ตอนที่ 6 ฝันร้าย
ตอนที่ 6 ฝันร้าย
วิกเตอร์เอื้อมมือล้วงกระเป๋าสตางค์ของมาร์ติน "โชคไม่ดีที่เงินจำนวนนี้ไม่เพียงพอให้แกรอดจากเรื่องนี้ไปได้ แกคงต้องจ่ายด้วยร่างกายของแก" วิกเตอร์ก้มหน้าลง เมื่อเขาเห็นมาร์ตินอยู่ในสภาพหวาดกลัวทำให้เขายิ้มออกมาอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็เอื้อมมือออกไปและคว้าข้อมือของมาร์ติน มองไปที่ฝ่ามือของมัน
"มือของแกดูดีมากทั้งเรียบเนียนและขาวสะอาด ฉันได้ยินมาว่าเพื่อที่จะช่วยให้แกกลายเป็นนักดนตรี พ่อของแกได้จ้างครูสอนดนตรีมาสอนให้แกตั้งแต่อายุยังน้อย แกรักษามือของแกเป็นอย่างดีแสดงว่ามันต้องสำคัญกับแกมากใช่มั้ย? " มาร์ตินตะลึงและใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีขาวซีด ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าวิกเตอร์ต้องการจะทำอะไร
"แกมันบ้า ถ้าแกกล้าทำอย่างนั้นพ่อของฉันจะไม่ปล่อยแกไว้แน่!" เขากรีดร้องและต่อสู้ "ฉันสาบานว่าแกจะเสียใจ!"
วิกเตอร์ถอนหายใจ "อันที่จริง ฉันว่าฉันเริ่มเสียใจตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ฉันไม่น่าให้โอกาสแกพูดเลย"
กร๊อบ!
ด้วยเสียงกรีดร้องอันดังลั่นของมาร์ตินได้สลายความเงียบในซอยเปลี่ยวจนหมดสิ้น วิกเตอร์หักนิ้วก้อยของมาร์ตินหันไปทางด้านหลังอย่างผิดรูป
"เรื่องทุกอย่างมันต้องจบลงในวันนี้"
กร๊อบ! กร๊อบ!
"ฉันจะทำให้แน่ใจว่ามันจะไม่มีครั้งที่สอง."
กร๊อบ! กร๊อบ! กร๊อบ! กร๊อบ!
เสียงกรีดร้องดังสนั่นของมาร์ตินแทบจะปลุกให้คนในหมู่บ้านตื่นจากการหลับใหล (ซอยนี้น่าจะอยู่ขอบเมือง) วิกเตอร์ปล่อยมือของมาร์ตินและลุกขึ้นมาจากพื้น
"อีกครึ่งชั่วโมงถ้ามือของแกไม่กลับสู่สภาพเดิม มันจะไม่มีทางกลับมาใช้งานได้ปกติอีก" เขามองลงมาที่มาร์ตินและถอนหายใจเบา ๆ "น่าเสียดายโอกาสในการไปที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ของแก ความฝันของแกในการเป็นนักดนตรีมันจบลงแล้ว?"เสียงร้องของมาร์ตินดังไล่หลังวิกเตอร์ขณะเขาเดินจากไป
ในความมืดเขามองกลับไปยังมาร์ตินซึ่งกำลังกลิ้งอยู่บนพื้น แล้วเอามือขึ้นกุมหัวเหมือนนึกอะไรออก
"โอ้ไม่! ฉันลืมไปพ่อของมันกำลังจะเป็นนายากเทศมนตรีของเมืองแห่งนี้ ดูเหมือนว่าฉันไม่สามารถอยู่ในเมืองนี้ได้อีกแล้ว" เขาถอนหายใจเงียบ ๆ "คงไม่สายเกินไปที่ฉันจะหนีไปตอนนี้?"
ในความเงียบเขาหันกลับไปและเห็นสุนัขที่มีขนสีทองอยู่ห่าง ๆ เขาโบกมือให้และยิ้มให้มันด้วย "นอนไม่หลับหรอฟิล?"
ฟิลนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นเงียบ ๆ มองมาที่เขา มันเอียงศีรษะและเลียขนสกปรกของมัน ดูเหมือนว่ามันจะนอนไม่หลับ มันจึงออกมาเดินเล่นข้างนอก
"ขอโทษฉันต้องรีบหนีไปแล้ว" วิกเตอร์ก้มลงมองหมาตัวเหม็นและเกาศีรษะของเขา "จากนี้ไปแกจะเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเย่วซิง แต่เพราะแกพูดไม่ได้ ฉันหวังว่าเขาจะไม่เบื่อตายซะก่อน!"
ฟิลดูเหมือนจะเข้าใจมันกลิ้งตาและตีหางของมันใส่วิกเตอร์
“อ่า, ขอโทษที ฉันลืมไปว่าคงไม่เข้าใจที่ฉันพูด แต่แกก็ยังดีกว่าเย่วซิง ที่แม้จะเข้าใจแต่ก็ทำเป็นไม่เข้าใจเสมอ!” วิกเตอร์ค่อยๆลูบหลังของฟิลล์ และพูดด้วยเสียงนุ่มนวล "แม้เย่วซิงจะเป็นคนแบบนั้น เขาไม่เคยบอกกับใครแม้ว่าเขาจะถูกรังแกมากเพียงใด เขาพยายามที่จะต่อสู้กับคนอื่น ๆ ด้วยกำลังของตัวเอง ที่เขาทำท่าทางให้ดูเป็นคนป่าเถื่อนอยู่เสมอ ก็เพื่อปกปิดความอ่อนแอของตัวเอง แม้เขาจะไม่มีพรสวรรค์ แต่เขาก็ยังอยากเป็นนักดนตรี เหมือนว่าเขาจะตายถ้าเขาไม่สามารถเป็นนักดนตรีได้ แม้ฉันจะไม่เห็นความหวังใด ๆ ในตัวเขา แต่ใครละจะรู้ดีเท่าตัวของเขาเอง?"
เขาพูดอย่างไม่รู้จบขณะที่ฟิลเหมือนกำลังนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ หลังจากนั้นเป็นเวลานานเขาโบกมือด้วยรอยยิ้มแสนเศร้าและหันหลังวิ่งจากไป
หลังจากนั้นไม่กี่ก้าวเขาก็หันกลับไปและเห็นฟิลด์ยังคงมองเขาอยู่ เขาหัวเราะและโบกมือลา "กลับไปซะฟิลล์, ฉันหวังว่าจะได้พบแกอีกครั้ง" เขาหยุดชั่วคราวและเดินเข้าไปในความมืด "ตราบเท่าที่แกยังอยู่เขา เขาจะไม่เหงาอีกต่อไป"
อยู่ๆเย่วซิงก็ฝันถึงอดีต ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมานานแล้ว สิ่งต่างๆที่เขาเคยลืมไปแล้ว ในฝันนั้นเขากำลังเดินอยู่คนเดียวในที่มืด และในความมืดก็มีคนเรียกชื่อเขา มีเสียงดังมากขึ้น - เสียงเคาะประตูและเสียงฝีเท้าเสียงกรีดร้องและเสียงของถ้วยชามที่แตกกระจาย
"เย่วน้อย เจ้าตัวเล็ก อย่ากลัวไปเลย" มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังกอดเขาไว้แน่น เธออบอุ่นและเจิดจ้าราวดวงอาทิตย์ เธออุ้มเย่วซิงไปซ่อนไว้ในตู้และมองไปที่เขา ลูกของเธอที่ผิวขาวราวกับหยกมีหยาดน้ำตาไหลอาบแก้ม"อยู่ที่นี่และอย่าส่งเสียง มันไม่มีอะไรต้องกลัว"
ประตูตู้ปิดลง ในความมืดมิด เขาได้ยินเสียงดังจากข้างนอกประตูและเสียงฝีเท้า แม่ของเขากรีดร้อง มีคนกำลังลากเธอเข้าไปในห้องโถง ฟาดเธอเข้ากับตู้โชว์ จนข้าวของแตกกระจาย
เขาได้ยินเสียงคนตะโกนว่า "เย่วหลานโจวเป็นผู้หลบหนีจากความผิดในการฆ่านักดนตรีหลวงหกคน ที่ได้รับคำสั่งจากรัฐสภาให้มาการจับกุม ผู้ที่ขัดขืนจะถูกกวาดล้างและยึดทรัพย์สินเพื่อชดเชยกับรัฐ"
