ตอนที่ 2 ประภาคาร
ตอนที่ 2 ประภาคาร
ช่วงเวลากลางคืนจาก ภายในเมืองสามารถได้ยินเสียงคลื่นลมทะเลมาจากระยะไกล เมืองตกอยู่ในความเงียบสงบ ไร้เสียงรบกวนใดๆ ดาวและดวงจันทร์ส่องประกายเต็มท้องฟ้า ในที่ความมืดมีเพียงแสงประภาคารบนชายฝั่งทะเลนอกเมืองที่ยังคงส่องสว่างอยู่
ประภาคารบนชายฝั่งแห่งนี้ มีมานานก่อนที่เมืองจะก่อตั้งขึ้น คริสตจักรสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีโบราณและช่วยให้เรือเดินผ่านแนวปะการังได้อย่างราบรื่น เป็นเวลาหลายศตวรรษที่ประภาคารแห่งนี้ยังคงส่องสว่างอยู่ โดยเผาไหม้จากพลังของอากาศธาตุให้ทำเกิดแสงสว่างสดใสกระจกหลายร้อยบานถูกวางไว้ในรอบเปลวไฟที่อย่างสลับซับซ้อนเพื่อสะท้อนแสง
แสงส่องผ่านมุมหักเหที่ออกแบบมาอย่างดีทำให้เกิดวิถีโคจรที่ซับซ้อนเกิดความสว่างเพิ่มขึ้นนับสิบเท่าส่องสว่างไปทุกทิศทาง โดยอาศัยกลไกโครงสร้างแบบพึ่งพาตนเองเกือบๆกึ่งอัตโนมัติและไม่จำเป็นต้องมีคนดูแลตราบเท่าที่มีกลไกยังทำงานได้ปกติ มีเพียงการทดสอบและการบำรุงรักษาประจำเดือนเท่านั้นที่คอยป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามไม่ใช่บาทหลวงชุดดำที่มาบำรุงรักษาในวันนี้ แต่เป็นวัยรุ่นสองคนและสุนัขตัวหนึ่ง คำที่สามารถใช้เพื่ออธิบายสุนัขขนสีทองตัวนี้คือ สกปรกแบบโคตรๆ มันนอนอยู่บนพื้นดินนับตั้งแต่มันมาถึงที่นี่มองอย่างเหนื่อยหน่ายไม่สนใจกับทุกอย่างที่มันเห็นและหลับไป เมื่อยุงบินไปกัดบนจมูกมัน จะทำให้มันจามออกมาอย่างน่าเกลียด
ด้านนอกวัยรุ่นที่มีผมสีบลอนด์สลวยหลังพิงกำแพงกำลังฉีกเนื้อไก่ด้วยมือเปล่า ไก่ถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ก่อนส่งเข้าไปในปากของเขาแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย แม้เขาจะดูหล่อแต่เมื่อหัวเราะ ใบหน้าของเขาแสดงราวกับคนโรคจิต ดวงตาสีเขียวของเขาดูคล้ายดวงตาขอสัตว์เดรัจฉาน ราวกับจะกลืนกินผู้ที่จ้องมองมันเข้าไป
“เย่วซิง, คุณรู้เรื่องแล้วใช่มั้ย?” เขาพูดต่อว่า "โอกาสที่จะได้ศึกษาในเมืองศักดิ์สิทธิ์ถูกลูกชายคนที่สามของครอบครัวโทมัสแย่งไปแล้ว "
"ฉันรู้" เสียงไม่แยแสตอบจากชายชุดขาว
วิกเตอร์กล่าวว่า "พวกเขาพูดได้น่ารังเกียจมาก”
"ฉันรู้."
