาสตวัดมือ ซัดแผ่นหยกออกไป
ผู้ที่มีสายตาแหลมคมตระหนักในทันทีว่านั่นเป็นแผ่นจานค่ายกล!
เมื่อแผนจานค่ายกลเหินบินออกไป ก็เปลี่ยนเป็นลำแสงหลายสาย หายลับไปในอากาศธาตุ
ผู้ชมหลายคนบ้างเหยียดหยาม บ้างผิดหวัง
เพียงแค่ค่ายกลเส้นทางสับสนระดับสอง จะสำแดงฤทธิ์อันใดต่อซิวเจ่อด่านหนิงม่ายได้?
เฉาอันในอกอัดแน่นไฟด้วยโทสะ เห็นการจู่โจมอันน่าสงสารของฝ่ายตรงข้าม มันมองดูด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม และความเกรี้ยวโกรธลึกล้ำ!
คนเช่นนี้น่ะหรือ จะต้านทานมันได้ถึงสิบกระบวนท่า?