ตอนที่ 09 ความผิดพลาด
ตอนที่ 09 ความผิดพลาด
แม้ว่ายุคมืดได้สิ้นสุดลงมากว่าร้อยปีแล้ว แต่ความบ้าคลั่งของพายุอากาศธาตุยังคงอยู่ในทุกมุมของโลก อันตรายจากภายนอกยังคงซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ดังนั้นเกือบทุกคนจะได้รับการบอกกล่าวอย่างจริงจังโดยพ่อแม่,ครูของพวกเขา และกองทหาร
"แน่นอนว่าห้ามออกไปนอกเมืองเด็ดขาด!"
แต่เย่วซิงไม่สนใจ มันเป็นแค่กำแพงที่ขวางกั้นการปีนมันออกไปนั่นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลย แต่ทิศทางนี่เขาค่อนข้างคุ้นเคยนี่ไม่ใช่ว่าคือทางไปยังประภาคารหรอกหรือ? โดยปกติเมื่อพวกเขาไปประภาคารพวกเขาจะข้ามป่า มีทางยาวออกจากชายหาดตรงไปยังทางเข้าหลักของประภาคาร แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมวิกเตอร์จึงเลือกทางลัดที่เป็นอันตรายเช่นนี้
ถ้าเขาต้องการที่จะออกไป เขาสามารถหาเรือได้จากท่าเรือ ซ่อนตัวอยู่ในกระท่อมบรรทุกสินค้าอย่างเงียบ ๆ จะไม่มีใครพบเขา กว่าลูกเรือจะพบเขา เขาจะอยู่ห่างออกไปหลายร้อยไมล์แล้ว
ในป่าลึกฟิลก็หยุดนิ่ง มันมองลงไปที่พื้น
เย่วซิงไม่เคยเห็นฟิลทำท่าทางเช่นนี้มาก่อนเช่นนี้ อุ้งเท้าหน้ากำลังขุดดินและจ้องมองไปที่จุดสีแดงเข้มบริเวณโคลนที่มันขุด ... มันมีกลิ่นเหมือนเลือด เย่วซิงไม่รอช้า เขาเร่งวิ่งผ่านป่าผ่าดงหนามเพื่อรีบวิ่งไปที่ประภาคาร
ประตูเหล็กมีมานานหลายร้อยปีแล้วทำให้พื้นผิวที่สกปรกและเต็มไปด้วยสนิม แต่ภายในก็ยังคงดูสะอาดเหมือนใหม่ ประตูไม่สามารถเปิดได้ด้วยกุญแจ แต่ต้องใส่แผ่นรหัสผ่านที่ประตูเพื่อหมุนเปิดออก
หลวงพ่อให้รหัสผ่านแก่เย่วซิงดังนั้นวิคเตอร์ก็รู้เช่นกัน แต่วิคเตอร์นั้นรังเกียจที่จะมาที่สถานที่แห่งนี้ ทำไมเขามาที่นี่ตอนนี้กัน?
เย่วซิงพยายามที่จะผลักให้ประตูเปิดขึ้น แสงจากพระอาทิตย์ตกดินวิ่งเข้าไปในช่องว่างหลังประตูทำให้เห็นฝุ่นละอองฝนพัดปลิวผ่านบันไดมืดและเห็นชายหนุ่มนั่งอยู่บนบันได กลิ่นเหม็นของเลือดลอยไปทางเย่วซิง
บนบันไดวิกเตอร์มีกระเป๋าเล็ก ๆ อยู่ในอ้อมแขน เขาจ้องเขม็งไปที่ทางเข้าอย่างเงียบ ๆ ดวงตาราวสัตว์เดรัจฉาน
แขนของเขาถูกฟันแต่ไม่ลึกไปถึงกระดูก เลือดยังคงไหลออกมาจากแผล แต่มือของเขายังถือกริชไว้พร้อมที่จะแทงอะไรก็ตามที่กล้าจะเข้ามา เมื่อเขาเห็นผมขาวของเย่วซิงความเหี้ยมโหดในดวงตาของเขาเริ่มจางหายไป
"วิคเตอร์" เย่วซิงตกใจมาก "นายกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?"