เขาเอามือออกจากแผงไฟ นิ้วของเขาพันสายไฟไว้เป็นวงพร้อมส่งคำสั่งออกไปอย่างไม่ได้สนใจบทสนทนา
"วิกเตอร์เอาประแจเบอร์แปดมา" เสียงกล่าว
"คุณได้ฟังผมบางไหม?" วิกเตอร์ถาม ดวงตาส่องประกายราวเด็กนักเรียน "คุณรอมาหลายปีเพื่อเข้าเมืองศักดิ์สิทธิ์ไปศึกษาหาความรู้ คุณทำงานอย่างหนักกว่าจะมาถึงจุดนี้ แต่โอกาสของคุณกลับถูกเศษขยะที่รู้เพียงวิธีเปิดกระโปรงของแม่บ้านชิงไป? " สุนัขสะดุ้งตื่นขึ้นจากเสียง มันเงยหน้าเห่าขึ้นราวกับพบแจกสิ่งแปลกประหลาด
"เอาประแจเบอร์แปดให้ฉัน" ชายชุดขาวกวักมือเบา ๆ เตือนวิกเตอร์ว่าเขารอนานมากแล้ว วิกเตอร์หยิบออกมาจากกล่องเครื่องมือให้เขา เมื่อชายชุดขาวจับประแจ วิกเตอร์คว้าข้อมือเขาให้หยุดอยู่ในอากาศ วิกเตอร์จ้องมองมาไปที่ดวงตาสีทับทิมด้วยความโกรธ ความโกรธที่เกิดจากการที่เพื่อนสนิทถูกชิงของสำคัญไป
"คุณได้ยินไหมที่เขาพูดกันวันนี้ไหม" วิกเตอร์กระซิบ "เขาบอกว่าคุณมันก็แค่พวกเลือดผสมสกปรก"
"ฉันได้ยิน"
"เขาบอกว่าเด็กข้างถนนอย่างคุณ ควรจะกลับไปหาแม่ที่ซ่อง"
"ฉันได้ยิน"
"ทำไมถึงทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น?" วิกเตอร์เรียกร้อง
วิคเตอร์กำประแจแน่นจนเส้นเลือดของเขาปูดโปน
"เย่วซิงหยวนถ้ามีคนดูถูกพ่อแม่ของฉัน ฉันจะสาบานว่าจะเอางูพิษเข้าไปในห้องของเขา ถ้าใครดูถูกเพื่อนของฉัน ฉันก็จะทำแบบเดียวกัน" "ฉันรู้ว่าคุณไม่ต้องการสร้างปัญหาให้หลวงพ่อ แต่บางครั้งถ้าคุณเอาแต่นิ่งเฉย คุณจะกลายเป็นคนอ่อนแอ คุณจะโดนดูถูกเป็นอย่างมากในเมืองนี้และสิ่งที่คุณควรได้รับมันจะกลับกันทันที?
"พวกเขาไม่ได้สนใจอะไรคุณเลย!" วิกเตอร์อุทานออกมา "ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยรู้สึกหรือขอบคุณในสิ่งที่คุณได้ทำและพวกเขายึดเอาทุกอย่างไปหมด แม้ว่าคุณจะซ่อมประภาคารต่อไปอีกเป็นสิบปีก็ตาม มันก็จะไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงไป "
"ฉันไม่เคยหวังให้ใครมาขอบคุณฉัน"
"ไม่มีอยู่แล้ว! แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร ในสายตาของพวกเขา การปล่อยให้คุณอยู่ที่นี่นับเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนอันสูงส่งนี้!"
"พอได้แล้ววิกเตอร์?" เสียงของเย่วซิงหยวนดังมาจากที่ไกล แสงจันทร์ทำให้มองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัด
"มันยังไม่จบแค่นั้น คุณจำได้ไหมมั้ยพวกโทมัสพูดว่ายังไง?" วิกเตอร์ตะโกน ตาของวิคเตอร์คมดั่งมีด "มันพูดว่านี่คือโอกาสที่มันสมควรได้รับ! มันจะไม่มีวันตกไปอยู่ในมือพวกตะวันออกเฮงซวยนั่น มันพยายามขโมยสิ่งต่างๆจากพวกเรามามากพอแล้วในช่วงห้าปีที่คุณอยู่ที่นี่ มันคิดว่าคุณคือเสี้ยนหนาม และเป็นอีกครั้งที่มันเอาสิ่งที่คุณสมควรจะได้ไป คุณยังจะให้มันเอาไปอีกหรอ? "