เย่วซิงก้มลงในตู้และปิดตาด้วยความกลัว ความมืดมิดกลับมาอีกครั้ง
รู้สึกวิงเวียนเขาได้ยินแม่ร้องไห้และน้ำตาอาบบนใบหน้าของเขา เขาพยายามอย่างหนักที่จะลืมตาของเขา แต่ก็มองเห็นเพียงความมืดเท่านั้น เขารู้สึกหนาวมากราวกับว่าเขากำลังตกลงไปในธารน้ำแข็ง
"ท่านครับ โปรดช่วยเขาด้วย เด็กคนนี้มีไข้สูงมากเขากำลังจะตาย"
อ้อมกอดแม่ของเขาทำให้เขารู้สึกอบอุ่นมาก แต่มันก็ไม่สามารถช่วยได้ เขายังรู้สึกหนาว เธอไม่ได้สง่างามอีกต่อไปไม่ได้ดูสูงศักดิ์อีกแล้ว แต่เป็นเพียงผู้หญิงข้างถนนที่กำลังคุกเข่าอยู่กลางจัตุรัสของเมือง ที่พยายามดึงกางเกงของทุกคนที่ผ่านไปมาเพื่อขอความช่วยเหลือ
"ออกไปให้ไปไอขอทานสกปรก."
มันเป็นวันที่หนาวและมีหิมะตก อากาศหนาวเย็นมากเย่วซิงหยวนหลับตาลงและได้ยินเสียงแม่ร้องไห้ ในที่มืดแม้เขาปิดหู แต่เสียงยังก้องอยู่ในใจ
"เย่วซิงน้อย ลูกต้องวิ่งไปและไม่ต้องหันกลับมามอง"
"เย่วซิงน้อยของแม่ตั้งแต่นี้ ลูกต้องดูแลตัวเอง"
เขารู้สึกว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่แม่จะได้สัมผัสแก้มของเขา เธอยิ้มด้วยน้ำตา "แม่ไม่สามารถยื้อเวลาได้อีกต่อไปแล้ว"
เย่วซิงมองไปที่แม่อย่างเฉื่อยชา เธอสวยมาก แม้ว่าตอนนี้เธอจะต้องกลายขอทาน ดวงตาของเธอยังคงอ่อนโยนและกำลังจะจากโลกใบนี้ด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้ความทรมานของเธอกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว ทำไมเขาจะไม่รู้สึกเศร้า?
เธอใช้แรงเฮือกสุดท้ายของเธอในการพัดสายเครื่องดนตรีไว้ รอบ ๆ นิ้วของเย่วซิงราวกับว่ามันเป็นแหวนบนนิ้วของเขา "นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่พ่อของลูกทิ้งเอาไว้"
เธอพยายามอย่างหนักที่จะกอดลูกของตัวเองและพูดทวนซ้ำแล้วซ้ำอีก "อย่าไปกลัวเลยอย่ากลัวไปเลย"
จนกระทั่งเย่วซิงหยวนไม่กลัวอีกต่อไปจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของเธอมาถึง และเธอก็จากไป
เย่วซิงหยวนลืมตาของเขาและพบว่าตัวเองยังคงนอนอยู่ในห้อง แม้จะเป็นตอนเช้า แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังไม่ขึ้น หน้าต่างเปิดอยู่ มีฝนตกที่ข้างนอก ฝนตกลงมาจากหน้าต่างและกระเซ็นอยู่บนพื้นห้อง น้ำฝนที่กระเซ็นทำให้เขาตื่นขึ้นมา ยังคงมีน้ำตาหลงเหลืออยู่บนใบหน้าของเขา เขาลุกขึ้นจากเตียงและเฝ้าดูฝนตกนอกหน้าต่าง และลูบแหวนบนนิ้วชี้ของเขาเงียบ ๆ
"แม้ว่าจะผ่านไปห้าปีแล้ว" เขาได้ยินเสียงกระซิบในหัวใจของเขากระซิบ "ฉันก็ยังคงกลัวอยู่?"