"ขอโทษ นายไม่น่ามาเห็นในสภาพแบบนี้เลยเย่วซิง" เขาฝืนยิ้มอย่างเจ็บปวดและมองลงไปที่กระเป๋าในอ้อมแขนของเขา "ฉันแค่อยากจะขโมยเงินก่อนที่ฉันจะหนีไป แต่ฉันดันเจอปัญหาเข้าให้ ... "
"คืนสุดท้ายที่ฉันกำลังจะออกจากท่าเรือและทิ้งปัญหาของฉันไว้ที่นี่ มีเรือจากเบอร์มิงแฮมมาเทียบท่าที่ท่าเรือชั่วคราว เจนเซ่นซึ่งทำหน้าที่ย้ายสินค้าบอกว่าเขามีงานให้ฉันทำ"
"งานงั้นหรอ?"
เมื่อได้ยินคำนั้น เย่วซิงก็ขมวดคิ้ว แน่นอนเขารู้ว่าคนงานบนท่าเรือหมายถึงอะไร มันจะไม่มีอะไรมากไปกว่าการขโมยกระเป๋าหรือสินค้าของผู้โดยสาร คนเหล่านี้มีทักษะการบรรจุหีบห่อที่ดีและไม่ค่อยได้ถูกขโมยไปบ่อยๆ ดังนั้นบางคนไม่รู้ว่าสิ่งของต่างๆของพวกเขาหายไป และเมื่อผู้โดยสารได้ตระหนักว่ามีสิ่งของหายไปจากกระเป๋า ก็เป็นตอนที่พวกเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
"เขาบอกว่ามีใครบางคนกำลังจะลงจากเรือคืนนี้ เขาคงเป็นคนที่มาจากเมืองอื่น เขาสวมแหวนประดับด้วยอัญมณี เสื้อผ้าหรูที่ทำจากวัสดุราคาแพงและดูเหมือนจะรวยมากๆ ดังนั้นเราสองคนนี้จึงวางแผนจะขโมยของชายคนนี้ "
เขาเงียบลงสักพักก่อนจะพูดขึ้น "ฉันคิดว่ามันจะทำให้ฉันมีเงินใช้สำหรับการเดินทาง ดังนั้นฉันจึงตอบตกลง พวกเขาสองคนจะหันเหความสนใจด้วยการทำเป็นขายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นบางอย่างให้เขา และฉันก็ฉวยโอกาศขโมยกระเป๋าเล็กๆของชายคนนั้น ... "
"และนายถูกจับได้หรอ?"
"มันเลวร้ายยิ่งกว่านั้น ฉันทำมันสำเร็จ"
วิกเตอร์แสดงรอยยิ้มอันน่าหดหู่บนใบหน้าของเขาลุกขึ้นทันที "เมื่อฉันขโมยกระเป๋าได้แล้ว เรานัดพบกันที่ด้านนอกของท่าเรือ แต่ฉันปวดท้องกะทันหัน ทำให้ไปช้ากว่ากำหนด เมื่อฉันไปถึงที่นั่นพวกเขาก็ตายไปหมดแล้ว " วิกเตอร์เอื้อมมือของเขาที่เย็นเฉียบจับเย่วซิงแน่น
"พวกเขาตายหมดทุกคน มันตัดเขาเป็นชิ้นๆและโยนลงไปในทะเล."
เย่วซิงตกใจและประหลาดใจ "ตายหมดทุกคน?"