ความเงียบพลันเกิดขึ้นรอบประภาคาร หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาพร้อมเปิดใช้งานประภาคารอีกครั้งและกระจกเงายาวถูกผลักดันให้กลับเข้าที่ ทั้งคู่เดินออกจากความมืด
ขณะที่ประภาคารปิดลงแสงสว่างเริ่มปรากฏขึ้น ทั้งคู่สวมแว่นตากันแดดหนา ๆ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการทำงานในประภาคาร มิฉะนั้นแสงสว่างจะทำให้ตาของเขาบอด อย่างไรก็ตามลักษณะที่สะดุดตาที่สุดไม่ใช่แว่นตากันแดด แต่เป็นสีผมของเขา มันเป็นสีขาวบริสุทธิ์เช่นปรอทเหลว เส้นผมสีขาวยาสะท้อนแสง
ผมขาวเป็นเอกลักษณ์ของคนตะวันออก เป็นคุณลักษณะที่เด่นชัดที่สุดของเขา แต่ก็ถือเป็นบาปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาด้วย นั่นคือหลักฐานว่าเขาเป็นลูกครึ่ง ทุกคนจะรู้ว่าผมขาวของเขาหมายถึงอะไร เขาเป็นลูกครึ่งที่มักถูกมองว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมทั้งในตะวันออกและตะวันตก ตัวตนนี้น่ารังเกียจมากกว่าขอทานบนถนน
นับตั้งแต่ที่เขามาที่นี่เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และโจมตีเขาไม่เคยหยุดหย่อน
หลังจากที่หลวงพ่อรับเขาเป็นคนรับใช้ และแต่งตั้งให้เขากลายเป็นอาลักษณ์หรือผู้คัดลอก ในห้องสมุดของโบสถ์ โทมัสที่เคยเป็นผู้เดียวที่เรียนรู้วิธีการคัดลอกภายในคริสตจักร ทำให้เขาเกิดความริษยา เพื่อที่จะกำจัดเขา โทมัสก็ซ่อนพระคัมภีร์ไบเบิลในห้องของเขาและกล่าวหาเขาขโมยหนังสือ
เป็นเพราะเย่วซิงหยวนนั้นสามารถท่องจำพระคัมภีร์ไบเบิลได้แม่นยำ ซึ่งช่วยพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาไม่จำเป็นต้องขโมยมัน ไม่งั้นเขาคงจะถูกไล่ออกจากเมืองมานานแล้ว และไม่มีที่ให้ซุกหัวอีก
"วิกเตอร์อย่าพยายามผลักดันให้ฉันแก้แค้น คุณก็รู้ว่ามันไม่ได้ผล" เย่วซิงหยวนไม่ได้โกรธและเขาไม่ได้โต้แย้ง เขาหยิบประแจขึ้นมาและกลับไปที่ประภาคาร เสียงเครื่องมือเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ดังมาจากภายใน
เย่วซิงหยวนพูดต่อ "ทุกคนสามารถพูดคำสกปรกได้ แต่การชนะด้วยคำพูดมันไม่เป็นประโยชน์สำหรับฉัน โทมัสได้จ่ายเงินมากมายเพื่อจ้างคนเหล่านั้น มันจะไม่มีวันเป็นวันของฉัน ฉันควรจะเก็บความพยายามของฉันไว้ดีกว่าไหม”
วิกเตอร์หงุดหงิด "คุณทิ้งความพยายาม แต่กลับมาซ่อมประภาคารในตอนเที่ยงคืน และยังคิดจะทำงานต่อเพื่อเมืองนี้อีกหรอ?"