ในพายุฝนที่ตกลงอย่างหนักในคืนนี้ทุกอย่างก็เงียบไปหมด รถสีดำมองเห็นจากระยะไกลเคลื่อนมาหยุดอยู่ตรงหน้าโบสถ์ คนขับเคาะที่ประตูซ้ำแล้วซ้ำอีก หลังจากผ่านไปนานประตูก็เปิดออก
หลวงพ่อบานเดินออกมาขณะถือเทียน เขาดูเหมือนยังไม่ได้หลับตลอดทั้งคืน และมองไปที่คนขับอย่างเย็นชา "คุณมาสาย." เมื่อมองไปที่หลวงพ่อบานทำให้เขากลัว เขาต้องการอธิบายบางอย่าง
"หลวงพ่อบานโปรดอย่าตำหนิเขาเลย เขาเป็นเพียงคนขับรถธรรมดา ๆ " เสียงเหนื่อยดังมาจากภายในรถ "มันจะดีมาก ถ้าคุณจะช่วยจัดการธุระให้ผม ผมคิดว่าผมกำลังมีปัญหา."
หลวงพ่อบานขมวดคิ้ว เขาได้กลิ่นแปลกเมื่อเขาเปิดประตูรถมีกลิ่นโชยออกมา นั้นก็คือเลือดที่ไหลออกมา แสงเทียนส่องลงบนรถสีเข้มทำให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่ม
คนที่อยู่ในรถอยู่ในวัยยี่สิบ เขาสวมชุดสีดำ โค้ทของเขาวางลงบนด้านในของรถ เขาดูอ่อนลงในแสงเทียน เขาใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อหายใจ ยังกับว่าเขากำลังจะตาย
เขาฝืนยิ้มออกมา "ขอโทษที่มาสายผมเจอปัญหาบางอย่างระหว่างทาง" เลือดไหลออกจากเอวของเขา
"คุณเป็นคนที่เขาเรียกกันว่า 'หมาป่าขลุ่ย' ในจดหมาย?" หลวงพ่อบานถามชายหนุ่มคนหนึ่งขณะที่ถือเทียนไข หลวงพ่อพยายามถามให้แน่ชัดและต้องการเห็นหลักฐานยืนยันตัวตน
หมาป่าขลุ่ยลดศีรษะลงและถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ "คุณเนี่ยเหมือนกับที่เขาพูดกันเลย”
เขาถอดสร้อยออกจากคอและเผยให้เห็นจี้ลัญลักษณ์ ที่ทำด้วยเหล็กที่มีหัวหมาป่าติดอยู่
หลวงพ่อบานจ้องเขม็งไปที่หมาป่าขลุ่ย ก่อนที่จะพยักหน้าและขว้างปาอะไรบางอย่างกับคนขับรถ
"ตามฉันมา"
คนขับมองลงไปที่สิ่งนั้นในมือของเขาอย่างตะลึง
มันเหรียญทอง แต่วัสดุของมันเป็นทองคำสีเขียวที่ใช้โดยคริสตจักร มันหายได้ยากในประเทศและไม่ค่อยแพร่หลายในตลาด แต่เหรียญเล็ก ๆ นี้เพียงพอสำหรับเขาที่จะซื้อรถใหม่!
ขอบคุณครับ! เขาโค้งคำนับให้หลวงพ่ออย่างพอใจ
"รีบๆหน่อยได้ไหม?" หมาป่าขลุ่ยพูดอยู่ข้างหลังเขา "ฉันกำลังจะตายจริงๆแล้วเนี่ย"