"ฉันเห็นคนกำลังตัดออกเป็นชิ้น ๆ ด้วยสายตาของฉันเอง"
วิกเตอร์มองรอยแผลเป็นบนแขนของเขาและยังคงกลัวอยู่ "ถ้าฉันวิ่งไม่เร็วพอบางทีฉันอาจจะเป็นชิ้นๆแล้วตอนนี้ มันเหมือนคำพูดแบบตะวันออกที่นายเคยบอกฉันไงเย่วซิง กรรมตามสนอง"
"นั่นมันเรื่องเหลวไหล มันไม่มีกรรมในโลกหรอก ตอนนี้นายควรใจเย็นๆ" เย่วซิงปัดเสื้อผ้าของเขา " ชายคนนั้นรูปร่างยังไง ฉันจะไปรายงานเรื่องเขาที่กองทหารรักษาการณ์ ... "
"มันไร้ประโยชน์!" วิคเตอร์ขัดจังหวะเขาคว้าไหล่ของเย่ซิงและพูดว่า "นายไปซะ อย่าอยู่ที่นี่และแสร้งทำเป็นว่านายไม่เคยเห็นฉัน ฉันไม่อยากให้นายต้องมายุ่งกับเรื่องนี้"
เย่วซิงปัดมือของวิกเตอร์และคว้ากระเป๋าเล็ก ๆ จากอ้อมแขนของเขา ล็อคบนกระเป๋าสีดำยาวมีรอยโดยงัด ถึงแม้เขาจะเตรียมพร้อมที่จะเห็นกระเป๋าที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับหรือแท่งทองอยู่ข้างใน แต่เย่วซิงก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ชัดเจนหากยังไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋าจริงๆ
ด้านในมีชั้นฟองน้ำนุ่ม ๆ มีผ้าสีดำรองเป็นชั้นอยู่ด้านบน มันเป็นผ้าที่นิ่มมากและเป็นสีที่นุ่มนวลราวฟองน้ำมีช่องเสียบอยู่หลายช่องคล้ายๆเป็นชิ้นส่วนอะไหล่ที่บอบบาง มันดูงดงามด้วยรูปแบบโลหะที่หลอมขึ้นมาอย่างประณีต แต่มันก็ไม่สามารถละความสนใจของสิ่งที่อยู่ตรงกลางกระเป๋าได้
มันทำจากเหล็กสีแดงเข้มที่สร้างขึ้นด้วยขั้นตอนการหลอมที่ประณีตและตกแต่งโดยช่างฝีมือ พื้นผิวที่ราบรื่นไม่มีที่ติสะท้อนให้เห็นใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของผู้มอง
มันคือคาริเนต
"นายขโมยมาจากนักดนตรีหรอ?"
เย่วซิงกำลังมองสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าอย่างตกใจและรู้สึกว่าเกิดจากความเย็นไล่ตั้งแต่เท้าของเขาไปจนถึงศีรษะ
"วิกเตอร์นายรู้ไหมว่า นายทำอะไรลงไป?"
ในเขตวิหารอันยิ่งใหญ่ของแองโกลเมื่อสองสามทศวรรษที่ผ่านมา รัฐสภาได้ออกคำประกาศไว้ว่า: เมื่อพลเมืองได้รับสถานะนักดนตรีอย่างเป็นทางการแล้ว เขาก็จะได้รับสถานะของขุนนางชั้นสูงระดับเดียวกับบารอน
ไม่ต้องเข้าร่วมการเกณฑ์ทหาร ไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษี ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย นักดนตรีสามารถถูกลดโทษได้โดยศาลพิเศษโดยเฉพาะถ้ามีการก่ออาชญากรรม การดูถูกนักดนตรีใดๆจะถูกมองว่าเป็นการดูหมิ่นราชอาณาจักรและการลงโทษมีเพียงความตายเท่านั้น
สถานะนี้สำหรับนักดนตรีถือเป็นที่ให้ความเคารพโดยทั่วไป เพราะเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเมื่อนักดนตรีตัดสินใจที่จะสังหารแล้วจะมีเพียงฝันร้ายรออยู่
ครั้งหนึ่งในพื้นที่ Hamelin หมู่บ้านได้จ้างนักดนตรีคนจรจัดเพื่อขับไล่คนร้ายออกจากภูเขา แม้กระนั้นพวกเขาก็ไม่เสียใจและปฏิเสธที่จะจ่ายเงินให้กับนักดนตรี และตั้งใจจะขับไล่เขาไปด้วยความรุนแรง นักดนตรีที่โกรธเริ่มเล่นขลุ่ยควบคุมกลุ่มนายจ้างที่ปราศจากศีลธรรมให้รวมตัวกันเป็นแถว พวกเขาร้องเพลงและเต้นขณะขุดหลุมฝังศพของตัวเอง จากนั้นกรีดข้อมือของตัวเองและกระโดดลงไปในหลุมศพ
ทั้งหมู่บ้านถูกทำลาย - ไม่มีใครรอดชีวิต
แม้กระทั่งตอนนี้นักดนตรีคนนี้ยังคงอยู่ในรายชื่อล่าค่าหัวที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด - หมายเลขหกสิบสอง "Hamelin's Pied Piper"
มีเรื่องทำนองเดียวกันเกิดขึ้นอีกหลายสิบอย่างจนเป็นเรื่องเล่าที่ทำให้เด็กหวาดกลัว – การอัญเชิญเจ็ดปีศาจเพื่อโจมตีปราสาท หิมะขาวนักดนตรีที่ฆ่าราชินี หมวกแดงที่ลักพาตัวยายแก่และควบคุมสัตว์เพื่อโจมตีหมู่บ้าน นักเชิดหุ่นที่ใช้ร่างหุ่นเชิดจมูกยาวเพื่อบีบบังคับเด็กที่โกหก แม่มดทะเลที่ครึ่งร่างกายของเธอเป็นปลาและสั่งให้พายุที่จะจมเรือของเจ้าชาย ...