"อย่างน้อยฉันยังหาเงินได้บางส่วน ถ้าฉันไม่มา หลวงพ่อจะต้องมาด้วยตัวเอง และฉันไม่ต้องการเพิ่มงานให้กับเขา เขาต่อสู้เพื่อฉันมามากพอแล้ว"
"เป็นเพราะเขาไม่ต้องการให้คุณจากไป!" วิกเตอร์พูดอย่างเย็นชา "เขาต้องการฝึกให้คุณเป็นนักบวชและรับช่วงต่อจากเขา มันจะทำให้คุณมีชีวิตอยู่กับความเย็นชาตลอดชีวิต คุณจะตายในเมืองเล็ก ๆ เฮงซวยแห่งนี้ ทำหน้าที่ซ่อมเศษเหล็กนี้ไปวันๆ"
"จริงๆแล้วฉันไม่คิดว่ามีอะไรที่ไม่ดีเกี่ยวกับการทำงานกับเครื่องจักร" เย่วซิงหยวน กล่าวจากบนประภาคาร "อย่างน้อยมันก็ไม่โกหกหรือดูถูกคุณ บางครั้งฉันชอบที่มันเป็นแบบนั้น มันจะไม่ทรยศคุณถ้าคุณเข้าใจมัน"
วิกเตอร์มองออกไป พร้อมยัดชิ้นไก่เข้าในปาก เคี้ยวอย่างรุนแรง
“มันไม่จบแค่นี้หรอก” เขาพึมพำกับตัวเอง เขาดูหงุดหงิดกับเย่วซิงหยวน
การซ่อมแซมนี้เป็นไปอย่างล้าช้า มีเพียงเสียงที่อยู่ในประภาคารเท่านั้นที่ทำลายความเงียบสงบ ราวกับกำลังสร้างมันขึ้นมาใหม่ ภายใต้ซ่อมแซมของเย่วซิงหยวน, เครื่องจักรใหญ่เริ่มเคลื่อนไหวดีขึ้น กระจกหลายร้อยตัวเปลี่ยนตำแหน่งตามแนวแท่นปรับมุมเป็นรูปแบบเช่นดอกบัวบานหรือตูม แสงถูกสะท้อนไปมาก่อนกระโจนขึ้นสู่ท้องฟ้า ท้ายที่สุดการซ่อมแซมก็สิ้นสุดลง เย่วซิงหยวน เดินออกจากประภาคารหลังจากการตรวจสอบล่าสุดเสร็จสิ้น
"วิกเตอร์โยนไขควงให้หน่อย กระจกบานนี้มันเอียงนิดหน่อย"
“ทำไมนายถึงใส่ใจกับแค่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆแบบนี้จัง” วิกเตอร์โยนไขควงให้เขา “พวกเขาชอบดูถูกคุณและทำราวกับคุณเป็นตัวตลก ขณะที่ใช้ประโยชน์จากคุณ” เย่วซิงหยวนไม่สนใจจะฟัง เขายังคงปรับมุมของโครงสร้างกระจกอย่างระมัดระวังและจับไขควงราวกับว่ามันเป็นอัญมณี "บางครั้งความแตกต่างที่เล็กที่สุดจะเปลี่ยนผลลัพธ์ทั้งหมด"
เขาหยุดชั่วคราวและพูดอะไรบางอย่างในภาษาตะวันออกที่วิกเตอร์ไม่เข้าใจ “ข้อผิดพลาดเพียงหนึ่งมิลลิเมตรจะสร้างความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงเมื่อมันผ่านไปพันกิโลเมตร.”
เกิดลมพัดอย่างรุนแรงมาจากทะเลทำให้กระดาษในกล่องเครื่องมือปลิวปกคลุมใบหน้าของวิกเตอร์ เขารีบคว้ามันก่อนฉีกขาดออกจากกัน แต่เมื่อเขาเห็นแผนภาพนั้นเขาก็ตะลึงทันที เย่วซิงหยวนได้วาดแผนภาพของโครางสร้างการทำงานของกระจกบนกระดาษสีขาว ภาพแตกต่างจากโครงสร้างเดิม รูปแบบใหม่ถูกทำเครื่องหมายและเปรียบเทียบกับต้นฉบับ ... ไม่มีอะไรเหมือนหรือคล้ายกันเลย
โครงสร้างแบบเดิมที่ออกแบบโดยบาทหลวงไม่สามารถเทียบได้กับรูปแบบใหม่และระบบที่ซับซ้อนนี้จากกระดาษของเย่วซิงหยวน วิกเตอร์จ้องมองเพื่อนของเขาราวกับว่าเย่วซิงหยวนเป็นตัวประหลาด
"เย่วซิงคุณรู้ไหมว่านี่คืออะไร"
"รู้สิ." เสียงเย่วซิงเฉยเมย
"เหี้ย!" วิกเตอร์กระโดดขึ้น "คุณรู้ไหมว่าคริสตจักรใช้เวลาในการออกแบบประภาคารนี้นานเท่าใด คุณรู้หรือไม่ว่ามีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ในการบำรุงรักษา?
เขาคว้าคอเสื้อของเย่วซิง "เย่วซิงนี่เป็นเขตแนวปะการังดังนั้นเรือจำนวนมากจึงใช้ประภาคารเพื่อส่องหาทิศทาง ถ้ามีอะไรผิดพลาดคุณจะถูกโยนเข้าคุก! รีบเปลี่ยนมันกลับก่อนจะมีใครมาเห็นเถอะ ... "
"ไม่มีใครสังเกตเห็นมันหรอก" เย่วซิงหยวน กล่าวอย่างเงียบ ๆ "ฉันปรับแต่งเพียงเล็กน้อย"
"คุณมันบ้า" วิกเตอร์พึมพำในระยะไกล
"วิกเตอร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คุณเริ่มคิดว่าฉันกลายเป็นคนที่อ่อนแอ?"
เย่วซิงหยิบขวดเหล้าบนพื้นแล้วเดินไปที่หน้าต่างมองไปเห็นเมืองที่เงียบสงบ หันหน้าไปทางลมทะเลที่สดชื่นเขากำลังดื่มเหล้าที่เหลืออยู่ จากนั้นเขาก็โยนขวดเปล่าออกไป "ฉันคงไม่สามารถสรรหาคำดีๆมาพูดให้ฟังได้ แต่การเอาคืนในครั้งนี้มันต้องสาสมใจแน่นอน คุณเพียงแค่เฝ้าดูก็พอ”
เย่วซิงดึงคันโยกข้างๆเขา ทันทีประภาคารเดินตามโครงสร้างที่ซับซ้อนราวกับว่ามันตื่นขึ้นจากการหลับไหลตามรูปแบบที่กำหนดไว้ เกียร์เข้าที่, ล้อหมุนปกติ, กระจกและองศาถูกกต้อง ตอนนี้ตัวเครื่องเดิมยังคงทำงานอยู่ ในคืนที่มืดมิดมันก็มีแสงคล้ายดอกบัวที่กำลังไหม้อย่างรุนแรง
วิกเตอร์มองเห็นแสงไฟกระพริบที่เปลี่ยนไป แสงไฟกะพริบเหมือนกำลังรระเบิด หายไปในพริบตา กลายเป็นรูปทรงบัวตูม แสงกระโจนขึ้นไปในอากาศไปในทุกทิศทางเหมือนกับก่อนหน้านี้
แต่มีเพียงลำแสงเดียวที่ฉายลงในเมืองที่มืดมิดลงบนกระจกที่อยู่ในเมือง หนุ่มสาวหลายคนปรารถนาให้มีแสงสว่างในยามค่ำคืนแก่เมืองที่มืดมิด แสงยังคงสะท้อนกระจกในเมืองไปเรื่อยๆ ในที่สุดแสงที่ร้อนและรุนแรงได้ส่องลงบนบ้านที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ราวกับแสงที่มาจากสวรรค์
กลางใจเมืองเกิดระฆังสั่นดังกล้องอย่างรุนแรง สุนัขที่ถูกล่ามพยายามดิ้นรนให้เชือกหลุด เมืองที่เงียบสงบถูกเสียงระฆังทำลายลง หลายคนตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับและออกจากเตียง ตื่นตระหนกพร้อมวิ่งไปที่หน้าต่างและมองไปที่ถนน ไม่มีสัตว์ร้ายใด ๆ เข้ามาในเมืองและไม่มีโจรบุกปล้นเข้าไปในบ้านใคร ดูเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มีเสียงดังออกมาจากที่แห่งหนึ่งและที่แห่งนั้นมีเสาแสงศักดิ์สิทธิ์ล่วงหล่นจากฟ้าลงไปยังบ้านหลังนั้นซึ่งคือบ้านของโทมัส ผู้คนทั้งเมืองตื่นขึ้นและเริ่มมีเสียงดังไปทั่ว
"เกิดอะไรขึ้น?" ใครบางคนตะโกนดังขึ้น
"เกิดอะไรขึ้นใครเป็นคนตีระฆัง?"
"แม่,ผมกลัว!
“ผมกลัว!”
"เฮ้ดูที่บ้านโทมัสสิ!"
"บ้านของโทมัส ... "
ทั้งเมืองกลายเป็นเงียบสนิทอย่างไม่น่าเชื่อใน สายตาของทุกคนมองไปที่เสาลำแสงจากฟากฟ้าที่ส่องลงมาราวกับว่าเป็นเหมือนพรที่พระเจ้าส่งมาจากสวรรค์ แสงเคลื่อนไปมาบนบ้านของโทมัสจนเกิดเป็นคำที่พอจะอ่านได้ว่า ไอลูกกระหรี่!