บางส่วนของเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องราวที่มาจากนวนิยายและบางส่วนเป็นความจริงที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์จริง จากเรื่องราวเหล่านี้ยังมีอีกหลายคนที่มีค่าหัว แต่อันดับยังไม่เปลี่ยนแปลงมานานกว่าทศวรรษ
ข่าวลืออันน่าสยดสยองมากมายที่เกี่ยวข้องกับเลือดและน้ำตา บางทีอาจมีบางคนอาจทำให้นักดนตรีไม่พอใจ แต่อย่างน้อยก็มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจน - ต้องไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับนักดนตรี
ตอนนี้วิกเตอร์ขโมยเครื่องดนตรีจากนักดนตรี สิ่งที่พวกเขาถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขา
"ฉันรู้จักนักดนตรีคนหนึ่ง เราไปเจอเขากันเถอะ!" เย่วซิงใส่คลาริเนตไว้ในกระเป๋าและลากวิกเตอร์ออกจากประภาคาร
"ไม่ต้องมาขอบคุณฉันหรอก ฉันจะขอให้เขาช่วยนายจากปัญหานี้." เย่วซิงกระซิบ "วิกเตอร์ไม่ว่านักดนตรีคนนั้นจะเป็นใคร ฉันจะไม่ดูคุณตายต่อหน้าฉัน"
"แต่มันสายเกินไปเย่วซิง"
วิกเตอร์ดูเหมือนจะรู้สึกบางสิ่งบางอย่างและรูปลักษณ์ของเขากลายเป็นมืดมน เขาหันกลับมาและพูดว่า "เขาอยู่ที่นี่แล้ว"
กลิ่นเหม็นเน่าในป่าพัดเข้ามาใบไม้ร่วงสั่นสะเทือน ดวงอาทิตย์เกือบจะตั้งอยู่ใต้ทะเลและแสงที่เหลือส่องลงบนใบไม้ที่ร่วงโรยจากกิ่ง เกิดหมอกจากระยะไกล หมอกค่อยๆมาจากทุกทิศทางเหมือนสิ่งมีชีวิต ดูเหมือนมันจะมาอย่างช้าๆ เงาแปลก ๆ ส่องประกายผ่านหมอก
ท่ามกลางความหวาดกลัวเย่วซิงได้ยินเสียงต่ำร้องเพลงขึ้น "Avalon Bridge พังทลาย พังทลาย ... "
หมอกควันเพิ่มขึ้นจากทุกทิศทุกทางหนาขึ้นและหนาขึ้นจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ ราวกับว่ามีความเศร้าโศกที่ดึงมือเท้าและผมของพวกเขาอย่างช้าจนพวกเขาไม่สามารถหายใจ
"สร้างมันขึ้นด้วยเหล็ก เส้นเหล็ก มากมาย ... "
เสียงที่คล้ายการเสียดสีของเหล็กดังมาจากภายในหมอก
เย่วซิงรู้สึกว่ากระเป๋ากำลังสั่นด้วยเสียงโทนต่ำ มันเป็นเสียงสะท้อนของเพลงที่คุ้นเคยและราวกับพบเจอผู้เป็นนาย ทันใดนั้นเศษเหล็กนับไม่ถ้วนเกิดเสียงเสียดสีไม่หยุดทำลายความเงียบทั้งหมด